ต้องบอกว่าเป็นมือถือที่ได้กระแสในการเปิดตัวไม่แพ้รุ่นเรือธงเลยทีเดียว สำหรับ iPhone SE 2 รุ่นประจำปี 2020 ที่แม้ว่าจะยังคงใช้ดีไซน์ของรุ่นเก่า แต่สเปคภายในหลาย ๆ จุดนั้นกลับเทียบได้กับมือถือเรือธงในปัจจุบัน จนทำให้หลายคนอาจกำลังเตรียมเงินเอาไว้ซื้อเรียบร้อยแล้ว แต่ในบทความนี้เราจะมาชี้ 6 ข้อจำกัดน่ารู้ของ iPhone SE 2 ว่ามีอะไรบ้าง เผื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อครับ
1. หน้าจอมีขนาดเพียง 4.7″
สำหรับสมาร์ตโฟนในปี 2020 แทบทุกรุ่นทุกแบรนด์ล้วนมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6 นิ้วขึ้นไปแทบทั้งนั้นแล้ว แม้กระทั่ง Apple เองก็ยังมีรุ่นที่จอเล็กสุดคือ iPhone 11 Pro ซึ่งก็อยู่ที่ 5.8″ แต่เป็นแบบจอเกือบเต็มเครื่อง ในขณะที่ iPhone SE 2 กลับใช้รูปทรงแบบ iPhone 8 ที่มีหน้าจอ 4.7″ นิ้วเท่านั้น พ่วงมาด้วยขอบจอหนาทั้งบนและล่าง ซึ่งถ้าพูดในแง่ของดีไซน์ก็ต้องบอกว่าออกไปในแนวคลาสสิกพอสมควรสำหรับยุคนี้
ส่วนในแง่ของการใช้งาน ก็ต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างเล็กไปจริง ๆ จะดูหนังก็ไม่เต็มตาเท่าไหร่ แต่ก็มีข้อดีคือขนาดที่เล็กกะทัดรัด ทำให้กลุ่มผู้ต้องการใช้งานอาจจะไม่ได้กว้างเท่ากับสมาร์ตโฟนแบบทั่วไป สถานการณ์ต่างจากตอน iPhone SE รุ่นแรกที่เทรนด์ของสมาร์ตโฟนในยุคนั้นยังเป็นแบบมีขอบจอบนล่างกันอยู่ รวมถึงหน้าจอ iPhone ก็ยังจัดว่าเล็กกว่ารุ่นอื่น ๆ ในตลาดอยู่ เลยทำให้ iPhone SE ไม่ได้ดูต่างจากรุ่นอื่นอย่างเห็นได้ชัดเท่าไหร่
2. ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่
ตามสเปคระบุว่า iPhone SE 2 สามารถใช้งานได้เท่า ๆ กับ iPhone 8 ก็คือสามารถใช้ดูวิดีโอได้ราว 13 ชั่วโมง เล่นวิดีโอผ่านสตรีมมิ่งได้ราว 8 ชั่วโมง ประกอบกับข้อมูลจากจีนระบุว่า iPhone SE 2 อาจจะมาพร้อมกับแบตราว ๆ 1800 mAh เท่านั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเนื่องจากตัวเครื่องที่เท่ากับ iPhone 8 จึงทำให้ไม่สามารถใส่แบตเตอรี่ที่ความจุสูงกว่านี้ได้ ทำให้พอจะบอกได้ว่า iPhone SE 2 เป็นสมาร์ตโฟนสเปคเรือธงที่ให้แบตมาน้อยสุดเลยก็คงไม่ผิดนัก
และเมื่อมองจากชิปประมวลผลที่เลือกใช้ Apple A13 Bionic รุ่นเดียวกับใน iPhone 11 ก็คงไม่แปลกใจที่หลาย ๆ คนจะเป็นห่วงว่าจะกินแบตเยอะขนาดไหน แม้ว่า Apple จะพัฒนาชิปให้กินไฟน้อยลงจนช่วยให้ทั้ง iPhone 11 / iPhone 11 Pro / iPhone 11 Pro Max ใช้งานแบตได้นานไม่น้อยหน้ามือถือ Android แล้วก็ตาม แต่ด้วยข้อจำกัดด้านความจุแบตใน iPhone SE 2 จึงอาจจะทำให้ประสบการณ์การใช้งาน iPhone ในยุคก่อนย้อนกลับมาอีกครั้ง คือการต้องพก powerbank ติดตัวไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินนั่นเอง
ซึ่งเรื่องนี้คงต้องรอพิสูจน์กันตอนเครื่องวางขายจริงอีกทีครับ ว่า iPhone SE 2 จะใช้งานแบตในชีวิตจริงได้นานขนาดไหน
3. ไม่มีช่อง 3.5 มม.
ก็เป็นผลพวงมาจากการเลือกใช้บอดี้ iPhone 8 ครับ คือ iPhone SE 2 ก็ยังคงไม่มีช่อง 3.5 มม. สำหรับเสียบแจ็คหูฟังมาให้เช่นเคย ดังนั้นถ้าหากต้องการใช้หูฟังก็ต้องเลือกเป็นหูฟังที่เชื่อมต่อทางช่อง Lightning เช่น EarPods ที่แถมมาในกล่อง หรือไม่ก็ใช้หูฟัง Bluetooth ไปเลย โดยตัวเครื่องรองรับ Bluetooth 5.0 เทียบเท่ากับรุ่นเรือธง
4. กล้องหลังตัวเดียว และอาจไม่มีโหมดกลางคืน
จัดว่าเป็นหนึ่งในข้อจำกัดที่ควรรู้เหมือนกันครับ เนื่องจากยุคนี้นับว่าเป็นยุคของมือถือที่มีกล้องหลังมากกว่า 1 ตัวแล้ว คืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีเลนส์ไวด์หลัก แล้วก็มีเลนส์ Depth หรือเลนส์อัลตร้าไวด์มาให้ แต่ใน iPhone SE 2 กลับให้เลนส์ไวด์หลักมาตัวเดียว ซึ่งก็เป็นดีไซน์ที่ตกค้างมาจากบอดี้ของ iPhone 8 นั่นแหละ
แต่ยังดีที่ iPhone SE 2 ยังมีโหมด Portrait จากการประมวลผลซอฟต์แวร์มาให้ เลยพอจะถ่ายรูปหน้าชัดหลังเบลอได้อยู่บ้าง แต่เรื่องของมิติความชัดลึก ความแม่นยำ การสร้างโบเก้ก็อาจจะไม่เทียบเท่าพวกที่มีเลนส์แยกมาช่วยเสริมการทำงานอยู่บ้าง
ส่วนการขาดเลนส์อัลตร้าไวด์ไป ก็อาจจะทำให้ต้องย้อนไปใช้วิธีแบบเดิม ๆ เพื่อการถ่ายภาพแบบกว้าง นั่นคือการเดินถอยหลังเพื่อหาจุดถ่ายใหม่
และอีกประเด็นที่น่าสนใจคือในหน้าระบุข้อมูลทางเทคนิคของ iPhone SE 2 ไม่มีการระบุถึงโหมดกลางคืนมาให้เลย ก็คงต้องมาดูตอนเครื่องขายจริงอีกทีนะครับว่าจะจริงหรือเปล่า
อัพเดต: iPhone SE 2 ไม่มีโหมดกลางคืนครับ
5. ไม่มีชิป U1
ในการเปิดตัว iPhone 11 ทาง Apple ได้เปิดตัวชิปย่อยใหม่มาอีกหนึ่งตัวนั่นคือชิป U1 ที่รองรับฟังก์ชันการระบุพิกัดแบบ Ultra-Wideband เพื่อการค้นหาอุปกรณ์อื่นที่ใช้ชิป U1 ในบริเวณใกล้เคียงกันได้โดยไม่ต้องพึ่งพา GPS และสัญญาณอินเตอร์เน็ต ซึ่งในตอนนี้มีการนำมาใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน AirDrop อยู่ แต่ในอนาคตน่าจะสามารถนำมาใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ ที่สามารถนำไปติดกับสิ่งของอื่น ๆ เพื่อใช้ในการระบุตำแหน่งของสิ่งของชิ้นนั้นได้ ซึ่งในตอนนี้ก็มีชื่อเรียกกันเล่น ๆ ว่า AirTag
แต่กับใน iPhone SE 2 ที่เพิ่งเปิดตัวนี้ แม้ว่าตัวเครื่องจะมาพร้อมกับชิปประมวลผลหลัก Apple A13 Bionic ก็ตาม แต่กลับไม่ได้ติดตั้งชิป U1 มาให้ด้วย คล้ายกับใน iPad Pro รุ่นใหม่ที่ไม่มีมาให้เช่นกัน
ดังนั้น หากใครต้องการซื้อ iPhone มาใช้งานกับอุปกรณ์พวก AirTag ก็มีแค่ 4 ทางเลือกครับ คือซื้อ iPhone 11 / ซื้อ iPhone 11 Pro / ซื้อ iPhone 11 Pro Max หรือไม่ก็รอ iPhone รุ่นใหม่กว่านี้ไปเลย
6. ไม่รองรับฟังก์ชันการสร้าง Animoji และ Memoji
เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่หายไปเนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ครับ เนื่องจากการสร้าง Animoji และ Memoji นั้น จะต้องทำบน iPhone / iPad ที่มาพร้อมชุดกล้องหน้าแบบ TrueDepth ซึ่งก็คือเป็นเครื่องที่รองรับ Face ID เท่านั้น จึงไม่แปลกใจที่ iPhone SE 2 จะไม่สามารถสร้าง Animoji และ Memoji ได้ แต่ยังสามารถรับและแสดง Animoji กับ Memoji จากผู้อื่นได้อยู่