เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สำหรับสมาร์ทโฟนเรือธง P Series ในปี 2018 ของทาง Huawei ได้แก่ Huawei P20 และ Huawei P20 Pro จุดเด่นของสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องกล้อง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของ P Series มาโดยตลอด และแน่นอนว่า Huawei P20, P20 Pro ก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง เพราะแต่ละอย่างที่พัฒนาขึ้นมานั้น น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของคนชอบถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี
Huawei ตั้งใจให้ P20/ P20 Plus เป็นสมาร์ทโฟนที่ถ่ายรูปได้สวย ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าว มาพร้อมกับฮาร์ดแวร์กล้องแบบจัดเต็ม เอาเป็นว่า DXOMark ให้คะแนนกล้องสูงถึง 102 คะแนนสำหรับ Huawei P20 (คะแนนรวมภาพนิ่ง + วีดีโออยู่ที่ 102) ส่วน Huawei P20 Pro ทำคะแนนกระโดดไปถึง 114 คะแนน (คะแนนรวมภาพนิ่ง + วีดีโออยู่ที่ 109) เรียกได้ว่าสูงที่สุด ณ ตอนนี้เลยก็ว่าได้
Huawei P20 – Leica Dual Camera + AI
- กล้องคู่ Leica Summilux f/1.8 RGB + f/1.6 Monochrome 1.55um + AI
- Huawei 2X Hybrid Zoom
- กล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล
- 3D Face AI + 3D Portrait Lightning
Huawei P20 Pro – World’s 1st triple Leica camera
- มาพร้อมกล้องหลัง Leica ถึง 3 ตัว ประกอบไปด้วย
- เซ็นเซอร์ Monochrome (ขาวดำ) ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/1.6 2um
- เซ็นเซอร์ RGB ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล f/1.8 2um
- เลนส์ Tele ซูม ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4 (ซูมได้ 3 เท่า แบบ Optical)
- มาพร้อม Laser ช่วยโฟกัส และ เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิสี (Color Temp Sensor)
- ปรับ ISO ได้สูงถึง 51200
- 5x Huawei Hybrid Zoom [Tele 3X + Dual camera]
- 4D predictive Focus
- ถ่ายวีดีโอ Slo-mo 960 fps ที่ความละเอียด HD
- รองรับการถ่าย 4K ที่ 30 fps
- ISO สูงสุด 102,400
ตัวอย่างภาพถ่ายเมื่อเปิด ISO 102,400 (ด้านขวา) เทียบกับ ISO ปกติ 1200 ทางด้านซ้าย
Master Photography Powered by AI
เมื่อมีฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังแล้ว การใช้งานในแบบที่ใครก็ถ่ายรูปสวยได้ถือเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นใน Huawei P20/ P20 Pro คือการใส่ AI เข้าไปในระบบกล้อง จัดว่าเป็นครั้งแรกสำหรับสมาร์ทโฟนในซีรีส์นี้
AI ใน Huawei P20/ P20 Pro สามารถปรับแต่งภาพถ่ายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้มากถึง 19 รูปแบบ ทั้งหมดเป็นการจัดการแบบอัตโนมัติ ผู้ใช้มีหน้าที่แค่ยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายภาพเท่านั้น และไม่ใช่แค่การเลือก Scene ให้เหมาะสม แต่ AI ของ Huawei P20/ P20 Pro ยังสามารถช่วยจัดองค์ประกอบภาพได้ ทั้งการวัดระนาบ ว่าตอนนี้รูปเอียงหรือไม่ รวมถึงการช่วยจัดองค์ประกอบในการถ่ายภาพหมู่ AI จะเตือนไม่ให้ตัวแบบอยู่ชิดกับขอบมากเกินไป เนื่องจากบริเวณขอบของเลนส์มุมกว้างมักจะมีการบิดเบี้ยวเป็นปกติอยู่แล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ AI เข้ามามีบทบาทก็คือระบบ 4D Predictive Focus หรือระบบคาดเดาจุดโฟกัสล่วงหน้าแบบ 4D ทำให้การถ่ายภาพง่ายขึ้น ลองนึกถึงตอนที่กำลังโฟกัสดอกไม้ แล้วมีลมพัดแรง ๆ ดูก็ได้ครับ ถ้าใช้ 4D Predictive Focus ก็จะสามารถจับภาพได้ทัน เพราะมันทำการโฟกัสล่วงหน้าไปแล้วนั่นเอง และยังมาพร้อมกับ Zero Shutter lag กดชัตเตอร์แล้วก็เก็บภาพทันที
Huawei AIS – AI Image Stabilization
ระบบป้องกันภาพสั่นไหวของ Huawei P20 และ P20 Pro ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของฮาร์ดแวร์ แต่ใช้ AI ช่วยในการทำให้ภาพไม่สั่นไหว หรือที่มีชื่อว่า Huawei AIS โดย AIS ในทีนี้ไม่ใช่โอเปอร์เรเตอร์นะครับ แต่เป็น AI Image Stabilization ที่เจ๋งถึงขนาดที่ว่าสามารถแก้ปัญหาในการถ่ายภาพที่เกิดขึ้นมากว่าหลายร้อยปีได้เลย
ความเทพของ Huawei AIS ทำให้การถ่ายภาพในโหมดกลางคืน สามารถเปิดความเร็วชัตเตอร์ได้สูงสุดถึง 6 วินาทีด้วยมือเปล่า โดยที่ภาพไม่มีการสั่นไหวแม้แต่น้อย ส่วนตัวที่ผมได้ลองเล่นสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ในระยะเวลาสั้น ๆ ก็ได้ทดลองฟีเจอร์นี้ไปพอสมควร และก็พบว่ามันนิ่งจริง ๆ เอาเป็นว่าถ่ายภาพกลางคืนด้วย Night mode บน Huawei P20/ P20 Pro ก็ไม่จำเป็นต้องพกขาตั้งกล้องแล้ว
เรียกได้ว่า Huawei P20/ P20 Pro เนี่ย สามารถถ่ายภาพที่ตาเรามองไม่เห็นได้เลยล่ะครับ
นอกจากการถ่ายภาพแล้ว Huawei AIS ยังรองรับการใช้งานร่วมกับการถ่ายวีดีโอ และทำให้วีดีโอนิ่งในระดับที่ใกล้เคียงกับการใช้ Gimbal ที่สำคัญคือรองรับในทุกความละเอียด ต่อให้เป็นความละเอียด 4K ก็ตาม
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Huawei P20
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Huawei P20 Pro
ซูมได้สูงสุด 5 เท่า แบบไม่ลดรายละเอียด (เฉพาะ Huawei P20 Pro)
สมาร์ทโฟนปกติทั่วไป จะมาพร้อมกับการซูมแบบ Digital Zoom เต็มที่ก็จะเป็นกล้องคู่ เลนส์ tele ที่สามารถซูมได้ 2 เท่าแบบไม่เสียรายละเอียด ส่วนการซูมมากกว่านั้นก็จะเป็น Digital Zoom เหมือนเดิม ทำให้เป็นข้อจำกัดหนึ่งของการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟน ที่ต้องแลกระหว่างระยะของภาพ กับความคมชัดและรายละเอียดที่สูญเสียไป
ภาพจากการซูม 5 เท่า
Huawei P20 Pro จึงมาพร้อมกับ 5x Huawei Hybrid Zoom หรือระบบซูม 5 เท่าแบบไม่เสียรายละเอียด (ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล) เกิดจากการทำงานร่วมกันของกล้องหลัง 3 ตัว จากที่ปกติเลนส์ tele ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลจะซูมแบบ Optical ได้ 3 เท่า ซึ่งก็ถือว่าซูมได้มากกว่าสมาร์ทโฟนหลายรุ่นในท้องตลาดอยู่แล้ว โดยหลักการของ 5x Hybrid Zoom คร่าว ๆ ก็คือการใช้ภาพจากกล้อง tele 8 ล้านพิกเซล แล้วชดเชยรายละเอียดที่เสียไปจาก Digital Zoom ด้วยภาพจากกล้องอีก 2 ตัว ทำให้ได้ภาพที่ซูม 5 เท่า แบบไม่เสียรายละเอียดนั่นเอง
กล้องหน้า 24 ล้านพิกเซล สูงที่สุดในกลุ่มเรือธง
Huawei P20/ P20 Pro มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 24 ล้านพิกเซล ถือว่าเป็นความละเอียดกล้องหน้าที่ไม่ค่อยพบในสมาร์ทโฟนระดับเรือธงเท่าไหร่ ด้วยความที่กล้องหน้ามีความละเอียดสูงมาก จึงทำให้ถ่ายเซลฟี่ออกมาคมชัดมากกว่า และยังมาพร้อมกับ 3D Face AI ระบบวิเคราะห์รูปหน้าด้วย AI ที่ทำให้สามารถปรับไฟได้เหมือนกับถ่ายภาพในสตูดิโอด้วยฟีเจอร์ 3D Portrait Lighting
Design การออกแบบ
Huawei P20 และ Huawei P20 Pro มาพร้อมกับดีไซน์แบบใหม่ ด้านหน้าเต็มจอมากขึ้นด้วย Huawei FullView Display with notch screen อัตราส่วนหน้าจออยู่ที่ 18.7:9 ความละเอียด Full HD+ ทั้งสองรุ่น
- Huawei P20 หน้าจอ RGBW LCD ขนาด 5.8 นิ้ว
- Huawei P20 Pro หน้าจอ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว
แม้ว่าหน้าจอของ Huawei P20/ P20 Pro จะมาพร้อมกับ notch screen หรือติ่งหน้าจอ สำหรับคนที่ไม่ชอบก็สามารถปิดพื้นที่บริเวณ notch screen ได้ (อัตราส่วนหน้าจอจะกลายเป็น 18:9) ส่วนตัวที่ได้ลองเล่นมาก็ไม่ได้รู้สึกว่า notch screen บน Huawei P20/ P20 Pro เป็นปัญหาในการใช้งานแต่อย่างใด เนื่องจากมันมีขนาดที่เล็กมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ iPhone X
ดีไซน์ของ Huawei P20/ P20 Pro เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Huawei P10 จะมีความโค้งมนมากขึ้นในทุกมุม ทำให้การจับถือทำได้สะดวกมากกว่า และยังมาพร้อมกับความบางเพียง 7.8 มิลลิเมตรในรุ่น Huawei P20 Pro ในขณะที่อัดแบตเตอรี่มาให้สูงถึง 4,000 mAh
วัสดุพื้นผิวของตัวเครื่องก็มีการออกแบบใหม่ จากเดิมที่ใช้ฝาหลังเป็นโลหะ ก็เปลี่ยนมาเป็นกระจก แต่ไม่ใช่กระจกธรรมดา มีการซ้อนกันของกระจกหลาย ๆ ชั้น ทำให้เกิดเป็น Shiny effect บริเวณฝาหลัง โดยเฉพาะสี Twilight ของ Huawei P20 Pro นี่สวยมากครับ หวังว่า Huawei ประเทศไทยจะนำสีนี้เข้ามาด้วยนะ
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ Huawei P20/ P20 Pro จะอยู่บริเวณด้านหน้าของตัวเครื่อง มาพร้อมกับ Smart navigation เช่นเดียวกับตอน Huawei P10 คือสามารถใช้ปุ่มเดียวแทน Navigation keys แบบเดิม ๆ ได้เลย และนอกจากสแกนลายนิ้วมือ ก็ยังสามารถสแกนใบหน้าได้เช่นกัน โดยระบบสแกนใบหน้าสามารถสแกนได้ 360 องศา ด้วยความเร็วเพียง 0.6 วินาที และรองรับการสแกนใบหน้าในที่แสงน้อยได้ด้วย
Huawei P20 Pro มาพร้อมกับความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่น IP67 ส่วน Huawei P20 กันเพียงละอองน้ำที่ IP53 เท่านั้น และมีด้วยกัน 4 สี ได้แก่ Black, Midnight Blue, Pink (P20) และ Twilight (เฉพาะ P20 Pro)
สเปค Huawei P20
- หน้าจอ RGBW LCD ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ อัตราส่วน 18.7:9
- ชิปประมวลผล Kirin 970 + NPU
- Ram 4 GB
- ความจุ 128 GB
- ระบบปฏิบัติการ EMUI 8.1 base on Android 8.1 Oreo
- 1st Wave AR Core
- ลำโพงสเตอริโอ พร้อม Dolby Atmos
- รองรับการใช้งาน 2 ซิม Dual 4G/ Dual VoLTE
- แบตเตอรี่ความจุ 3,400 mAh
สเปค Huawei P20 Pro
- หน้าจอ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ อัตราส่วน 18.7:9
- ชิปประมวลผล Kirin 970 + NPU
- Ram 6 GB
- ความจุ 128 GB
- ระบบปฏิบัติการ EMUI 8.1 base on Android 8.1 Oreo
- 1st Wave AR Core
- ลำโพงสเตอริโอ พร้อม Dolby Atmos
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด Dual 4G/ Dual VoLTE
- แบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh
ราคาเปิดตัวและวันวางจำหน่าย
Huawei P20 สเปคที่ได้เป็น Ram 4 GB ความจุ 128 GB เปิดราคามาที่ 649 ยูโร ตีเป็นเงินไทยประมาณ 26,000 บาท ส่วน Huawei P20 Pro สเปค Ram 6 GB ความจุ 128 GB เปิดราคามาที่ 899 ยูโร หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 34,000 บาท อย่างไรก็ตามราคาที่เปิดเป็นสกุลเงินยูโรของทางฝั่งยุโรป จะมีราคาสูงกว่าบ้านเราประมาณ 10 – 15%
สำหรับวันวางจำหน่าย ข้อมูลจากงานเปิดตัวระบุว่า Huawei P20 วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคมเป็นต้นไป และวางจำหน่ายในวันที่ 6 เมษายนสำหรับ Huawei P20 Pro คาดว่าจะเป็นวันวางจำหน่ายที่ประเทศทางฝั่งยุโรป ส่วนวันวางจำหน่ายของทั้ง Huawei P20 และ Huawei P20 Pro ในประเทศไทย รออัพเดตกันอีกที ส่วนตัวคิดว่าคงจะพร้อมวางจำหน่ายในไทยเร็ว ๆ นี้ครับ