ZTE Blade A35 สมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นที่เปิดตัวมาเพื่อผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนราคาประหยัดเน้นใช้งานทั่วไป มาพร้อมฟีเจอร์พื้นฐานครบถ้วนและรองรับแอปฯ ธนาคารทุกแอปฯ โดยจุดเด่นของ ZTE Blade A35 เครื่องนี้นอกจากราคาค่าตัวที่ประหยัดมากๆ ก็จะมีหน้าจอที่มีขนาดใหญ่และแบตเตอรี่ที่อึดเอามากๆ ซึ่งหลังจากที่ได้เอาไปใช้งานมาระยะหนึ่งนั้น การใช้งานในด้านต่างๆ จะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมกันได้เลย
สเปคของ ZTE Blade A35
- หน้าจอ : IPS-LCD, ขนาด 6.75 นิ้ว, ความละเอียด 1600 x 720 พิกเซล (HD+), Refresh Rate 90Hz
- ชิปประมวลผล : Unisoc SC9863A
- แรม : 4GB ชนิด LPDDR4X + 8GB Extended RAM
- หน่อยความจำ : 64GB ชนิด eMMC 5.1
- กล้องหลัง :
- ตัวที่ 1 : 8MP, f/1.7, AF (wide)
- ตัวที่ 2 : AI
- กล้องหน้า : 5MP, f/1.7 (wide)
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบปฏิบัติการ : MyOS 14 บนพื้นฐานของ Android 14
- การเชื่อมต่อ :
- 4G LTE Dual-SIM
- Wi-Fi 4 (802.11 a/b/g/n)
- Bluetooth 4.2
- GPS, GLONASS, Beidou, Galileo
- USB Type-C
- Audio Jack 3.5 mm.
- เซ็นเซอร์ :
- Accelerometer
- Orientation
- สี : Starry Black, Green
- ราคา : 2,699 บาท
ดีไซน์ตัวเครื่อง
สำหรับดีไซน์ตัวเครื่องนั้นจะเน้นการออกแบบที่เรียบง่ายไม่มีลวยลายอะไร แต่เน้นไปที่ผิวสัมผัสที่ให้ความรู้สึกเหมือนกระจกแทน มาพร้อมโมดูลกล้องขนาดใหญ่ที่ภายในมีการใส่เลนส์กล้องเอาไว้ 2 ตัวและไฟแฟลชแบบ LED พร้อมโลโก้ ZTE ที่ด้านข้างโมดูล
สำหรับสีสันตัวเครื่องนั้นจะมีให้เลือกอยู่ 2 สีคือสีดำและสีเขียว ส่วนสีที่ทางทีม Specphone ได้มาจะเป็นสีดำ Starry Balck โดยฝาหลังของสีดำนี้จะมีความแตกต่างจากสีเขียวอยู่ตรงที่ภายในจะกลิตเตอร์คล้ายดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนมาช่วยเสริมความสวยงามให้กับตัวเครื่องด้วยครับ
ในส่วนของหน้าจอนั้นจะมาเป็นหน้าจอแบบหยดน้ำที่ใช้พาแนลเป็น IPS-LCD พร้อมด้วยขนาดหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ถึง 6.75 นิ้ว ความละเอียด HD+ พร้องทั้งมีอัตรารีเฟรชที่ 90Hz เพียงแต่ด้วยการที่เป็นหน้าจอแบบหยดน้ำทำให้ขอบจอมีความหนาเล็กน้อย
ส่วนขอบด้านข้างจะมาด้วยดีไซน์ขอบเหลี่ยมตามสมัยนิยม โดยที่ปุ่มปรับเสียงและปุ่มเปิด-ปิดจะรวมกันอยู่ที่ฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นช่องใส่ซิม ส่วนด้านล่างจะมีช่องหูฟังขนาด 3.5 มม. พอร์ต USB-C, รูไมโครโฟนและลำโพงตัวเครื่องอยู่ แต่ที่จะโดดเด่นหน่อยคือปุ่มเปิด-ปิดที่มีการเติมสีแดงลงไปด้วย ทำให้ตัวปุ่มโดดเด่นแบบสุดๆ เลย
ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการใน ZTE Blade A35 จะมาพร้อมระบบปฏิบัติการ MyOS 14 ที่เป็น Android 14 โดยตัว UI จะเป็น UI แบบ Android แท้ๆ ไม่มีการปรับแต่ง UI หรือไอคอนใดๆ มีเพียงการติดตั้งแอปฯ บางส่วนเพิ่มเข้ามา ด้วยความที่เป็นระบบแบบเรียบๆ ทำให้ไม่ค่อยกินสเปคตัวเครื่องมากนัก และด้วยความที่ไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไรมากเลยทำให้ไม่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ระบบมากนักด้วย
การใช้งานทั่วไปและการชาร์จ
ในเรื่องการใช้งานนั้นเริ่มด้วยการจับถือก่อนเลย โดยตัวเครื่องนั้นจะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้คนที่มีมือขนาดเล็กอาจจะจับมือเดียวได้ลำบากหน่อย แต่ถ้าพูดถึงน้ำหนักตัวเครื่องแล้วถือว่าใช้ได้เลย เพราะน้ำหนักตัวเครื่องไม่ได้หนักอะไรมากมาย ทำให้สามารถพาพกได้สะดวก แถมยังทำให้สามารถถือได้นานอีกด้วย
ต่อมาคือการเล่นโซเชียลและดูหนังหรือคลิปก็เรียกได้ว่าใช้ได้ในระดับหนึ่งเลย ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ถึง 6.75 นิ้ว อีกทั้งยังมีอัตรารีเฟรชสูงถึง 90Hz ทำให้ภาพมีความลื่นไหลกว่าสมาร์ทโฟนในเรทราคาเดียวกัน นอกจากนี้ด้วยชิป Unisoc SC9863A ที่กินพลังงานน้อยมากทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน เพียงแต่ตัวชิป Unisoc SC9863A เป็นชิปที่มีอายุราวๆ 6 ปีแล้ว เลยทำให้เวลาใช้งานอาจจะมีความหน่วงเล็กน้อย นอกจากนี้ด้วยความจุที่ให้มาเพียง 64GB และเหลือให้ใช้ราวๆ 50GB ทำให้อาจจะต้องคอยจัดสรรพื้นที่เก็บข้อมูลอยู่ตลอด
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจช่วยให้การใช้งานมีความง่ายขึ้นเล็กน้อยก็คือฟีเจอร์ Live Island ที่จะช่วยแสดงข้อมูลสถานะของระบบและแอปฯ ไว้ที่ด้านบนของหน้าจอบริเวณกล้องหน้า ช่วยเพิ่มสีสันและความสะดวกให้กับตัวเครื่องได้ด้วย
สำหรับแบตเตอรี่นั้นตัวเครื่องมีแบตเตอรี่ขนาด 5000mAh จากที่ลองใช้มานั้นบอกเลยว่าอึดมาก สามารถใช้งานได้ 2-3 วันสบายๆ ถ้าเน้นใช้โทร-รับเป็นหลักและมีการเล่นโซเชียลบ้างเล็กน้อย สำหรับการชาร์จนะ้นตัวเครื่องจะรองรับการชาร์จที่ 10W และเราได้ลองจับเวลาในการชาร์จแล้วครับหลังจากแบตเตอรี่เหลือเพียง 2% เท่านั้น โดยระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่จาก 2% จนเต็มนั้นใช้เวลาไปทั้งหมด 2 ชั่วโมง 42 นาที ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาชาร์จปกติของการชาร์จด้วยกำลังไฟ 10W ดังนั้นจึงอยากแนะนำว่าหลังแบตเตอี่เหลือราว 50% ก็สามารถเริ่มเสียบชาร์จได้เลยครับ ไม่ต้องรอจนหมดก็ได้
การเล่นเกม
ในด้านการเล่นเกมนั้นตัวชิปประมวลผล Unisoc SC9863A นั้นเป็นชิปขนาด 28nm ที่เน้นในเรื่องการประหยัดพลังงานอย่างถึงที่สุด ทำให้ตัวเครื่องนั้นไม่สามารถเล่นเกมระดับสูงหรือกินสเปคในระดับหนึ่งได้ โดยเราได้ลองเล่นเกมยอดนิยมที่ไม่าได้กินสเปคมากอย่าง RoV และ Free Fire พบว่า ZTE Blade A35 สามารถเล่นได้แบบลื่นๆ เลย แต่ถ้าปรับกราฟิกสูงสุดอาจจะมีอาการสะดุดบ้างเล็กน้อย สำหรับเกม RoV นั้นสามารถเปิดโหมด 60fps ได้ แต่เวลาต่อสู้กันเฟรมเรทจะหล่นลงมาแถวๆ 30fps แทน ซึ่งก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร สามารถเล่นต่อได้สบาย
การถ่ายภาพ
สำหรับในเรื่องการถ่ายภาพนั้นตัวเครื่องจะมาพร้อมกล้องหลัง 8MP และกล้องหน้า 5MP แต่ที่น่าสนใจคือกล้องหลังนั้นมาพร้อมระบบออโต้โฟกัสด้วยนั่นเอง สำหรับภาพที่ได้นั้นทั้งความคมชัดและสีสันนั้นเรียกได้ว่าไม่ได้โดดเด่นอะไร ส่วนการบันทึกวิดีโอนั้นถ้าเป็นกล้องหลังจะรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 1080p @30fps และที่กลอ้งหน้าได้ 720p @30fps เท่านั้น เรียกได้ว่าเหมาะกับการเอามาใช้งานแบบทั่วไปมากกว่า หรือจะเอามาใช้ VDO Call ก็ยังได้
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปการรีวิว
สรุปการรีวิวจากการที่ได้เอาไปใช้งานมาระยะหนึ่งนั้นต้องบอกเลยว่า ZTE Blade A35 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่อึดมากตามที่ทางแบรนด์กล่าวเอาไว้ และด้วยหน้าจอที่ใหญ่และราคาค่าตัวที่เข้าถึงได้ง่ายสุดๆ ทำให้ ZTE Blade A35 เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนตัวเลือกสำหรับคนที่ต้องการสมาร์ทโฟนมาไว้ใช้งานแบบพื้นฐาน หรือคนที่มีข้อจำกัดทางการเงิน และไม่อยากจ่ายเงินเยอะ ด้วยความที่ ZTE Blade A35 มีขายบนร้านออนไลน์ทำให้สามารถหาราคาที่ถูกยิ่งกว่านี้ได้ด้วยครับ
จุดเด่น
- ดีไซน์เรียบๆ แต่มีผิวสัมผัสที่ดี
- หน้าจอใหญ่ 6.75 นิ้ว
- ชิป Unisoc SC9863A ประหยัดพลังงานมาก
- แบตเตอรี่ 5000mAh สามารถใช้งานได้เกินวันสบายๆ
- ราคาค่าตัวอยู่ในระดับที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้
ข้อสังเกต
- หาอุปกรณ์เสริมเช่นเคสหรือฟิล์มยาก
- หน่วยความจำ 64GB อาจจะไม่เพียงพอให้ใช้ เพราะแอปฯ ส่วนใหญ่ในปัจจุบันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ