ในงาน Thailand Mobile Expo 2015 หรืองาน TME 2015 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 12 – 15 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จะมีมือถือหลายรุ่นยกทัพมาให้เราเลือกซื้อกันอย่างมากมาย และก็เชื่อว่ามีเพื่อนๆ หลายคนตั้งใจจะไปซื้อมือถือใหม่ในงานแน่นอน เพราะในงาน TME 2015 จะมีโปรโมชันแจ่มๆ ของแถมเจ๋งๆ มากมาย ชนิดที่ว่าคนซื้อเครื่องนอกงานมีค้อนเลยหล่ะ
ว่าแต่ในปี 2015 เราจะมีวิธีการเลือกซื้อมือถืออย่างไรไม่ให้ตกเทรน หมายความว่าเลือกซื้อมือถืออย่างไร ให้ได้สเปคที่สดใหม่ และยังคงความคุ้มค่าในช่วงราคานั้นๆ แน่นอนว่าในบทความนี้นอกจากจะเป็นไกด์ไลน์ในงาน Thailand Mobile Expo 2015 ได้แล้ว ยังสามารถใช้อ้างอิงในการเลือกซื้อมือถือปี 2015 ได้ด้วยนะ
ยุคนี้ต้องจอ 5 นิ้ว IPS ความละเอียด HD ขึ้นไป
อันดับแรกคือพาแนลจอครับ อย่างน้อยก็ต้องเป็นจอ IPS เนื่องจากสู้แสงได้ดีกว่า แล้วก็มีมุมมองภาพที่กว้างกว้าหน้าจอแบบ TFT ส่วนความละเอียดอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของเราแล้วหล่ะ แต่ส่วนมากมือถือราคา 4,000 บาทขึ้นไปก็ต้องความละเอียดหน้าจอที่ HD แล้วครับ แต่ถ้าใครเล่นมือถือจอใหญ่ขึ้นไปอีกอันนี้ก็ต้องมาดูอีกทีนึงนะ แต่ถ้าให้แนะนำก็ตามนี้ครับ
- หน้าจอขนาดเล็กกว่า 5.5 นิ้ว – ความละเอียด HD ก็ถือว่าเพียงพอ
- หน้าจอขนาดเล็กกว่า 5.5 นิ้ว – ความละเอียด Full HD ก็พอได้ CPU ต้องแรงพอ
- หน้าจอขนาดใหญ่กว่า 5.5 นิ้ว – Full HD เถอะครับ ภาพมันคมกว่ากันเยอะ
- ความละเอียดหน้าจอแบบ Quad HD หรือ 2K – อันนี้คงไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ถ้าซื้อรุ่นท็อปๆ ก็มีไว้ไม่เสียหายนะ
CPU ต้อง Quad Core ขึ้นไป และรองรับ 64 Bit ด้วยก็จะดี
สำหรับ CPU ที่เหมาะสมกับมือถือ Android ในปี 2015 ควรจะเลือกใช้เป็น CPU ที่รองรับ 64 Bit ครับ จริงอยู่ที่ 64 Bit กับมือถือแอนดรอยที่ไม่ใช่ Android 5.0 Lollipop อาจจะดูเหมือนเรื่องไกลตัว แต่อย่าลืมนะว่าในอนาคต ผู้ผลิตมือถืออาจจะปล่อยอัพเดต Android 5.0 มาให้ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเลือกซื้อที่เป็น 64 Bit ยังไงก็เหมาะสมกว่าในระยะยาวครับ
ส่วนเรื่อง Core ทำไมถึงต้องบอกว่าเป็น Quad Core ทั้งที่ความจริงแล้ว จำนวน Core ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดทุกอย่าง แต่ในมือถือ Android การแข่งขันเรื่องสเปคค่อนข้างรุนแรง ?โดยเฉพาะ CPU รุ่นใหม่ๆ ส่วนมากก็จะเป็น Quad Core ขึ้นไปทั้งนั้น และก็เริ่มที่จะมี CPU Octa Core หรือ 8 Core ออกมาในท้องตลาดมากยิ่งขึ้น
“เพราะฉะนั้นอย่างน้อยซีพียูยังไงก็ต้อง Quad Core ขึ้นไปครับ แต่จะ 64 Bit หรือไม่อันนี้มองเป็นออฟชันเสริมก็แล้วกัน”
Ram 1 GB ก็พอไหว แต่จะให้ดีต้อง 2 GB++
ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่มือถือแอนดรอย Ram 1 GB เริ่มอยู่ยากแล้วครับ เห็นได้จากเมื่อปีที่แล้วมือถือ Ram 2 GB ราคาต่ำกว่าหมื่นเริ่มวางขายกันมากขึ้น จากที่แต่ก่อน มือถือ Ram 2 GB จะต้องราคาหมื่นอัพขึ้นไป ตอนนี้เรามีเงินห้าพันนิดๆ ก็สามารถหาซื้อมือถือที่มาพร้อมกับ Ram 2 GB ได้แล้วครับ แต่ถ้าจะให้ชัวร์ จัดมือถือ Ram มากกว่า 2 GB ก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าอยากใช้งานยาวๆ
แต่มือถือ Ram 1 GB ก็ไม่ถือว่าแย่นะครับ ถ้ามาพร้อมกับ Android 4.4 Kitkat ก็ถือว่าพอถูไถไปได้ครับ จะว่าไป…มือถือส่วนมากเดี๋ยวนี้ก็มาพร้อมกับ Android 4.4 Kitkat อยู่แล้วนี่หน่า
หน่วยความจำภายใน 4 GB ถือว่า Out!!
หน่วยความจำภายในสำหรับมือถือแอนดรอยนี่ก็ถือว่าสำคัญนะครับ จะลงแอปได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับหน่วยความจำภายในนี่แหละ จริงอยู่ที่เราสามารถเพิ่มหน่วยความจำอย่าง MicroSD Card ได้ แต่รู้หรือไม่ว่าแอปพลิเคชันบางอย่างจะไม่สามารถย้ายไปเก็บใน MicroSD Card ได้นะ เพราะฉะนั้นเวลาเลือกซื้อมือถือ Android เนี่ย แนะนำให้ซื้อเป็นรุ่นที่มีหน่วยความจำภายในอย่างต่ำที่ 8 GB (แต่ถ้าเป็น 16 GB ได้จะดีกว่า) เพื่อที่จะได้เก็บแอปพลิเคชันได้เพียงพอ ส่วนพวกเพลง, หนัง อะไรพวกนี้ค่อยย้ายไปเก็บใน MicroSD Card ทีหลังก็ได้ครับ
กล้องหลังอย่างต่ำ 8 ล้าน/กล้องหน้า 5 ล้านขึ้นไป เลนส์ Wide ได้ก็ดี
“ความละเอียดของกล้องไม่ได้การันตีว่ากล้องรุ่นนั้นจะดีกว่าเสมอไป” แต่สำหรับการเลือกซื้อมือถือเบื้องต้น ยังไงตรงนี้ก็ยังสำคัญอยู่ครับ โดยมือถือเดี๋ยวนี้จะมีความละเอียดของกล้องหลังเฉลี่ยอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล ฉะนั้นพยายามอย่าเลือกมือถือที่กล้องหลังความละเอียดน้อยกว่านี้ เพราะนั่นหมายความว่ารุ่นที่เรากำลังจะซื้อมันเริ่มที่จะเอ้าท์แล้ว ส่วนรายละเอียดยิบย่อยอันนี้คงต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันเอาเอง แต่อย่างน้อยที่สุด ก่อนจะซื้อมือถือให้ลองเล่นดูก่อนครับ หรือจะค้นหาตัวอย่างภาพถ่ายจากรีวิวในเว็บไซต์ SpecPhone ก่อนก็ได้นะ
กล้องหน้าเนี่ย ยุคนี้มันต้องกล้องหน้าเซลฟี่แล้วครับ มือถือแอนดรอยรุ่นใหม่ๆ ส่วนมากก็จะมาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และโหมดหน้าสวยฟรุ้งฟริ้ง สองอย่างนี้ผมว่าเป็นไฟท์บังคับสำหรับมือถือแอนดรอยระดับกลางๆ ไปแล้วหล่ะ แต่ก็อย่างที่บอกไปครับ ยังไงก็ไปลองเล่น ไม่ก็หาดูตัวอย่างรูปถ่ายจากรีวิวมือถือก่อนก็จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ส่วนเลนส์มุมกว้างสำหรับกล้องหน้านี่ผมว่าค่อนข้างจำเป็นนะ เหมือนกับว่ามือถือแอนดรอยรุ่นไหนๆ เขาก็นิยมใส่กันมา อีกอย่างมันช่วยให้เซลฟี่ได้ง่ายขึ้นด้วยครับ และยังได้มุมมองที่กว้างกว่ากล้องหน้าแบบปกติอีกต่างหาก
3G มันธรรมดาไป ยุคนี้มันต้อง 4G LTE แล้วหล่ะ
ตรงนี้บางคนอาจจะบอกว่า “4G ยังไม่ได้ใช้หรอก” แต่ผมจะบอกให้ว่า ตอนนี้ 4G LTE ในบ้านเรา (แม้จะเป็นแบบไม่เต็มใบก็เถอะ) เริ่มแพร่หลายมากขึ้นแล้วนะครับ จากที่แต่ก่อน 4G จะจำกัดวงอยู่ที่ภายในตัวเมืองหลวง ล่าสุดตอนนี้ Dtac ก็มีพื้นที่ให้บริการ 4G LTE ไปยังต่างจังหวัดแล้วด้วย เช่นเดียวกับ Truemove-H ที่มีพื้นที่การให้บริการ 4G ค่อนข้างกว้างเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเลือกซื้อมือถือที่รองรับ 4G LTE จะดีกว่าครับ ยังไงก็รองรับอนาคตเนอะ
อีกอย่างมือถือรุ่นใหม่ๆ เดี๋ยวนี้ก็รองรับ 4G LTE ด้วยกันทั้งนั้น จึงเป็นการกรองให้กับเราอีกขั้นนึงสำหรับมือถือแอนดรอยที่รองรับ 4G LTE ว่าเป็นมือถือที่ยังไม่ตกรุ่นแน่นอน แถมราคามือถือที่รองรับ 4G LTE เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยแพงแล้วด้วย มีเงิน 6,000 นิดๆ ก็หาซื้อมือถือแอนดรอยที่รองรับ 4G LTE ได้แล้วครับ
สรุป
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับบทความแนะนำการเลือกซื้อมือถือด้วยตัวเองฉบับปี 2015 ต้อนรับงาน Thailand Mobile Expo 2015 หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจวิธีการเลือกซื้อมือถือได้ง่ายขึ้นนะครับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกเพื่อนๆ ในเรื่องของการไปเลือกซื้อมือถือว่า ก่อนซื้อให้ลองเล่นลองจับตัวเครื่องดูก่อนครับ มือถือบางเครื่อง ทุกอย่างอาจจะตรงตามสเปค แต่พอได้ลองจับตัวเครื่องจริงๆ อาจจะไม่ถูกใจก็เป็นได้ ซื้อของใช้ ยังไงก็ต้องเอาให้ถูกใจเราไว้ก่อนเนอะ ขอให้เพื่อนๆ มีความสุขกับการเลือกซื้อมือถือครับ 🙂