ปัญหาหนึ่งที่ทำให้หลายๆ ท่านต้องซื้อสมาร์ทโฟนใหม่ก็คือปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ ในวันนี้เราได้รวม 7 ปัญหาแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟน Android พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้นมาให้ทุดท่านได้ดูกัน
ปัญหาแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟน Android อาจทำให้การใช้งานสมาร์ทโฟนทั้งวันนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว ถึงแม้ว่าสมาร์ทโฟน Android จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุสูงมากกว่าสมาร์ทโฟนของคู่แข่ง ทว่าในการใช้งานจริงนั้นเชื่อเหลือเกินว่าผู้ใช้มักจะเจอปัญหาที่ไม่สามารถใช้งานสมาร์ทโฟนของตัวเองได้เต็มวันต่อการชาร์ตเต็มหนึ่งครั้งได้
หากสมาร์ทโฟนของคุณเป็นเครื่องใหม่แกะกล่องแล้วล่ะก็คุณอาจจะนำเอาเครื่องเข้าศูนย์บริการเพื่อแก้ปัญหา แต่ถ้าคุณเพิ่งซื้อสมาร์ทโฟนมือสองหรือสมาร์ทโฟนของคุณประสบปัญหานี้อยู่แล้วล่ะก็ในวันนี้ทางเราจะขอยก 7 เหตุผลหลักที่เป็นปัญหาของแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน Android พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้นให้ทุกท่านได้ทราบกัน จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย
- ชาร์จช้าเกินไป
- ชาร์จช้ากว่าที่คาดไว้
- คายประจุเร็วเกินไป
- สูญเสียรประจุมากถึงจะไม่ได้ใช้งาน
- แบตเตอรี่บวม
- สูญเสียความจุของแบตเตอรี่เมื่อเวลาผ่านไป
- ความร้อนสูงเกินไป
ชาร์จช้าเกินไป
เมื่อสมาร์ทโฟน Android ชาร์จช้าเกินไป โดยปกติแล้วมักเป็นปัญหาที่เกิดจากสายชาร์จ, อะแดปเตอร์หรือพอร์ต USB บนสมาร์ทโฟนของคุณ วิธีการแก้ที่ง่ายที่สุดก็คือ คุณอาจลองใช้อะแดปเตอร์และสายเคเบิลอื่นเพื่อเช็คดูว่าเครื่องของคุณมีปัญหาเรื่องการชาร์จหรือไม่ อีกทางหนึ่งก็คือลองทำความสะอาดพอร์ต USB ของสมาร์ทโฟนคุณดู
หากสมาร์ทโฟนของคุณรองรับการชาร์จเร็วควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่ชาร์จของคุณจ่ายพลังงานออกมาที่ระดับเดียวกันหรือสูงกว่าที่สมาร์ทโฟนของคุณต้องการ
ตัวอย่างเช่นหากสมาร์ทโฟนของคุณรองรับการชาร์จ 30W แต่คุณใช้ที่ชาร์จ 20W สมาร์ทโฟนจะชาร์จที่ 20W และใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็น แต่ถ้าหากหากคุณใช้ที่ชาร์จ 40W แทนสมาร์ทโฟนจะชาร์จที่ความเร็วสูงสุด 30W ทางที่ดีที่สุดควรซื้อที่ชาร์จที่มาจากแบรนด์สมาร์ทโฟนที่คุณใช้งานอยู่จะดีกว่า
ชาร์จช้ากว่าที่คาดไว้
คุณอาจมีสมาร์ทโฟนที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว แต่ไม่ได้รับความเร็วในการชาร์จตามที่คาดหวังเอาไว้ หากคุณได้ลองตรวจสอบอะแดปเตอร์, สายเคเบิลและพอร์ต USB แล้ว ในบางครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นกับสมาร์ทโฟนของคุณอาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้วิธีแก้ทางเทคนิคเพื่อแก้ปัญหา เพื่อทำการทดสอบว่าสมาร์ทโฟนของคุณมีปัญหาที่ตัวเครื่องเองแล้วหรือไม่มีสองวิธีที่คุณสามารถลองดูได้ดังต่อไปนี้
- เปิดเซฟโหมด : เซฟโหมดจะบูทอุปกรณ์ Android ของคุณในสภาพแวดล้อมที่จำกัดไม่ให้แอปที่ไม่จำเป็นอื่นๆ ทำงานนอกเหนือไปจากระบบ การเปิดใช้งานเซฟโหมดของ Android อาจช่วยแก้ปัญหาการชาร์จช้าของคุณได้หากเกิดจากซอฟต์แวร์ทำงานผิดพลาด(ทำได้โดยการกดปุ่มปิดเครื่องแล้วกดที่ Restart ค้างไว้ 5 – 7 วินาทีแล้วแต่รุ่น โดยหากเข้าเซฟโหมดแล้วสามารถที่จะชาร์จได้ล่ะก็นี่เป็นสัญญาณว่าคุณอาจจะต้องทำการ Factory Reset สมาร์ทโฟนของคุณแล้ว)
- ชาร์จขณะที่สมาร์ทโฟนปิดอยู่ : หากการชาร์จสมาร์ทโฟนหลังจากรีบูตหรือบูตเครื่องในเซฟโหมดไม่สามารถแก้ปัญหาได้ คุณสามารถลองชาร์จในขณะที่ปิดเครื่องได้ อย่างไรก็ตามวิธีนี้ใช้ได้กับสมาร์ทโฟนบางรุ่นเท่านั้น เนื่องจากสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ จะไม่อนุญาตให้ชาร์จในขณะที่ปิดอยู่
คายประจุเร็วเกินไป
แม้ว่าการใช้งานหนักจะทำให้แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนหมดเร็ว แต่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าบางครั้งคุณอาจเจอปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเกินไปโดยไม่ทราบสาเหตุทั้งๆ ที่คุณใช้งานสมาร์ทโฟนตามปกติและเปิดใช้งาน Adaptive Battery ให้ลองแก้ไขตามวิธีการดังต่อไปนี้
- ตรวจสอบการใช้แบตเตอรี่ของ Android โดยเปิดไปที่ การตั้งค่า > แบตเตอรี่ > การใช้แบตเตอรี่(Settings > Battery > Battery Usage) ที่นี่จะแสดงแอปที่คุณใช้และปริมาณแบตเตอรี่ที่ใช้ โดยจะเรียงตามลำดับของแอปที่ใช้งานแบตเตอรี่หนักที่สุดไว้ด้านบนสุด
- แตะที่แอปใดก็ได้ในส่วนการใช้งานแบตเตอรี่แล้วแตะบังคับหยุด(Force Close) เพื่อปิดใช้งานชั่วคราว นอกจากนี้ คุณสามารถตั้งค่าสถานะของแอปเป็นปรับให้เหมาะสม(Optimized) หรือจำกัด(Restricted) เพื่อลดการใช้แบตเตอรี่ของแอปในขณะที่สมาร์ทโฟนไม่ได้ใช้งาน
คุณยังสามารถปรับการตั้งค่าบางอย่างที่เกี่ยวข้องเพื่อให้อัตราการคายประจุของสมาร์ทโฟน Android ให้ช้าลงจากการตั้งค่าสองแบบที่สามารถช่วยได้อันได้แก่ Adaptive Brightness และ Battery Saver
- หากต้องการเปิดใช้งาน Adaptive Brightness ให้เปิด การตั้งค่า > จอแสดงผล และเปิด Adaptive Brightness
- เปิดใช้งานโหมดประหยัดแบตเตอรี่ ไปที่การตั้งค่า > แบตเตอรี่ > โหมดประหยัดแบตเตอรี่(Settings > Battery > Battery Saver) และเปิดใช้โหมดประหยัดแบตเตอรี่(Battery Saver)
สูญเสียรประจุมากถึงจะไม่ได้ใช้งาน
สมาร์ทโฟนของคุณอาจสูญเสียพลังงานมากกว่าที่คาดไว้ในขณะที่ไม่ได้ใช้งาน(ปิดหน้าจอแล้วทิ้งเอาไว้เฉยๆ) สิ่งนี้ทำให้คุณอยู่ในจุดที่ยากลำบากและบังคับให้คุณติดตามดูเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ตลอดทั้งวัน การใช้งานแบตเตอรี่โดยเฉลี่ยสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในขณะที่ไม่ได้ใช้งานอยู่ระหว่าง 0.5% ถึง 1.5% ต่อชั่วโมง(ขึ้นอยู่กับประมาณแอปที่ติดตั้งเอาไว้โดยหากยิ่งติดตั้งมากยิ่งใช้งานมากขึ้นเพราะแอปบน Android มีความสามารถในการเปิดใช้งานได้ด้วยตัวเอง) หากคุณเห็นการสูญเสียแบตเตอรี่มากกว่า 3% ต่อชั่วโมง คุณอาจลองแก้ไขได้ดังนี้
- ลองทำการเปิดโหมดเครื่องบิน โดยถึงแม้ว่าคุณลักษณะนี้ได้รับการออกแบบมาในตอนแรกให้เป็นปุ่มสลับที่ผู้โดยสารสามารถใช้แทนการปิดสมาร์ทโฟนไม่ให้ใช้การเชื่อมต่อเครือข่ายขณะเดินทางบนเครื่องบินได้ แต่ทว่ามันมีประโยชน์มากกว่านั้นก็คือมันสามารถที่จะช่วยปิดการเชื่อมต่อทั้งหมดแล้วทำให้สมาร์โฟนประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นโหมดเครื่องบินไม่ได้เป็นการปิดการใช้งานแอปดังนั้นหากปัญหาแบตเตอรี่ลดเร็วของคุณมาจากแอปแล้วล่ะก็นี่อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีนักในการแก้ไขปัญหา
- หากคุณประสบปัญหาในการทำให้แบตเตอรี่สมาร์ทโฟนของคุณหมดเร็วในระหว่างวัน คุณอาจต้องจำกัดการทำงานหรือถอนการติดตั้งบางแอป คุณสามารถค้นหาตัวเลือกในการจำกัดหรือถอนการติดตั้งแอปโดยไปที่การตั้งค่า > แอป(Settings > Apps) เลือกแอปที่ต้องการ แล้วแตะแบตเตอรี่(Battery) ที่นี่คุณสามารถเลือกตัวเลือกการใช้แบตเตอรี่สำหรับแอป รวมถึงไม่จำกัด(Unrestricted), เพิ่มประสิทธิภาพ(Optimized) และจำกัด(Restricted) และที่ตรงกลางหน้าจอ คุณสามารถถอนการติดตั้งแอปได้โดยแตะที่ถอนการติดตั้ง
แบตเตอรี่บวม
หากแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนบวมหรือบวมอยู่แล้ว ควรหยุดใช้งานทันที แล้วหาที่วางสมาร์ทโฟนไว้ในจุดที่ห่างไกลจากผู้คนและวัตถุไวไฟและปล่อยให้ประจุไฟหมดลงจนเครื่องปิดไปเอง(หรือหากทำได้ควรปิดเครื่องด่วน) จากนั้นให้คุณรีบนำเอาเครื่องไปทำการเปลื่ยนแบตเตอรี่ที่ศูนย์บริการที่คุณไว้ใจ้ ไม่ว่าเหตุใดๆ ก็ไม่วรที่จะเปิดเครื่องแบตเตอรี่บวมขึ้นมาใช้งานอย่างเต็ดขาด
สูญเสียความจุของแบตเตอรี่เมื่อเวลาผ่านไป
เมื่อเวลาผ่านไปสมาร์ทโฟนจะสูญเสียความจุของแบตเตอรี่ไปบางส่วนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ คุณสามารถทำให้กระบวนการช้าลงได้โดยการชาร์จแบตเตอรี่ไม่ให้ใช้งานครบจำนวนวงจรเร็วจนเกิดไป
การสึกหรอส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับแบตเตอรี่ของคุณเมื่อแบตเตอรี่หมดหรือเต็ม ดังนั้นขอแนะนำว่าอย่าปล่อยให้สมาร์ทโฟนของคุณมีแบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 20% – 40% ก่อนที่จะเสียบปลั๊กชาร์จ นอกไปจากนั้นคุณควรถอดปลั๊กสมาร์ทโฟนออกเมื่อแบตเตอรี่ชาร์จขึ้นมาอยู่ที่ราวๆ ประมาณ 80% – 85% วิธีการนี้เรียกว่าการชาร์จบางส่วนซึ่งจะส่งผลให้ใช้แบตเตอรี่ครอบรอบชาร์จน้อยลงและยังทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นอีกด้ัวย
ความร้อนสูงเกินไป
ปัญหาความร้อนสูงเกินไปของแบตเตอรี่ Android นั้นค่อนข้างพบได้บ่อยและมักจะซับซ้อนเล็กน้อยในการแก้ปัญหา ขั้นตอนแรกคือการระบุสาเหตุที่ก่อให้เกิดความร้อน โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีด้วยกันอยู่ 3 – 4 สาเหตุคือเกิดจากแอปทำงานในพื้นหลัง, เกมต้องการทรัพยากรมากเกินไป, แอปปรับแต่งไม่ดีหรือปัญหาขณะชาร์จ
- ความร้อนสูงเกินไปขณะเล่นเกม : เชื่อเหลือเกินว่านักเล่นเกมต้องเจอปัญหานี้อย่างแน่นอน เราไม่แนะนำให้คุณชาร์จสมาร์ทโฟนไปเล่นไปเนื่องจากตอนที่เล่นเกมนั้นจะต้องใช้ทรัพยากรของเครื่องมากซึ่งนั่นทำให้ตัวเครื่งอจะร้อนขึ้นจากทั้งชิปเซ็ทแล้วส่งผลลามมาถึงแบตเตอรี่ได้ อย่างไรก็ตามแต่หากคุณไม่สามารถเลี่ยงได้แล้วล่ะก็คุณอาจจะทำการเปลี่ยนการตั้งค่าภาพในเกมเพื่อให้ใช้พลังงานน้อยลงโดยการปรับตัวเลือกเอฟเฟคให้ต่ำมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- ความร้อนสูงเกินไปในแอปปกติ : แอปที่ปรับแต่งไม่ดีและบางแอพทำงานในพื้นหลัง อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินไป หากแอปได้รับการปรับให้เหมาะสมไม่ดีคุณอาจต้องถอนการติดตั้งแอปนั้น(หรือใช้วิธีการจำกัดการทำงานแอปจาก) นอกไปจากนี้คุณสามารถจำกัดการทำงานของบางแอปขณะอยู่ในพื้นหลังได้โดยให้เปิดการตั้งค่า > แอป(Settings > Apps) แล้วแตะแอปที่ต้องการ จากนั้นแตะแบตเตอรี่(Battery) แล้วเลือกตัวเลือกจำกัด(Restricted) ภายใต้จัดการการใช้แบตเตอรี่
- ความร้อนสูงเกินไปขณะชาร์จ : สมาร์ทโฟนมักจะร้อนเกินไปขณะชาร์จ เนื่องจากสาย, พอร์ตหรืออะแดปเตอร์ชำรุด ลองเปลี่ยนสายเคเบิลและอะแดปเตอร์และทำความสะอาดพอร์ต USB หากไม่ได้ผล คุณยังสามารถลองชาร์จสมาร์ทโฟน Android ของคุณในขณะที่ปิดเครื่อง หรืออย่างน้อยที่สุดอย่าใช้สมาร์ทโฟนของคุณในขณะที่กำลังชาร์จอยู่
หากคุณประสบปัญหาแบตเตอรี่ Android คุณไม่จำเป็นต้องกังวล มีวิธีแก้ไขเล็กน้อยสำหรับแต่ละปัญหาเบื้องต้นที่คุณเองก็สามารถทำได้อยู่ อย่างไรก็ตามบางพฤติกรรมในการใช้งานสมาร์ทโฟนนั้นก็ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ขึ้นมาได้ ดังนั้นการหาให้เจอแล้วหยุดมันก่อนที่จะสายถือว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยให้สมาร์ทโฟนที่รักของคุณอยู่กับคุณได้นานมากขึ้น
ที่มา : gadgetstouse, makeuseof