ถ้าพูดถึงว่ามือถือช่วงท้ายปีมีอะไรน่าสนใจบ้าง หนึ่งในตัวเลือกก็คงต้องมี Galaxy Note II อยู่ในนั้น เพราะเป็นมือถือตัวหนึ่งที่ถือว่า Samsung เป็นคนเริ่มตลาดนี้ด้วยตัวเอง ถึงเเม้ว่า Samsung จะไม่ได้เป็นคนทำมือถือ 5 นิ้วตัวเเรกของโลก (ตัวเเรกที่จำความได้คือ Dell Streak เเต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก)
เมื่อย้อนกลับไปปีที่เเล้ว คงจำกันได้ว่า Samsung จัดเต็มกับสเปคของ Galaxy Note โดยใส่ซีพียู Exynos ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Galaxy S II บวกกับหน้าจอขนาดใหญ่เเบบเเท็บเล็ตทำให้เเสดงผลได้เต็มตาเเละมากับสไตลัสที่ไม่พบเห็นกับมือถือยุคหลัง Windows Mobile เท่าไรนัก เเถมยังมีซอฟเเวร์ที่เอาไว้ดึงประโยชน์ของสไตลัสออกมาเช่นการวาดรูป จดโน้ต ก็ทำให้ไลน์ Galaxy Note ไม่ได้โดดเด่นเรื่องของสเปคตามจุดเเข็งของ Samsung เท่านั้น เเต่ยังมีเรื่องนวัตกรรมอื่นๆ ที่เพิ่มมาด้วยพอสมควร
ส่วน Galaxy Note II นี้จะมีอะไรให้เเปลกใจได้อีกหรือไม่ หรือว่า Samsung หมดมุกเเล้วเเค่เอาหน้าจอขยายใหญ่ขึ้น ปากกาจับถนัดขึ้น ซีพียูเร็วกว่าเดิมเเค่นั้นหรือ ก็ติดตามต่อกันในรีวิวครับ
ฮาร์ดเเวร์ : ทรงเดิมกับ Galaxy S III เเต่หน้าจอใหญ่เเละดีขึ้น
ตัวเครื่องของ Galaxy Note II นั้นยังคงลักษณะการดีไซน์ที่ยืมมาจาก Galaxy S III เดิม (คล้ายกับ Galaxy Note ที่ยืมดีไซน์ Galaxy S II มา) ตัวเครื่องมีลักษณะขอบมนทั้งหมดเเละไม่มีส่วนที่เป็นขอบเหลี่ยมเลย ซึ่งทำให้ถือได้ค่อนข้างสบายมือ ไม่รู้สึกเจ็บมือเหมือนกับเครื่องที่มีขอบเเหลมเหมือนกับมือถือบางรุ่น
Galaxy Note II นั้นวางขายสองสีคือสีเทากับสีขาว โดยสีเทานั้นถือเป็นสีใหม่เเต่ลักษณะก็จะคล้ายกับสีน้ำเงินที่เราเห็นใน Galaxy S III ที่ข้างหลังมีการเล่นเเฮร์ไลน์เหมือนกับอลูมิเนียมขัด เเต่ตัวเครื่องนั้นเป็นพลาสติกทั้งตัวเคลือบด้วย Hyperglaze ออกเงาๆ เเละลื่น เเต่ก็ทนทาน เป็นรอยยากครับ โดยตำเเหน่งปุ่มเลย์เอาท์ต่างๆ นั้นก็เรียกว่าเหมือน Galaxy S III อย่างกับเเกะ บล็อคเดียวกันเลย
จุดที่เเตกต่างหลักก็คือ Galaxy Note II นั้นมีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า Galaxy S III ประมาณ 0.7 นิ้ว เเต่เครืองก็ถือว่าไม่ใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดจอ เพราะขอบระหว่างจอนั้นค่อนข้างเเคบมากถ้าเทียบกับมือถือหลายรุ่น เรียกว่าใช้พื้นที่ตรงความกว้างได้คุ้มทีเดียว นอกจากนี้หน้าจอของ Galaxy Note II นั้นยังดีกว่า Galaxy S III ที่เเสดงสีขาวเเละสีอื่นๆ ได้ดีขึ้น จากปัญหาเดิมของ Galaxy S III นั้นจอสีจะออกอมฟ้าๆ หน่อย เเต่จอของ Galaxy Note นี้ไม่เป็นเเล้ว ส่วนปากกานั้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วย ฟีเจอร์อะไรต่างๆ ก็เหมือนเดิม โดยมีปุ่มตรงปากกากดเอาไว้เรียกคำสั่งต่างๆ ของโปรเเกรมอีกทีหนึ่ง ปากกานั้นใหญ่ขึ้น จับถนัดมือกว่าเดิม
จุดที่ด้อยสุดของ Galaxy S III นั้นคือเครื่องขอบเงินที่ลอกออกค่อนข้างง่าย เนื่องจากขอบนับมีลักษณะเคลือบเงา ต่างกับของเดิมที่เป็นสีด้านที่มีโอกาสลอกยากกว่า ซึ่งมือถือระดับสองหมื่นมาลอกได้ง่ายๆ เเบบนี้ก็ดูไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก
ถ้าสรุปเเล้วฮาร์ดเเวร์ของ Galaxy Note II ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เเข็งเเรงคล้ายกับ Galaxy S III เเถมยังมีการปรับปรุงเรื่องหน้าจอที่ดีขึ้นกว่าเดิมด้วยรวมไปถึงปากกาที่ใหญ่เเละจับถนัดมากกว่าเดิม เเต่เครื่องก็มีปัญหาเรื่องลอกจากขอบเงินเช่นกัน ซึ่งถ้าไม่ใส่เคสก็ต้องระวังกันหน่อยครับ
Android 4.1 Jelly Bean กับ TouchWiz เดิมๆ
Samsung Galaxy Note II เป็นมือถือตัวเเรกที่วางขายในช่วงปลายปีเเล้วมากับ Android 4.1 Jelly Bean เเบบเเกะกล่องมาเลย ซึ่งซีพียู Exynos 4 Quad กับเเรม 2 GB ของ Galaxy Note II ก็ทำให้การใช้งานตอบสนองได้รวดเร็วทันใจที่สุดเท่าที่เคยจับมา โดยเฉพาะกับเเรม 2 GB นี่ทำให้สลับโปรเเกรมกันได้เเบบสบายๆ โดยไม่ต้องเริ่มโปรเเกรมใหม่เเต่ต้น เพราะปกตินั้นถ้าเเรมไม่พอ Android จะทำการปิดโปรเเกรมพื้นหลังอัตโนมัติ เมื่อเรียกโปรเเกรมจึงเหมือนเริ่มใหม่เเต่ต้น เเต่ด้วยเเรม 2 GB ทำให้สลับไปเล่นได้รวดเร็วเเละใช้งานต่อได้เลย เท่าที่ลองใช้เมื่อเเรมสูงไปถึง 1.5 GB ก็จะเริ่มมีการปิดโปรเเเกรมพื้นหลังบางตัวที่ไม่ใช้งานออกไป เพื่อไม่ให้เครื่องหน่วงหรือกระตุกจนกระทบกับประสบการณ์ใช้งาน
โดย TouchWiz ของ Android 4.1 นั้นยังคงดีไซน์หน้าตาเหมือนกับบน Android 4.0 ที่ใช้บน Galaxy S III เเต่ว่ามีการเพิ่มในส่วนของการปรับค่าเเสงสว่างเพิ่มเข้ามา รวมไปถึงลูกเล่นเฉพาะของ Note II เอง เช่น เมื่อดึงปากกาจะมีการเเนะนำเเอพที่ใช้งานปากกาให้อย่าง S-Note, S-Planner หรือถ้าเสียบหูฟังก็จะเป็น Music Player อะไรเเบบนี้ครับ ซึ่งจะมีเเนะนำทั้งในหน้า Notification เเละหน้าโฮมปกติ ตรงนี้เรียกว่า Page Buddy ซึ่งจะออกมาเวลาที่เราดึงปากกาออก ถ้าเสียบหูฟังก็จะมีวิดเจ็ตที่เล่นเพลงปรากฏขึ้นมา เมื่อเราใส่ปากกาหน้านี้ก็จะหายไป สังเกตว่าหน้าที่เป็น Page Buddy จะมีขอบเหลืองล้อมรอบ ซึ่งต่างจากหน้าโฮมปกติ
ปากกาของ Galaxy Note II นั้นสามารถใช้งานได้ทั้งโหมดการใช้งานปกติ เช่น กดปุ่มบริเวณตรงปลายปากกาค้างไว้ตรงจอประมาณ 1 วิจะเป็นการจับหน้าจอพร้อมเรียก Photo Editor ขึ้นมา หรือขณะที่กดปุ่มเราสามารถลากเส้นเพื่อตัดรูปเเละเเชร์ไปยังเเอพอื่นๆ ได้ ส่วนฟีเจอร์ใหม่อันหนึ่งที่ถือว่าสร้างสรรค์ดีก็คึอ Air View โดยจะอยู่ในรูปเเบบของการพรีวิว สามารถใช้งานได้หลายเล่น เช่นพรีวิวภาพใน Gallery ให้ใหญ่ขึ้น พรีวิววีดีโอใน seek bar เเละอธิบาย Tool Tip ต่างๆ ของไอคอน สามารถเรียกโหมดนี้ด้วยการนำสไตลัสไปจ่อไว้ใกล้ๆ จอจะเห็นมาร์กเป็นจุดเลเซอร์เอาไว้ให้เล็งครับ
ในส่วนของโปรเเกรมเชิดหน้าชูตาประจำซีรีย์นี้ก็คือ S Note หน้าตาจะคล้ายๆ ของเดิมเเต่มีเทมเพลทให้เลือกมากขึ้น เช่น รายงานจดประชุม เเถมยังเปลี่ยนเเบคกราวด์ได้อีกด้วย จะเอาเเบบไร้เส้น มีเส้น ไว้จดคอร์ดดนตรี หรือลายตารางเอาไว้เล่นล้อมเมืองก็ทำได้ ตรงนี้ถือว่าทำออกมาครบถ้วนดีครับ เหมาะกับเอาไว้ใช้กับการเขียนจริงๆ ไม่ใช่เเค่การจดโน้ตเท่านั้น
จุดเด่นของ S Note ยังคงเป็นเรื่องหน้าจอของที่ใช้ของ Wacom รองรับน้ำหนักเเรงกดได้หลายระดับ ซึ่งสำหรับคนที่วาดรูปเเล้วก็คงถือว่าจำเป็นมากเพราะมันจะทำให้ลงเเสงเงาเเละวาดอะไรต่างๆ ได้ดีขึ้นเหมือนกับใช้ดินสอ เเต่จุดที่ถือว่าเจ๋งมากน่าจะเป็นส่วนของ Formula Match ที่เเปลงลายมือเราไปเป็นสูตรคณิตศาสตร์ได้ ทำได้เเม่นยำทีเดียวครับ
ส่วนเรื่องตัวอักษรนั้นก็ถือว่าตรวจจับได้ดีมาก ถ้าเขียนไม่หวัดจนเกินงามก็เเทบไม่มีอาการเพี้ยนให้เห็น ตอนเเรกคิดว่าตัวเเอพใช้การเดาศัพท์จากฐานข้อมูลก็ปรากฏว่าไม่ใช่เพราะเขียนศัพท์เฉพาะหรืออะไรมั่วๆ ไปมันก็เดาถูกเหมือนกัน สรุปเเล้วถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ถือว่าเทพเลยละ ความเร็วถือว่าทำได้น่าพอใจเเทบไม่รู้สึกว่าเส้นมันหน่วงหรือมีดีเลระหว่างการเขียน
อย่างไรก็ตาม ใครที่หวังกับภาษาไทย (ไว้มาก) ก็ขอเเสดงความผิดหวังด้วยเพราะยังคงไม่ถึงขั้นใช้งานได้ดีเท่ากับภาษาอังกฤษ เพราะถ้าเขียนเป็นคำไปมันก็จะตรวจเป็นตัวอักษรอยู่ดี เช่น ถ้าเราเขียนคำว่า ?คน? ไป มันก็จะเห็นเป็นคำว่า ?ณ? เเทน เเต่ถ้าคิดว่าจะเขียนได้ทีละตัวอักษรก็ไม่เป็นปัญหาก็ถือว่าเเม่นใช้ได้ดีเหมือนกัน อย่างรูปด้านล่างเขียนสระเอ “งอ” มากไปหน่อยเลยกลายเป็นเลข 6 เเทน
ในเเอพปฏิทินของ Samsung เองอย่าง S-Planner ก็สามารถใช้ปากกาได้เช่นกัน ไว้จดคิวปฏิทินวาดอะไรนัดหมายก็ได้นะ เอาไปประยุกต์ได้หลายเเบบ จะเอาไว้เเชร์เป็นรูปให้คนอื่นดูก็ได้ ที่เด่นเหนือปฏิทินอื่นๆ ก็มีมุมของ Year View ให้ดูนี่เเหละ ไม่ค่อยเห็นกันซักเท่าไร
ด้วยความที่มันเป็นมือถือขนาดใหญ่ ทาง Samsung ก็คงรู้ว่าการมันก็ไม่ได้เหมาะกับการใช้งานมือเดียวเท่าไร ก็มีโหมด One-handed operation ออกมาให้ใช้ โดยปุ่มจะมีลักษณะเอียงไปด้านขวาหรือซ้ายตามถนัด ซึ่งมีทั้งโหมดคีย์บอร์ด เครื่องคิดเลข เเละปุ่มโทรเข้าโทรออก ที่ส่วนใหญ่จะใช้งานกันมือเดียวอยู่เเล้ว
โหมดใหม่ Blocking Mode เอาไว้ปิดการเตือนทั้งหลายเวลาที่เราต้องการสมาธิทำอะไรซักอย่าง เเต่ก็ยืดหยุ่นพอที่จะตั้งค่าว่าจะเปิดโหมดนี้เมื่อไรถึงเมื่อไร รวมไปถึงการอนุญาติให้คอนเเทคบางรายยังโทรมาหาเราได้อยู่เเม้จะเปิดโหมดนี้ก็ตาม เเละก็มี S Pen Option ให้ปรับฟีเจอร์เกี่ยวกับการใช้ปากกา ที่เพิ่มมาคือ S Pen Keeper โดยถ้าเราไม่ได้เสียบปากกาเข้าช่องเก็บเเละเครื่องเคลื่อนไหวไปมาระดับหนุึ่ง เครื่องก็จะสั่นเตือนว่าเราอาจจะลืมปากกาไว้
ส่วนที่เหลือก็ไม่มีอะไรมากนัก เพราะคล้ายๆ กับ Galaxy S III อย่าง SmartStay ที่จอจะไม่ดับถ้าตาเรายังมองจออยู่ หรือ S-Voice, Direct call, Samsung Hub พวกนี้ครับ ส่วนเรื่องเหมือนฟีเจอร์จะเยอะจนใช้งานไม่ถูกก็ไม่ถึงขั้นต้องกังวลไปเพราะ Samsung จะมีโหมดสอนฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ใน Setting อยู่เเล้ว โดยรวมก็ถือว่าเป็นรอมที่มีฟีเจอร์เยอะ เหมาะกับพวก Power User เเต่ก็มีการสอนการใช้งานสำหรับคนที่พึ่งเริ่มหัดใช้เช่นเดียวกัน ทำให้เรียนรู้ได้ไม่ยากครับ
ประสิทธิภาพเเละระยะเวลาใช้งาน
Galaxy Note II นั้นจะมีความเร็วที่เหนือกว่า Galaxy S III อยู่เล็กน้อยเนื่องจากใข้ซีพียูตัวเดียวกับ Galaxy S III คือ Exynos 4 Quad หรือ Exynos 4412 เมื่อรวมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพของ Android 4.1 ด้วยคะเเนนก็ดีขึ้นไปอีกครับ ส่วนการใช้งานจริงก็ถือว่าเร็วทั้งคู่ อาจจะต่างกันไม่ถึง 1 วิด้วยซ้ำ ส่วนคะเเนน GPU ที่ทดสอบมาคะเเนนมันดรอปจากปกติไปพอสมควรในค่า onscreen ที่รันตามความละเอียดของหน้าจอ เเต่พอเป็น offscreen ที่บังคับทดสอบที่ความละเอียด 1080p คะเเนนก็ออกมาตามปกติ สำหรับการใช้งานจริงก็ไม่มีปัญหาอะไร คือเล่นได้ทุกเกมตอนนี้เหมือน Galaxy S III
สำหรับใครที่อยากรู้ว่าเเรงกว่า iPhone 5 ไหม ก็ตามกราฟข้างล่างเลยครับ ค่า offscreen บอกได้ชัดเจนที่สุดเพราะควบคุมตัวเเปรเรื่องความละเอียดหน้าจอ Apple A6 เเรงกว่า Exynos 4 Quad อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่นับว่า Android ส่วนใหญ่จะช้าเพราะรันบน Virtual Machine เเละใช้โครงสร้างภาษา Java ที่ทำงานได้ค่อนข้างช้ากว่าบน iOS เเล้วก็ถือว่าเเพ้ทั้งซอฟเเวร์เเละฮาร์ดเเวร์ในเรื่องของความเร็วเลยครับ
Sunspider Javascript Benchmark (คะเเนนน้อยกว่า = ดีกว่า)
GLBenchmark Egypt Onscreen – คำนวณตามความละเอียดหน้าจอ (คะเเนนมากกว่า = ดีกว่า)
GLBenchmark Egypt Offscreen – คำนวณที่ความละเอียด 1080p (คะเเนนมากกว่า = ดีกว่า)
สำหรับระยะเวลาการใช้งาน ถึงเเม้เเบตเตอรี่จะสูงถึง 3100 mAh ที่ถือว่าเป็นรอง Motorola RAZR Maxx เพียงเเค่ 200 mAh เเต่ก็ใช้งานได้ประมาณวันนิดๆ เท่านั้นสำหรับการใช้งานที่ค่อนข้างหนักหน่อย ถ้าใช้งานเเบบไม่หนักมากก็อยู่ได้ประมาณ 2 วัน ถือว่าดีกว่ามือถือส่วนใหญ่เเต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นโดดเด่นอย่างที่ใครหลายๆ คนอาจจะตั้งความหวังกันไว้ ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นเพราะหน้าจอใหญ่มากถึง 5.5 นิ้วอีกทั้งจอ Super AMOLED นั้นส่วนใหญ่จะใช้พลังงานมากกว่าปกติอยู่เเล้ว
รูปกล้อง
ถ้าเทียบกับกล้อง 8 ล้านพิกเซล ของ Galaxy S III ที่เคยรีวิวมาก่อนนั้น ผมรู้สึกว่าตัวนี้สวยกว่าเยอะมาก ไม่รู้ Samsung เล่นของกับ Galaxy Note II หรือเปล่า หรือตัว Galaxy S III นั้นตอนรีวิวตัวเฟิร์มเเวร์ยังไม่สมบูรณ์ดี การถ่ายออกมาส่วนใหญ่ให้ภาพที่คมชัด สีสันออกมาค่อนข้างสดใส รายละเอียดที่ค่อนข้างดี Whitebalance ไม่เพี้ยนเท่าไร ผิดกับตัวเก่าที่เกิดอาการชดเชยเเสงมากไปบ้าง น้อยไปบ้างจนภาพออกมาดูเละไม่สวยเท่าที่ควร ก็ถือว่าค่อนข้างพอใจกับกล้องของ Galaxy Note II นี้นะครับ
รูปบางมุม Whitebalance จะเพี้ยนๆ อมเขียวบ้างถ้าเทียบกับรูปด้านล่างมุมซ้ายเเละขวาจะเห็รว่ารูปทางซ้ายสีขาวตรงกว่า เวลาถ่ายต้องเล็งให้ดีหน่อยครับ ถ้าสภาพเเสงไม่สว่างมาก มันก็ไม่เชิงว่าจะเล็งเเละกดได้เลยนะ
สรุป
Samsung เองก็วางไลน์ของ Galaxy Note เอาไว้ได้น่าสนใจโดยวางตำเเหน่งเอาไว้เหนือ Galaxy S III เพราะในตลาดตอนนี้ก็ไม่มีสมาร์ทโฟนจอใหญ่พิเศษระดับไฮเอนด์ให้เลือกมากนัก ถึงเเม้ผู้เขียนจะพบว่ามันพกลำบาก (ใส่กางเกงเเล้วปีนอะไรชันๆ ขึ้นเเล้วติด) เเละใช้งานด้วยมือเดียวไม่ค่อยสะดวกนัก เเต่เท่าที่สังเกตคนที่ซื้อ Galaxy Note ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเดือดร้อนกับเรื่องการพกพาเท่าไร โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีกระเป๋าถืออยู่ก็ไม่มีปัญหาในเรื่องการพกพาอย่างผู้ชาย เเละการใช้งานมือเดียวส่วนใหญ่ก็มีเเค่การรับสายเท่านั้น ถ้าใช้งานทั่วไปก็สามารถถือสองมือได้โดยไม่ลำบากอย่างที่คิด
ในส่วนของปากกานั้นก็ทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการตรวจจับลายมือเเละเเปลงเป็นอักษรทำได้เเม่นยำขึ้นจนพอใช้งานจริงได้เเล้วสำหรับภาษาอังกฤษ ยิ่งถ้าใครชอบขีดๆ เขียนๆ นั้น Galaxy Note II ก็ตอบสนองในเรื่องของสไตลัสได้ดีกว่าเจ้าอื่นๆ มาก จากเรื่องน้ำหนักของปากกาที่ไม่มีเจ้าอื่นทำออกมาเเข่ง โดยส่วนใหญ่เป็นเเค่สไตลัสเเบบปกติเท่านั้น เท่าที่ลองมา Galaxy Note เป็นสมาร์ทโฟนตัวเดียวที่มี Palm Rejection ที่สามารถวางมือเขียนลงได้เหมือนกับบนสมุดโน้ตจริงๆ เพราะเเท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนเจ้าอื่นๆ นั้นไม่สามารถวางมือไปบนจอเพื่อเขียนได้
ถ้ามองข้ามข้อเสียหลักๆ ในเรื่องการพกพาเเละใช้มือเดียวลำบากไป Galaxy Note II ก็ให้ในสิ่งที่มือถือหลายตัวให้ไม่ได้คือการเเสดงผลขนาดใหญ่ที่มองได้ง่ายเเละสบายตาไม่ต้องซูมเข้าออกบ่อยๆ เมื่อรวมกับข้อเสียในเรื่องของจอสีเพี้ยนที่ปรับปรุงจาก Galaxy S III เเล้วก็ถือเป็นเครื่องที่ไม่มีจุดอ่อนร้ายเเรงจนถึงขั้นไม่น่าใช้ อย่างเรื่องเครื่องลอกก็สามารถเเก้ไขได้ด้วยการใส่เคสที่ส่วนใหญ่ก็ใส่กันเป็นปกติอยู่เเล้ว
ถึงเเม้ว่าใครอาจจะไม่ชอบดีไซน์ของ TouchWiz หรือตัวเครื่องที่ดูเเล้วดูไม่ไฮเอนด์สมกับราคา 22,900 บาท ก็ต้องยอมรับว่า Samsung ทำการบ้านสำหรับ Galaxy Note II มามาก โดยได้เเก้ไขจุดด้อย พัฒนาจุดเเข็งออกมาได้ดีอย่างชัดเจน บวกกับข้อเสียนั้นดูเป็นเรื่องที่เเก้ไขได้หรือมีปัญหาเพียงเล็กน้อย ใครที่เน้นความคุ้มเเละฟีเจอร์ เมื่อเทียบกับ Galaxy S III ที่เเพงกว่าเเค่พันบาทเท่านั้น Galaxy Note II ได้เเรมเพิ่มมาอีก 1 GB หน้าจอใหญ่ขึ้นอีก 0.7 นิ้ว กับปากกามากความสามารถ ไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่าอะไรคุ้มกว่า
ข้อดี
- เร็วเหมือน Galaxy S III
- เเรม 2 GB สลับโปรเเกรมได้หายห่วงมาก Multitask ได้เต็มรูปเเบบโดยเเทบไม่มีการคืนเเรมจนต้องเปิดโปรเเกรมใหม่
- มากับ Android 4.1 เเบบเเกะกล่อง ได้ใช้ก่อนชาวบ้าน อนาคตอัพเดทเฟิร์มเเวร์สดใสกับสเปคระดับไฮเอนด์
- TouchWiz ฟีเจอร์เยอะดี ใช้งานได้จริง อย่างตรงปรับค่าเเสงสว่างตรง Notification มีการสอนการใช้งานเครื่องเป็นระยะๆ ตัวอย่างการสอนเเนะนำได้ดี
- จับลายมือภาษาอังกฤษได้ดีมาก เขียนได้เป็นคำๆ ใช้งานได้จริงเลย
- ปากกาใหญ่กว่าเดิม จับได้ถนัดขึ้น
- จอสวยกว่า Galaxy S III
- มี Palm Rejection เขียนโน้ตโดยวางมือบนจอได้ ทำให้เขียนได้เหมือนบนสมุดจริงๆ
ข้อจำกัด
- เเบตเตอรี่ถึงจะให้ขนาดมา 3100 mAh เเต่ระยะการใช้งานเกินมาตรฐานมานิดหน่อย ไม่ถึงกับเรียกว่าเเบตเตอรี่อึดได้
- เครื่องขอบเงิน มีโอกาสลอกได้
- ไม่ใช่ขนาดสำหรับทุกคน (อยู่ดี)
- ใส่กระเป๋ากางเกงปกติยังลำบาก (ตรงนี้ผู้หญิงคงไม่มีปัญหา)
- ตัวเครื่องหลุดมือง่ายจากขนาดใหญ่เเละมนกว่าปกติ
- ไม่เหมาะกับการใช้งานมือเดียว นิ้วโป้งเอื้อมไม่ถึงกลางจอด้วยซ้ำ ถ้าใช้สองมือก็ไม่มีปัญหาอะไร
- ภาษาไทยยังเขียนได้ทีละตัวอักษร เขียนเป็นคำไม่ได้