แนะนำ Samsung Galaxy A23 และ A23 5G มือถือสเปคแรง หน้าจอใหญ่ไหลลื่น ถ่ายรูปสวยคมชัด 50MP ในราคาไม่เกินหมื่น!
สำหรับช่วงปลายปี 2022 นี้ใครที่คอยติดตามมือถือรุ่นที่ออกมาใหม่ๆ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นรุ่นที่ใช้งาน 5G ได้แล้วทั้งนั้น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานบนเครือข่าย 5G ที่เร็วแรงหลายๆ ค่าย และหลายต่อหลายรุ่นก็จะแข่งกันที่ความคุ้มค่าของตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นสเปคที่เร็วแรง ใช้งานได้ครอบคลุม ที่สำคัญคือราคาที่ตอนนี้ก็ไม่ได้สูงมากเท่าไหร่นัก ก็ได้มือถือ 5G ในราคาที่ไม่แพงมากมาใช้งานแบบคุ้มๆ ได้แล้ว ซึ่งมือถือจาก Samsung ส่วนใหญ่ที่เปิดตัวออกมาก็จะมีทั้งรุ่นธรรมดาและรุ่น 5G ในราคาที่ไม่สูงมากอยู่หลายรุ่น รวมไปถึงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Galaxy A23 5G ที่มีราคา 9,999 บาทเท่านั้น และรุ่นนี้เองก็มีรุ่นปกติที่เป็น 4G ออกมาก่อนหน้านี้ที่มีสเปคใกล้เคียงกันอยู่พอสมควรเลยด้วย เดี๋ยววันนี้ทาง Specphone จะมาแนะนำมือถือ Samsung Galaxy A23 และ Samsung A23 5G ทั้งสองรุ่นที่เป็นมือถือสเปคแรง มีหน้าจอใหญ่ใช้งานได้ไหลลื่น ถ่ายรูปสวยคมชัดถึง 50MP ในราคาไม่เกินหมื่นบาททั้งสองรุ่นเลย
ตารางเปรียบเทียบ Samsung Galaxy A23 และ Samsung A23 5G กับรุ่นที่มีราคาใกล้เคียงกัน
ดีไซน์เรียบสวยแบบ Ambient Edge
เริ่มกันที่ดีไซน์ตัวเครื่องของทั้งสองรุ่นอย่าง Samsung Galaxy A23 และ Samsung A23 5G กันก่อนเลย ที่ทั้งสองรุ่นนี้มีดีไซน์ตัวเครื่องแบบเดียวกัน มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. เหมือนกัน และมีขนาดตัวเครื่องที่เท่ากันทั้งหมดเลย จะมีความต่างแค่น้ำหนักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยตัวเครื่องของทั้งสองรุ่นนี้จะเป็นแบบขอบโค้งมนจับได้เข้าพอดีกับมือ มีความบางเพียง 8.4 มม. เท่านั้น มาพร้อมฝาหลังแบบสีเรียบหรูและเป็นแบบพื้นผิวไม่มันวาว และโมดูลกล้องดีไซน์แบบ Ambient Edge ที่ดูกลมกลืนเข้ากับตัวเครื่องอย่างสวยงาม อีกทั้งด้านข้างยังมีปุ่มสแกนลายนิ้วมือเพื่อการใช้งานที่สะดวกและรวดเร็ว ส่วนด้านหน้าเป็นกระจก Corning Gorilla Glass 5 มีความแข็งแรงและมีกล้องหน้าแบบ Infinity-V หรือแบบหยดน้ำนั่นเอง โดยรุ่น A23 ปกติจะมีสามสีให้เลือกคือสีดำ, ฟ้า และพีช ส่วนรุ่นที่เป็น 5G มีสองสีให้เลือกคือสีดำ และสีฟ้า
หน้าจอใหญ่ เล่นได้ไหลลื่นมากขึ้นในรุ่น 5G
สำหรับหน้าจอของทั้งสองรุ่นคือ Samsung Galaxy A23 และ Samsung A23 5G นั้นจะเป็นแบบหยดน้ำแบบ Infinity-V พร้อมขนาดความกว้าง 6.6 นิ้วขนาดใหญ่ เล่นได้เต็มที่ทุกการใช้งาน และมีเทคโนโลยี FHD+ ความชัดละเอียด 1080 x 2408 ระดับเดียวกันอีกด้วย แต่ทั้งสองรุ่นนี้จะมีความต่างกันที่ Samsung A23 นั้นมีหน้าจอเป็นแบบ PLS TFT LCD ที่มีอัตรา Refresh Rate 90Hz ส่วนในรุ่น Samsung A23 5G จะเป็นหน้าจอ PLS LCD ที่มีอัตรา Refresh Rate 120Hz ที่มีความไหลลื่นมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามทั้งสองรุ่นก็ยังใช้งานหรือรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ได้ในความคมชัดเหมือนกันอยู่แล้ว แต่ถ้าใครที่อยากได้ความไหลลื่นขั้นสุดรุ่น 5G จะเหมาะกว่า แต่ถ้าไม่ได้เน้นตรงจุดนี้มากเท่าไหร่นักในรุ่นปกติก็ใช้งานได้ไหลลื่นได้เพียงพอแล้วเช่นกัน
ชิปประมวลผลตัวแรง เล่นเกมได้สบายๆ
มาต่อกันที่เรื่องของประสิทธิภาพของ Samsung Galaxy A23 และ Samsung A23 5G ทั้งสองรุ่นนี้กันบ้าง ที่ต้องบอกว่าสเปคชิปของทั้งสองรุ่นนี้สามารถใช้เล่นเกมได้ดีเลยทีเดียว เพราะว่าเป็นชิปจาก Qualcomm Snapdragon ทั้งคู่แต่จะต่างกันที่ซีรีส์รุ่นนิดหน่อยเท่านั้น โดยรุ่น Samsung A23 นั้นจะใช้ชิป Snapdragon 680 4G Octa Core พร้อมกับ RAM 6GB/ ROM 128GB ใช้งานทั่วไปหรือเล่นเกมได้ปกติ และเชื่อมต่อ 4G ได้ ส่วนอีกรุ่นอย่าง Samsung A23 5G นั้นก็ได้อัพเกรดเป็นชิป Snapdragon 695 5G Octa Core กับความจุ RAM 8GB/ ROM 128GB ใช้งานได้ถึง 5G ไปแล้ว แน่นอนว่ารุ่นนี้ก็เล่นเกมได้แบบสบายๆ หายห่วงเช่นกัน แถมยังมีฟีเจอร์ Game Booster สำหรับคอเกมอีกด้วย นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังรองรับเสียงและภาพยนตร์ด้วย Dolby Atmos ให้เสียงกระหึ่มรอบทิศทาง และขับเคลื่อนด้วยระบบ One UI 4 กับการเพิ่มความจุด้วย MicroSD ได้ 1TB เหมือนกันอีกด้วย
กล้องหน้าเซลฟี่สวย กล้องหลังคมชัดถึง 50MP
อีกหนึ่งอย่างของ Samsung Galaxy A23 และ Samsung A23 5G ที่มีสเปคคล้ายกันทั้งหมดเลยก็คือกล้องหน้าและกล้องหลัง ซึ่งปกติแล้วรุ่น 5G ส่วนใหญ่มักจะมีสเปคกล้องที่รองลงมาจากตัว 4G ปกติเยอะพอสมควร แต่ว่าทั้งสองรุ่นนี้ก็จัดเต็มเรื่องกล้องมาให้แบบคุ้มๆ จะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยกล้องหน้าของทั้งสองรุ่นนี้มีความละเอียด 8MP เซลฟี่ได้สวยๆ ด้วยเอฟเฟกต์โบเก้ ช่วยให้หน้าดูเด่นกว่าพื้นหลังเนียนๆ ส่วนกล้องหลังเป็นกล้อง 4 ตัวที่ความละเอียดหลัก 50MP (ƒ/1.8) ที่มีกันสั่น OIS ในตัวถ่ายได้นิ่งมากขึ้น และถ่ายได้ดีแม้อยู่ในที่แสงน้อย ส่วนที่เหลือคือกล้องอัลตร้าไวด์ 5MP (ƒ/2.2) ถ่ายกว้างได้ถึง 123 องศา และกล้องมาโคร 2MP (ƒ/2.4) ได้ได้ทั้งมุมใกล้และโบเก้แบบสวยๆ กับเลนส์ชัดลึกอีก 2MP (ƒ/2.4) ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ตามใจชอบ ส่วนความต่างของทั้งสองรุ่นนี้คือการถ่ายวิดีโอที่รุ่น A23 สามารถถ่ายได้ถึง UHD 4K แต่ว่ารุ่น A23 5G จะถ่ายได้เพียง FHD เท่านั้น
แบตอึดใช้งานได้ยาวนาน กับราคาที่ไม่เกินหมื่น
ปิดท้ายด้วยเรื่องความจุแบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy A23 และ Samsung A23 5G ที่ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต USB C และมีความจุแบตที่ 5,000 mAh พร้อมรองรับ Fast charging 25W เหมือนกัน ใช้งานได้อย่างยาวนานเต็มวันทั้งสองรุ่น แต่ว่าด้วยความที่รุ่น 5G นั้นจำเป็นต้องใช้พลังงานที่มากกว่า จึงทำให้รุ่น A23 5G สามารถใช้เล่นเน็ตต่อเนื่องได้สูงสุด 22 ชม. และดูวิดีโอต่อเนื่องได้สูงสุด 24 ชม. แต่ว่ารุ่น A23 รุ่นปกตินั้นสามารถใช้เล่นเน็ตต่อเนื่องได้มากถึง 27 ชม. กับการดูวิดีโอได้ถึง 26 ชม. เลยทีเดียว ส่วนราคาของทั้งสองรุ่นนี้จะมีความต่างกันอยู่เพียง 2,000 บาทเท่านั้น แต่ก็มีราคาที่ไม่เกินหมื่นทั้งคู่ มีความคุ้มค่าทั้งราคาและสเปคการใช้งานได้เหมือนกัน มีราคาแต่ละรุ่นดังนี้
- Samsung Galaxy A23 ราคา 7,999 บาท (กดซื้อได้ที่นี่)
- Samsung Galaxy A23 5G ราคา 9,999 บาท (กดซื้อได้ที่นี่)
ตารางเปรียบเทียบ Samsung A23 และ Samsung A23 5G กับรุ่นที่มีราคาใกล้เคียงกัน
สเปค\ รุ่น | Samsung Galaxy A23 | Samsung Galaxy A23 5G | Samsung Galaxy A13 5G | Samsung Galaxy M23 5G |
หน้าจอ | PLS TFT LCD, 90Hz กว้าง 6.6 นิ้ว | PLS LCD, 120Hz กว้าง 6.6 นิ้ว | PLS LCD, 90Hz กว้าง 6.5 นิ้ว | TFT LCD, 120Hz กว้าง 6.6 นิ้ว |
ชิป | Snapdragon 680 | Snapdragon 695 | Dimensity 700 5G | Snapdragon 750G |
กล้องหน้า | 8MP | 8MP | 5MP | 8MP |
กล้องหลัง | 50MP + 5MP + 2MP + 2MP | 50MP + 5MP + 2MP + 2MP | 50MP + 2MP + 2MP | 50MP + 8MP + 2MP |
RAM/ ROM | 6GB/ 128GB | 8GB/ 128GB | 4GB/ 64GB | 6GB/ 128GB |
แบต | 5,000 mAh, 25W | 5,000 mAh, 25W | 5,000 mAh, 15W | 5,000 mAh, 25W |
ราคา | 7,999 บาท | 9,999 บาท | 6,999 บาท | 8,999 บาท |
แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลสเปคของ Samsung Galaxy A23 และ Samsung A23 5G ทั้งสองรุ่นที่ถึงแม้ว่าจะเปิดตัวออกมาคนละช่วงเวลา แต่ทั้งสองรุ่นนี้ก็มีความคล้ายกันในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ตัวเครื่อง กล้องหลัง ความชัดของหน้าจอ แบตที่ใช้งานได้ยาวนานเหมือนกัน แต่ก็ยังคงมีความต่างกันที่รายละเอียดการใช้งานนิดหน่อย ทั้งหน้าจอที่ไหลลื่นต่างกัน และยังมีชิปที่ต่างกันในด้านการใช้งาน ทั้งความเร็วและการเชื่อมต่ออีกด้วย สำหรับใครที่ต้องการใช้งานแบบทั่วไป เน้นเล่นเกม ถ่ายรูปแต่ว่าไม่ได้จะใช้งาน 5G อยู่แล้วก็สามารถเลือกซื้อรุ่นปกติมาใช้งานก็เพียงพอครบทุกอย่างแล้ว แต่ถ้าใครอยากได้รุ่นที่มีจอลื่นมากขึ้น กับการใช้งานบนความเร็ว 5G ได้พร้อมกับการเล่นเกมหรือถ่ายรูปได้แบบสวยๆ ก็แนะนำว่าให้ซื้อรุ่น 5G รุ่นล่าสุดไปเลยก็คุ้มค่าการใช้งานเหมือนกัน แล้วถ้ามีเรื่องไหนน่าสนใจอีก เราก็จะนำมาฝากกันเรื่อยๆ เลยนะครับ