Samsung Galaxy Note 4 ก็ได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว หลายท่านคงจะพอทราบสเปคคร่าวๆ กันแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันต่างไปจาก Note 3 มากเท่าไร ในบทความนี้เราจะมาดูกันครับว่าสเปคของ Note 4 เหนือกว่า Note 3 ตรงไหนบ้าง มาเทียบทีละจุดไปเลย
จากตารางด้านบนนี้ ก็น่าจะพอเห็นความแตกต่างกันอย่างคร่าวๆ แล้วนะครับ มาเจาะกันไปทีละจุดแล้วกัน
ชิปประมวลผล+ชิปกราฟิก
ในรุ่นนี้ Note 4 ก็ยังคงมีสองรุ่นใหญ่ออกมาให้เลือกซื้อกันอีกเช่นเคย นั่นคือรุ่นที่ใช้ชิป Snapdragon 805 กับ Exynos 5433 ขอแยกมาเทียบทีละรุ่นแล้วกันนะ
Snapdragon
สำหรับ Galaxy Note 4 เลือกใช้ชิปเป็น Snapdragon 805 โมเดล APQ8084 ที่เป็นตัวท็อปสุดของเจ็นนี้ ก่อนที่จะไปถึงยุคของชิป 64 บิทรุ่นท็อปพวก Snapdragon 808/810 ซึ่งแน่นอนว่า Snapdragon 805 ย่อมจะมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Snapdragon 800 ใน Note 3 อยู่แล้ว ทั้งในส่วนของตัวชิปประมวลผลเองที่ชุดคอร์ภายในแรงกว่า ส่วนของชิปกราฟิกที่ใหม่กว่า สดกว่า ด้านของช่องทางการรับส่งข้อมูลระหว่างซีพียูกับแรมก็กว้างกว่า ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วกว่าใน Note 3 ซึ่งส่วนนี้อาจจะไม่เห็นผลที่แตกต่างกันชัดเจนมากนัก แต่ในแง่ของการใช้งานจริง เรื่องการสลับแอพ การเปิดใช้งานข้อมูล พวกนี้จะทำได้สะดวก คล่องตัวยิ่งขึ้นพอสมควร
Exynos
ด้านของชิป Exynos ใน Galaxy Note 4 ก็เป็นรุ่นที่ใหม่กว่าอีกเช่นกัน ตัวเลขความเร็วอาจจะดูออกมาเท่ากัน จำนวนคอร์ก็เหมือนกัน แต่เทคโนโลยีภายในของทั้งคู่แตกต่างกันครับ ชิปกราฟิกภายในก็แรงกว่าด้วย แต่จุดที่เป็นไฮไลท์ของ Exynos 5433 ใน Note 4 จะมีอยู่สองข้อ ข้อแรกก็คือ มันเป็นชิปที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับ 20 นาโนเมตร ส่งผลให้มีอัตราการกินไฟที่ลดลงกว่าชิป 28 นาโนเมตร (เช่นชิป Exynos 5420 ใน Note 3) ถึงกว่า 25% ทำให้สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้นด้วยประสิทธิภาพเท่าเดิมหรือแรงกว่าเดิม
อีกประเด็นก็คือ Exynos 5433 สามารถใช้งานเครือข่าย 4G LTE ได้แล้ว ถือเป็นการปิดจุดบอดเดิมของ Note 3 ที่รุ่น Exynos ไม่สามารถใช้งาน LTE ได้สนิทเลยทีเดียว
หน้าจอ
จุดแตกต่างกันอย่างชัดเจนของจอ Note 4 และ Note 3 ก็คือความละเอียดครับ เพราะ Galaxy Note 4 เลือกใช้จอความละเอียดระดับ Quad HD (2K) 2560 x 1440 เหมือนมือถือรุ่นท็อปในปัจจุบันของหลายๆ แบรนด์ ทำให้ภาพที่ออกมาคมชัดกว่า Note 3 ที่ใช้จอ Full HD แน่นอน (แต่ส่วนตัวคิดว่า Full HD ก็คมชัดเหลือเฟือแล้วนะ) ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่อย่างแน่นอน แต่ในการนำเสนอเปิดตัวของทาง Samsung ก็มีโชว์ว่า Note 4 กินแบตในการทำงานน้อยลง 7.5% อันนี้ก็คงต้องดูจากการใช้งานจริงล่ะครับ ว่าจะใช้จนหมดวันได้หรือเปล่า ยังดีที่ให้แบตความจุมาสูง และยังมีระบบชาร์จไฟเร็วขึ้นอีก คงช่วยได้ดีพอสมควร
อีกหนึ่งข้อที่จอ Note 4 ดีกว่าก็คือเรื่องของการแสดงผล ที่สีสันสดใส ถูกต้องตามมาตรฐานมากขึ้น โดยสามารถแสดงสีได้ถึง 90% ของมาตรฐาน Adobe RGB เลยทีเดียว เผลอๆ จอ Samsung Galaxy Tab S ที่ว่าสวยแล้ว จอ Galaxy Note 4 น่าจะออกมาสวยกว่าด้วยซ้ำไป
กล้องหน้า กล้องหลัง
นอกจากในแง่ของความละเอียดที่สูงกว่าแล้ว เทคโนโลยีและฟีเจอร์ของกล้องหน้า กล้องหลังใน Galaxy Note 4 ก็ได้รับการพัฒนาไปเช่นกันครับ โดยในครั้งนี้ กล้องหลัง Note 4 มีการใส่ OIS มาให้ทั้งยังมีส่วนของซอฟต์แวร์ช่วยประมวลผล เพื่อลดการสั่นไหวขณะถ่ายภาพ ทำให้ภาพที่ออกมาดูนิ่ง คมชัดกว่าเดิม ด้านของกล้องหน้าก็มาพร้อมเลนส์มุมกว้างกว่าเดิม และยังมีโหมดถ่าย selfie แบบพาโนรามาได้ด้วย ช่วยให้สามารถเก็บภาพได้กว้างกว่าเดิมมากๆ
เรื่องของกล้องถ่ายรูปนี่ คงต้องลองสัมผัสดูเองล่ะครับ ว่าจะดีสมกับที่นำเสนอหรือเปล่า
การรองรับเครือข่าย
Samsung Galaxy Note 4 ทั้งสองรุ่นคือ Snapdragon และ Exynos ต่างสามารถใช้งาน 4G LTE กันได้ทั้งคู่เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ (3G ไม่ต้องห่วง ใช้ได้ทั้งหมดอยู่แล้ว) แต่ก็ยังแอบมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อยเนื่องด้วยข้อจำกัดทางด้านฮาร์ดแวร์ คือ
- รุ่น Exynos รองรับ LTE Cat.4 รองรับความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 150 Mbit/s อัพโหลดสูงสุด 50 Mbit/s
- รุ่น Snapdragon รองรับ LTE Cat.6 รองรับความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 300 Mbit/s อัพโหลดสูงสุด 50 Mbit/s
ส่วนคลื่นความถี่ที่รองรับก็เหมือนๆ กันทั้งสองรุ่น ซึ่งเอาจริงๆ LTE ที่ใช้งานกันโดยทั่วไป ก็วิ่งได้ความเร็วไม่ถึงตามทฤษฎีหรอกครับ แต่หลายๆ ท่านก็คงอยากเลือกที่เร็วๆ เอาไว้ก่อนอยู่ดี แถมรุ่น Snapdragon ยังมีแววว่าจะมีรอมโมให้เลือกใช้งานกันเยอะแยะมากมายอีกด้วย ส่วนในไทย คงต้องมาลุ้นกันดูล่ะครับว่าจะเลือกรุ่นไหนเข้ามาขาย หรือถ้าดีหน่อยก็มีขายกันทั้งสองรุ่นเลย
ฟีเจอร์ รายละเอียดปลีกย่อย
นอกจากสเปคหลักๆ ที่แตกต่างกันแล้ว Note 4 ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยบางจุดที่เหนือกว่า Note 3 อีก ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกับของ Galaxy S5 มีการเพิ่มเซ็นเซอร์วัดระดับแสง UV เข้ามาตามข่าวลือ รองรับ Bluetooth 4.1 เป็นต้น
ก็น่าจะค่อนข้างครบถ้วนแล้วนะครับ สำหรับความแตกต่างโดยทั่วไปที่ Samsung Galaxy Note 4 มีเหนือกว่า Note 3 ทีนี้ก็เหลือแต่รอราคาในไทยว่าจะเปิดมาที่เท่าไร คาดว่าช่วงเดือนตุลาคมที่เริ่มเปิดขายคงได้ทราบกัน