Mi Band 6 หรือ Mi Smart Band 6 สมาร์ทแบนด์เพื่อสุขภาพรุ่นใหม่ อัพเกรดเพิ่มเติมให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มฟังก์ชั่นวัดค่าอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดเข้ามา อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนหน้าจอให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นด้วย เป็นการเติมเต็มในส่วนที่รุ่นก่อนอย่าง Mi Band 5 ขาดไป ในราคาที่ถูกลงเหลือแค่ 1,090 บาทเท่านั้น
สเปค
- หน้าจอ : AMOLED ขนาด 1.56 นิ้ว ความละเอียด 152×486 พิกเซล
- แบตเตอรี่ : 125 mAh
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.0
- เซ็นเซอร์ :
- Heart Rate
- SpO2
- NFC
- 3-axis Accelerometer Barometer
- 3-axis Proximity
- ฟีเจอร์ : กันน้ำ 5ATM (50 เมตร)
- สี : Black, Orange, Yellow, Olive, Ivory และ Blue (สีของสาย)
จุดเด่น
- หน้าจอ AMOLED ใหญ่เต็มตา แถมเปลี่ยนดีไซน์หน้าจอได้ถึง 60 แบบ
- มีฟังก์ชั่นการวัดค่าอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (SpO2) แล้ว
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจได้อย่างแม่นยำ (คลาดเคลื่อนไม่เกิน 10)
- ตรวจจับความเครียดและวัดรอบประจำเดือนได้
- ฟังก์ชั่นการออกกำลังกายมากถึง 30 ประเภท แถมยังสามารถตรวจจับการออกกำลังกาย 6 ประเภทโดยอัตโนมัติ
- ตรวจวัดคุณภาพของการนอนหลับและการหายใจ
- แบตเตอรี่ยาวนาน 14 วัน
- กันน้ำได้ถึง 5ATM
จุดสังเกต
- เมนูเป็นภาษาอังกฤษ (ในอนาคตอาจมีอัพเดตเพิ่ม)
ดีไซน์
สำหรับดีไซน์ภายนอกนั้นหากมองผ่าน ๆ จะแยกได้ยากมาก ๆ หากไม่เปิดจอขึ้นมาให้เห็น อาจเข้าใจผิดเป็น Mi Band 5 ได้เลย
ในเรื่องของหน้าจอคราวนี้นั้นยังใช้เป็นหน้าจอแบบ AMOLED เช่นเดิม แต่มีการเปลี่ยนหน้าจอแสดงผลให้มีขนาดที่ยาวขึ้นจนเต็มพื้นที่ (Mi Band 5 ส่วนล่างจะเป็นปุ่ม Home) ทำให้มีหน้าจอที่ใหญ่ถึง 1.56 นิ้วเลยทีเดียว
ที่ด้านหลังนั้นก็มีความแตกต่างจาก Mi Band 5 ด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเพิ่มมาของฟังก์ชั่นวัดค่าอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ทำให้เซ็นเซอร์ด้านหลังมีการวางเรียงตัวที่แตกต่างไปจากเดิม
ตัวสายนั้นเป็นสายซิลิโคนแบบเดียวกับ Mi Band 5 ทำให้สามารถใช้สายร่วมกันได้ แถมยังมีสีสันให้เลือกมากถึง 6 สี ได้แก่ Black, Orange, Yellow, Olive, Ivory และ Blue
ส่วนในกล่องนั้นจะมีสายชาร์จ (ที่ใช้ร่วมกับ Mi Band 5 ได้) และหนังสือคู่มือเพียงแค่นี้เท่านั้น
การใช้งาน
ในเรื่องการใช้งานนั้นก่อนที่จะใช้งานได้มีอยู่ 2 สิ่งที่จำเป็นต้องทำก็คือการเชื่อมต่อ Bluetooth และการเชื่อม Mi Band 6 เข้ากับแอพ Mi Fit โดยการเชื่อมต่อ Bluetooth จะเป็นการเชื่อมต่อแบบปกติ ส่วนการเชื่อมต่อกับแอพ Mi Fit นั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้เลย
1. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Mi Fit จาก Android หรือ iOS
2. ลงทะเบียนและล็อกอินเข้าสู่ระบบของ Mi Fit พร้อมเปิดบลูทูธของสมาร์ทโฟนเอาไว้
3. ไปที่แท็บ “ โปรไฟล์ ” เลือก “ เพิ่มอุปกรณ์ ” และเลือก “ แบนด์ ”
4. จากนั้นระบบจะทำการค้นหา Mi Band 6 อัตโนมัติ เมื่อค้นหาแล้ว ให้เรากดยืนยันที่ตัว Mi Band
5. เชื่อมต่อเสร็จสิ้นแล้ว ใช้งานได้เลย
หลังจากเชื่อมต่อเสร็จแล้วเราสามารถตั้งค่าต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่มีลวดลายต่าง ๆ ให้เลือกมากถึง 60 แบบ, การแจ้งเตื่อนต่าง ๆ, การติดตามสุขภาพ รวมถึงการตั้งค่าทั่ว ๆ ไป (บางอย่างต้องไปตั้งค่าในแบนด์เท่านั้น อย่างเช่นความสว่างและระยะเวลาหมดเวลาหน้าจอ)
ที่หน้าแรกของแอพ Mi Fit จะมีการแสดงค่าต่าง ๆ โดยสรุปทั้งค่า PAI, ระดับความเคลียด, ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด, การติดตามการนอนหลับ รวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจด้วย นอกจากนี้ยังแสดงระยะการเดิน / วิ่ง / ปั่นจักรยาน ออกมาเป็นหน่วย กิโลเมตรอีกด้วย (ใช้งานร่วมกับ GPS ของเครื่อง)
หน้าที่สองของตัวแอพจะเป็นหน้าที่เอาไว้แชร์การออกกำลังกายหรือการนอนกับเพื่อน ๆ หรือครอบครัวได้
สำหรับฟังก์ชั่นที่นอกเหนือจากฟังก์ชั่นหลัก ๆ แล้วตัว Mi Band ยังสามารถใช้เป็นปุ่มชัดเตอร์กล้อง หรือใช้ควบคุมเพลงได้อีกด้วย
เวลาชาร์จ Mi Band นั้นหลังจากที่เอาแถบแม่เหล็กไปติดที่ด้านหลังแล้วหน้าจอจะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นหน้าจอที่จะแสดงอยู่แค่ 2 อย่างคือเวลาและปริมาณแบตเตอรี่เท่านั้น (ตัวอย่างโต)
ในเรื่องของข้อความต่าง ๆ ที่เป็นภาษาไทยนั้นก็เรียกได้ว่าปกติ ไม่มีปัญหาเรื่องตัวอักษรเลย แต่ด้วยหน้าจอที่ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ทำให้อาจจะดูยากนิดหน่อย
สรุปจุดที่แตกต่างจาก Mi Band 5
หน้าจอแสดงผล : ใน Mi Band 6 นี้จะเป็นหน้าจอแบบเต็มตัว ซึ่งต่างจาก Mi Band 5 ที่ไม่ถึงกับเต็มตัว เนื่องจากพื้นที่ด้านล่างส่วนหนึ่งกลายเป็นปุ่ม Home นั่นเอง
เซ็นเซอร์ SpO2 : ใน Mi Band 6 นั้นมีเซ็นเซอร์วัดค่า SpO2 ในเลือด ซึ่งใน Mi band 5 ไม่มี อีกทั้งตัวเซ็นเซอร์นี้ยังทำให้ตำแหน่งการวางเซ็นเซอร์ด้านหลังเปลี่ยนไปด้วย
ราคาที่ถูกลง : ใน Mi Band 6 นี้เปิดตัวมาด้วยราคาเพียง 1,090 บาทเท่านั้น ส่วน Mi band 5 นั้นมีราคา 1,190 บาท ซึ่งการที่ได้ฟีเจอร์เพิ่มในราคาที่ถูกลงเป็นอะไรที่ดีเอามาก ๆ