เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับมือถือเรือธงประจำปีนี้ของ Samsung นั่นคือ Samsung Galaxy S25 ที่เปิดตัวมา 3 รุ่นย่อย ได้แก่ S25, S25+ และ S25 Ultra รวมถึงยังมีเปิดพรีออเดอร์ในไทยแล้วด้วย ซึ่งในบทความนี้เราก็จะมารวบรวมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่น่าสนใจและเป็นจุดเด่นของ Galaxy S25 ทั้งซีรีส์ เผื่อจะใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของหลาย ๆ ท่านในการสั่งจองเครื่อง เนื่องจากโปรในช่วงเปิดตัวนี้นับว่าเป็นจุดคุ้มมาก ๆ สำหรับ cycle แล้ว แถมยังมีโครงการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt 2.0 ในช่วงนี้พอดีอีก
1) ดีไซน์ขอบเหลี่ยมชัด มุมมน เข้ามือขึ้น
ในข้อนี้ รุ่นที่จะเห็นความแตกต่างชัดสุดก็จะเป็นตัวของ Samsung Galaxy S25 Ultra ที่ปรับขอบเครื่องมาเป็นแบบขอบเหลี่ยมตัด โดยที่มุมทั้ง 4 จะโค้งมนเหมือนกับใน Galaxy S24 ทำให้ตัวเครื่องมีความกระชับมือยิ่งขึ้น ส่วนวัสดุบริเวณขอบก็ยังคงใช้เป็นไทเทเนียมอยู่ ในขณะที่กระจกหน้าจอจะขยับมาใช้เป็น Gorilla Glass Armor 2 ที่แข็งแกร่งทนทานขึ้นไปอีก
ฝั่งของ Galaxy S25 และ S25+ ก็จะขยับมาใช้กระจก Gorilla Glass Victus 2 ส่วนขอบเครื่องก็จะใช้เป็น Armor Aluminum ทำให้ก็ยังทำได้ดีอยู่ในเรื่องความแข็งแกร่ง ทนทานโดยรวม ด้านของการกันน้ำกันฝุ่นก็จะอยู่ที่ระดับ IP68 ในทั้งสามรุ่นย่อยเลย
2) ชิป Snapdragon 8 Elite For Galaxy + ระบายความร้อนดีขึ้น + ProScaler
ขุมพลังที่ Samsung เลือกใช้ใน Galaxy S25 ทุกเครื่อง ทุกรุ่นย่อยในปีนี้ก็จะเป็นชิป Snapdragon 8 Elite ที่มีพ่วงท้ายมาด้วยว่า For Galaxy ซึ่งจะเป็นชิปที่ได้รับการปรับแต่งมาเพื่อ S25 โดยเฉพาะ หนึ่งในการปรับแต่งก็คือมีการปรับจูนส่วนของ application processor (AP) ให้ S25 สามารถประมวลผล AI ในเครื่องได้มากขึ้น ลดการส่งออกงานไปประมวลผลบนคลาวด์ รวมถึงฟังก์ชันการประหยัดพลังงานที่ก็จะส่งผลให้สามารถใช้แบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้นด้วย ทำให้ชิปที่แรงอยู่แล้วก็ยิ่งทรงประสิทธิภาพ และมีความสามารถขึ้นไปอีก ซึ่งสิ่งที่ชิปรุ่นใหม่นี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีก็คือเรื่องประสิทธิภาพกราฟิก อย่างในเรื่องการประมวลผล ray tracing เพื่อช่วยเพิ่มความสมจริงให้กับภาพในเกม ในเรื่องของเงาสะท้อนบนพื้นผิวต่าง ๆ ไปจนถึงการทำงานที่ต้องอาศัย AI ในการประมวลผล
สิ่งที่มีการอัปเกรดเคียงคู่กันมากับการเลือกใช้ชิปใหม่ก็คือเรื่องระบบระบายความร้อน ในรอบนี้ Samsung ได้เพิ่มขนาดของชุด vapor chamber ภายในเครื่อง Samsung Galaxy S25 Ultra ให้มีขนาดใหญ่กว่าใน S24 Ultra ถึง 40% ส่วนฝั่งของ S25 และ S25+ ก็จะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมราว ๆ 15% นอกจากนี้ที่ตัวชิป SoC เองก็มีการใช้วัสดุผิวสัมผัสแบบใหม่ที่มีคุณสมบัติในการถ่ายเทความร้อนที่ดีขึ้น ส่งผลให้ตัวเครื่องน่าจะสามารถระบายความร้อนออกมาได้เร็วกว่าเดิม
อีกฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับด้านประสิทธิภาพก็คือ ProScaler ซึ่งจะมาช่วยลด noise รบกวน และเพิ่มคุณภาพให้กับภาพขึ้นจอให้มีความคมชัดโดยอาศัยพลังของ AI ทำให้แม้ว่าจะปรับการแสดงผลจอให้ลงมาเหลือที่ระดับ HD+ หรือ FHD+ ก็จะยังได้ภาพที่ดูคมชัดเนียนตาอยู่
3) อัปเกรดกล้อง พร้อมฟังก์ชันใหม่และพลัง AI ใน ProVisual Engine
Samsung Galaxy S25 ทั้งสามรุ่นย่อย มาพร้อมกับเทคโนโลยีประมวลผลภาพที่เรียกชื่อรวมว่า ProVisual Engine รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งจะมีการนำ AI เข้ามาช่วยมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างของฟีเจอร์ด้านกล้องที่ใช้ AI ร่วมด้วย อาทิ
- ความสามารถในการแยกเลเยอร์ตัวแบบออกจากพื้นหลัง แล้วสามารถปรับแต่งสีสัน ความสว่างของชั้นตัวแบบให้ดูมีชีวิตชีวา ดูสมจริงยิ่งขึ้น สามารถใช้ได้ทั้งกับภาพนิ่งและวิดีโอ
- ทำพื้นหลังเบลอด้วยการจำลองการปรับรูรับแสงได้ดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
- มีฟิลเตอร์สีที่เกิดจากการประมวลผลของ AI ให้เลือกใช้งาน โดยให้ผู้ใช้เลือกภาพต้นแบบสีสันมาก่อน แล้วให้ AI ช่วยดึงโทนสีออกมาแต่งในภาพที่ต้องการได้เลย
- ให้ AI ช่วยดึงช็อตที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพนั้น ๆ มารวมกัน เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด เช่น ให้ตัวแบบลืมตาและยิ้มพร้อมกันทั้งสามคน จากที่ในตอนถ่ายจริง อาจจะไม่มีช่วงเวลาที่ตัวแบบทั้งสามคนลืมตาและยิ้มพร้อมกันเลย
ส่วนในด้านฮาร์ดแวร์กล้องเอง จะมีใน Galaxy S25 Ultra ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนสุด เพราะมีการเปลี่ยนกล้องอัลตร้าไวด์ให้มีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 50MP แล้ว จากเดิมใน S24 Ultra จะอยู่ที่ 12MP เท่านั้น นอกจากนี้ก็จะมีฟีเจอร์อื่นเพิ่มมาอีก เช่น รุ่น Ultra จะสามารถถ่ายวิดีโอ Log เพื่อความสะดวกสำหรับงานระดับมืออาชีพที่ต้องการนำไฟล์ไปเกรดสีภายหลัง เป็นต้น ทำให้ Samsung Galaxy S25 Ultra น่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกของมือถือสำหรับการถ่ายวิดีโอระดับมืออาชีพได้ดีมากขึ้นไปอีก จากที่ผ่านมา มือถือ Samsung รุ่นเรือธงก็จัดว่าเป็นกลุ่มเครื่องที่ถ่ายวิดีโอได้ดีมาก ๆ แล้วเมื่อเทียบกับกลุ่มมือถือ Android ด้วยกันเอง
4) แบตเตอรี่สุดอึด ดูวิดีโอได้นานแบบข้ามวัน
เรื่องระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ของมือถือซีรีส์ Galaxy S ยุคหลัง ต้องบอกว่าทำได้ดีสมกับเป็นรุ่นเรือธง เพราะโดยส่วนมากแล้วมักจะสามารถใช้งานข้ามวันได้สบาย ๆ มาในรุ่นล่าสุดก็น่าจะไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเคย เพราะในงานเปิดตัวได้มีการให้ข้อมูลว่าตัวของ S25 Ultra จะสามารถใช้ชมวิดีโอได้นานสุด 31 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจาก S24 Ultra มาอีก 1 ชั่วโมง ดังนั้น ในการใช้งานทั่วไปก็น่าจะไม่มีปัญหา ทั้งยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่าแบตเตอรี่อาจจะอยู่ได้นานขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อยด้วย ส่วนใน S25 และ S25+ ก็น่าจะได้ประมาณเท่า ๆ กับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งก็ถือว่าดีขึ้น เนื่องจากมีการปรับมาใช้ชิปรุ่นท็อปสุดในขณะนี้อย่าง Snapdragon 8 Elite for Galaxy ที่มีประสิทธิภาพสูง
5) Galaxy AI + Gemini
ไฮไลท์เด่นสุดในการเปิดตัว Samsung Galaxy S25 ครั้งนี้ก็คือการนำเสนอฟีเจอร์ด้าน AI ที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Samsung และ Google ในการนำ Gemini มาช่วยในการทำงานแบบเต็มตัวกว่าที่เคย เสริมกับฟังก์ชันของ Galaxy AI เองที่ก็ครอบคลุมการใช้งานและชาญฉลาดยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในจุดที่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงการนำ Gemini มาใช้งานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวหลักก็คือการที่ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม Power ด้านข้างค้างไว้เพื่อเรียก Gemini Live ขึ้นมารับคำสั่งเสียงได้โดยตรงในรูปแบบภาษาธรรมชาติที่เราใช้พูดคุยกับคนทั่วไปได้เลยทันที โดยไม่จำเป็นต้องพูดเป็นลักษณะของประโยคคำสั่ง รวมไปถึงการพูดคุยโต้ตอบกันระหว่างผู้ใช้งานกับ Gemini ที่เป็น AI ก็จะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถใช้การพูดด้วยประโยคธรรมชาติทั่วไปในการสั่งงาน AI กับฟังก์ชันอื่น ๆ ได้อีก เช่น ใช้ในการค้นหาภาพที่ต้องการจากในคลังภาพถ่าย หรือใช้ในการค้นหาข้อมูลก็ได้เช่นกัน เสริมจากที่ก่อนหน้านี้มีการค้นหาจากการรับคำสั่งรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่การแตะ การพิมพ์ ไปจนถึงการวงแบบ Circle to Search และสำหรับตัว Circle to Search เอง ในรอบนี้ก็มีความสามารถในการค้นหาเพลงจากในคลิปขึ้นมาได้อีก โดยไม่จำเป็นต้องเปิดแอปอื่นขึ้นมาเพิ่มเติมเลย
อีกฟีเจอร์ที่มีการเพิ่มเข้ามาใหม่ก็คือ Now Brief ที่จะเป็นหน้าสรุปข้อมูลให้ในเช้าแต่ละวัน อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ตารางนัดหมายตลอดทั้งวัน คะแนนเรื่องสุขภาพที่ทำได้ รายการจองตั๋วในวันนั้น ทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นผู้ช่วยที่จะคอยสรุปนัดให้ในทุกเช้า น่าจะถูกใจสำหรับคนที่มีการลงตารางนัดหมายไว้เยอะ ๆ อยู่พอสมควรทีเดียว
ด้านของการถ่ายวิดีโอ ก็จะมีอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่นำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้งานเพิ่มเติม นั่นก็คือฟีเจอร์ที่ช่วยในการตัดเสียงรบกวนในคลิป เช่น การตัดเสียงลมสำหรับวิดีโอที่ถ่ายกลางแจ้ง โดยระบบจะใช้ AI ในการประมวลผลและคำนวณหาเสียงที่น่าจะเป็นเสียงรบกวนส่วนเกินแบบต่าง ๆ ในคลิปออกมา จากนั้นก็จะมีตัวเลือกให้ผู้ใช้สามารถปรับระดับเสียงเหล่านั้นได้เอง โดยรูปแบบของเสียงที่ AI จะสามารถวิเคราะห์และจำแนกออกมาได้ก็ได้แก่ เสียงพูด เสียงเพลง เสียงลม เสียงต่าง ๆ จากธรรมชาติ เสียงรบกวนและเสียงจากกลุ่มคน ตรงนี้ก็น่าจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการถ่ายวิดีโอในสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงการนำ Samsung Galaxy S25 ไปใช้ถ่ายงานได้ดีขึ้นไปอีก
ในครั้งนี้ Samsung กับ Google มีการร่วมมือกันที่แนบแน่นกว่าเดิม โดยได้พัฒนาให้ Gemini สามารถทำงานร่วมกับแอปของ Samsung ได้ด้วย ทั้งส่วนของ Calendar, Notes, Reminder และ Clock ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสั่งใช้งานแอปติดเครื่องของ Samsung ผ่าน Gemini ได้ เช่น สั่งให้เพิ่มตารางนัดหมายในปฏิทิน เป็นต้น
ฟีเจอร์ด้าน AI ที่เป็นไฮไลท์เด็ดสุดในงานเปิดตัวครั้งนี้ก็คือ Gemini Live ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัว รับคำสั่งผ่านเสียงได้ โดยจะเป็นลักษณะเหมือนกับว่าเรากำลังคุยอยู่กับเพื่อนตรงหน้าจริง ๆ เช่นขณะที่อ่านเนื้อหาบนหน้าเว็บอยู่ ก็สามารถถาม Gemini Live เกี่ยวกับเนื้อหาตรงนั้นเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือให้ช่วยสรุปความได้เลย ตัวอย่างการใช้งานที่มีพูดถึงในงานเปิดตัวก็เช่น เราอาจจะมีภาพถ่ายอยู่ภาพนึงที่อยากได้ความเห็นว่าภาพนี้ดูเป็นยังไง ควรปรับตรงไหนเพื่อให้ภาพสวยขึ้น ก็สามารถพูดถาม Gemini Live ได้ทันที โดยคำตอบที่ได้ก็จะมาจากการที่ AI ประมวลผลรูปภาพ แล้ววิเคราะห์ออกมาได้ทันทีว่าควรจัดองค์ประกอบภาพอย่างไรเพื่อให้ภาพน่าสนใจขึ้น เป็นต้น และที่สำคัญคือ รอบนี้ AI สามารถทำงานร่วมกับภาษาไทยได้แบบเต็มตัวแล้ว ซึ่งจะมีผลโดยตรงกับฟีเจอร์ด้าน AI หลาย ๆ ตัว เช่น การสรุปเนื้อหาและการแปลภาษา เป็นต้น
สำหรับฟีเจอร์กลุ่มของ AI ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ รวมถึง Gemini Live ในช่วงแรกนี้จะมีให้ใช้งานเฉพาะบนแพลตฟอร์ม Android และ Samsung Galaxy S25 series ก่อนเท่านั้น นอกจากนี้ S25 ทุกเครื่องจะมาพร้อม Gemini Advanced ให้ใช้ฟรี 6 เดือน พร้อมพื้นที่คลาวด์เก็บข้อมูล 2TB ด้วยในระหว่างที่ใช้งาน Gemini Advanced ด้วย
สรุปโปรจอง Samsung Galaxy S25
จากจุดเด่นทั้ง 5 ข้อข้างต้น หากดูแล้วคิดว่ามี Galaxy S25 รุ่นไหนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้งานของเรา และปัจจัยพร้อมที่จะซื้อ ก็สามารถพรีออเดอร์เครื่องได้ทันที ซึ่งทั้ง Samsung เอง รวมถึงร้านตัวแทนจำหน่ายต่าง ๆ ก็มีโปรโมชันให้เลือกแบบจัดเต็มแทบทั้งนั้น อาทิ โปรเพิ่มความจุสองเท่าฟรี โปรเพิ่มยอด top up ให้กับการนำเครื่องเก่าแลกใหม่ ไปจนถึงสิทธิ์ซื้ออุปกรณ์เสริมในราคาพิเศษ เป็นต้น และที่สำคัญคือหลาย ๆ ร้านจะร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 เพื่อใช้ยอดซื้อไปคำนวณในการลดหย่อนภาษีรอบปีหน้าได้อีกด้วย ทำให้ช่วงนี้จัดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการเปลี่ยนมือถือมาเป็น Galaxy S25 series
แต่ทั้งนี้ต้องย้ำนิดนึงว่าโปรพรีออเดอร์จะมีถึงแค่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 68 เท่านั้น อาจจะต้องรีบตัดสินใจซักนิดนึง ส่วนกำหนดการรับเครื่องก็จะเป็นอย่างเร็วสุดวันที่ 31 มกราคม 68 นี้เลย สำหรับผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าและสั่งซื้อกับ Samsung โดยตรง ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรจอง Samsung Galaxy S25 ได้ที่นี่
ดูข้อมูลเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy S25|S25+ และ S25 Ultra