
การซื้อมือถือ สเปคก็ยังเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับการเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งาน เพราะฮาร์ดแวร์และระบบต่าง ๆ จะเป็นสิ่งที่กำหนดประสบการณ์การใช้งานได้แบบแทบจะโดยตรง ต่างจากเมื่อก่อน มือถือเรือธงจะเน้นไปที่ชิปเซ็ตแรง ๆ กล้องและจอความละเอียดสูง ระบบชาร์จเร็วแบบด่วน ๆ พอมาในช่วงหลัง แต่ละแบรนด์ก็จะใส่เทคโนโลยีเพื่อสร้างความแตกต่าง และปรับจูนความกลมกล่อมให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง ในบทความนี้จะมาดูกันว่า 5 เทคโนโลยีที่ควรมีเป็นพื้นฐานสำหรับกลุ่มมือถือระดับท็อปจะมีอะไรบ้าง เพื่อให้ได้ประสบการณ์การใช้งานมือถือแบบสมราคาที่สุด
1. ระบบ AI ที่เป็นธรรมชาติ ประสานร่วมกับการใช้งานแบบแนบเนียนขึ้น
นับเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่มือถือรุ่นใหม่ ๆ จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี AI มาช่วยงานในหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐานอย่างการจัดระบบ process เบื้องหลัง จัดการด้านการใช้พลังงาน ปรับจูนประสิทธิภาพ มาจนถึงการนำมาใช้ประมวลผลงานต่าง ๆ ที่สามารถใช้โมเดล AI ในการแก้ปัญหาได้ เช่น การแปลภาษาทั้งจากข้อความและจากเสียง การช่วยเรียบเรียงข้อความให้ได้ตามจุดประสงค์ของการสื่อสาร การช่วยแต่งภาพถ่ายอย่างการลบสิ่งที่ไม่ต้องการในภาพ แล้วช่วยตกแต่งให้ภาพดูเป็นธรรมชาติ หรือสร้างวิดีโอเคลื่อนไหวจากภาพนิ่ง เป็นต้น
ซึ่งสำหรับมือถือเรือธงในปี 2025-2026 แน่นอนว่าก็ต้องมี AI ประสิทธิภาพสูงมาในตัว แต่แนวโน้มที่น่าจะได้เห็นมากขึ้นก็คือการนำ AI เข้ามาทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ (OS) และแอปต่าง ๆ ในเครื่องได้แนบเนียนขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้งานแบบเฉพาะตัวที่ดีขึ้น โดย AI จะมีการเรียนรู้รูปแบบการใช้งานของผู้ใช้ แล้วพยายามคาดเดาว่าผู้ใช้ต้องการทำอะไรต่อไป น่าจะต้องการผลลัพธ์แบบไหน เสมือนเป็นผู้ช่วยประจำตัวที่จะรับมือกับงานได้หลากหลายขึ้น ซึ่งจะเป็นการยกระดับการทำงานขึ้นจาก AI ในปัจจุบันที่โดยมากแล้วยังต้องมีการกดเรียกขึ้นมาใช้งาน ซึ่งทางฝั่งของ OS เองก็ดูจะเป็นไปในแนวทางนี้มากขึ้น เริ่มตั้งแต่ Google ที่ใน Android 16 จะมีการนำ AI มาช่วยเสริมการทำงานมากขึ้นจนแทบจะกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำงานได้แบบอัตโนมัติ สามารถโต้ตอบกับสภาพแวดล้อมภายนอกได้ด้วยตัวเอง ส่วนฝั่ง Apple ก็จะมี iOS 26 ที่นำ AI เข้ามาทำงานเบื้องหลังระบบต่าง ๆ มากขึ้น แต่อาจจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนมากนัก เนื่องจากโครงการผสมผสาน Apple Intelligence กับ Siri ดูจะยังไม่เป็นเนื้อเดียวกันมากนัก
แต่สำหรับมือถือ Android แบรนด์ต่าง ๆ ก็อาจจะต้องขึ้นอยู่กับทางแบรนด์ด้วยว่าจะมีการทุ่มพลังไปกับการพัฒนา AI ของตนเองและมีความร่วมมือกับ Google เพื่อนำ Gemini มาใช้กับระบบ Android ของตนเองมากขนาดไหน ซึ่งถ้าอยากให้มั่นใจว่าแบรนด์น่าจะยังมีการพัฒนาเพื่อเติมความสามารถใหม่เข้ามาหลังจากซื้อ การเลือกมือถือเรือธงของแบรนด์น่าจะเป็นแนวทางที่อุ่นใจได้มากที่สุด
2. ชิปเซ็ตเร็ว แต่เย็น กินไฟต่ำและมี NPU ในตัวแรง ๆ
ไม่ว่าจะใส่ระบบ ใส่ AI มามากขนาดไหน หากชิปเซ็ตที่ใช้สำหรับประมวลผลข้อมูล ประมวลผลกราฟิก ไปจนถึงประมวลผล AI ไม่แรง ก็ย่อมไม่สามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีได้ และยิ่งหากเป็นมือถือรุ่นเรือธง ก็แน่นอนว่าต้องมาพร้อมชิปรุ่นท็อป หรืออย่างต่ำสุดก็รองท็อปที่มีความโดดเด่นและความสมดุลกับทั้งประสิทธิภาพและราคา จึงน่าจะไม่ต้องห่วงประเด็นนี้มากนัก แต่ก็ควรเลือกรุ่นที่มีระบบจัดการความร้อนที่ดี เพื่อที่จะทำให้สามารถใช้งานเครื่องอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ยาวนาน โดยเฉพาะกับงานที่ต้องอาศัยพลังประมวลผลสูง อาทิ การเล่นเกม การถ่ายวิดีโอ ถ่ายภาพ การใช้ AI ช่วยงานต่าง ๆ เพราะถ้าหากเครื่องมีความร้อนสะสมสูงเกินไป ระบบจะปรับลดประสิทธิภาพลง รวมถึงอาจมีการลดความสว่างจอ ปิดบางฟังก์ชัน ไปจนถึงอาจมีการแจ้งให้ปิดเครื่องเลยก็ได้
ส่วนด้านของการใช้พลังงานก็เป็นอีกเทรนด์ที่ผู้ผลิตให้ความสำคัญ เพื่อให้ชิปกินไฟต่ำ ส่งผลถึงความร้อนสะสมที่ลดลงและสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้นด้วย ซึ่งในข้อนี้ยิ่งเวลาผ่านไป เทคโนโลยีก็จะยิ่งมีการพัฒนาให้ดีขึ้น อาทิการใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่มีขนาดเล็กลง มีการใส่ส่วนประมวลผลงานเฉพาะทางเข้ามา จากที่เมื่อก่อนจะใช้ CPU ในการคำนวณทั้งหมด ทำให้กลุ่มมือถือเรือธงในปัจจุบันก็สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้แบบข้ามวันแทบไม่ต่างกับกลุ่มมือถือราคาไม่สูงมากที่ใช้ชิปเน้นการกินไฟต่ำในอดีตแล้ว แถมมือถือในกลุ่มนี้ยังมีการพัฒนาขึ้นมาจนแทบจะมีช่องว่างห่างจากกลุ่มเครื่องเรือธงแคบลงกว่าเดิมมากทีเดียว
และอีกปัจจัยที่น่าจะได้เห็นก็คือชิปเซ็ตที่มี NPU ประสิทธิภาพสูงขึ้น มีค่า TOPS สูง ๆ เพื่อทำให้สามารถประมวลผล AI ในเครื่องแบบ on device ได้มากขึ้นกว่าเดิม จากที่ในตอนนี้ หลาย ๆ งานยังจะต้องอาศัยการอัปโหลดข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตเพื่อให้เซิร์ฟเวอร์ของผู้ผลิต AI ประมวลผลให้ ซึ่งถ้าชิปมีการพัฒนาขึ้น ก็เป็นไปได้ว่าหลาย ๆ งานอาจจะเปลี่ยนมาจัดการได้ในเครื่อง ซึ่งจะทำให้ความเร็วในการทำงานสูงขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลด้วย
3. รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 ที่คลื่น 6 GHz แบนด์วิธ 320MHz
การใช้สมาร์ตโฟนในปัจจุบัน แทบทุกแอป แทบทุกงานจำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อเพื่อรับส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตกันทั้งนั้น แม้กระทั่งการประมวลผล AI จากในข้อก่อนหน้านี้ ที่หลาย ๆ งานยังจำเป็นต้องอัปโหลดขึ้นไปให้เซิร์ฟเวอร์ประมวลผล แล้วจึงจะส่งผลลัพธ์กลับมา ส่งผลให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตคือสิ่งจำเป็นสุด ๆ สำหรับสมาร์ตโฟน ซึ่งฝั่งของการเชื่อมต่อ cellular สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปในตอนนี้ก็จะมีเทคโนโลยี 5G ที่เป็นรุ่นใหม่สุด และมีอยู่ในมือถือรุ่นใหม่ ๆ จำนวนมากอยู่แล้ว อาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในส่วนของฮาร์ดแวร์เชิงลึก เช่น จำนวนเสาอากาศ ความสามารถในการจัดการแพ็คเก็ตข้อมูล การรองรับ VoNR ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเชิงลึก และไม่ได้เน้นในการนำเสนอมากนัก โดยเฉพาะกับกลุ่มของมือถือเรือธง ส่วนมากแล้วก็จะให้มาแบบจัดเต็มสุด ใช้งานได้ครบสุดอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยน่าเป็นห่วงมากนัก แต่จะมีเรื่องหนึ่งที่อาจจะมอง ๆ ไว้ซักหน่อยก็คือความสามารถในการใช้งาน eSIM ที่ถ้ามีก็จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานได้มากทีเดียว
แต่เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่จัดว่ายังใหม่มาก ๆ จริง ๆ สำหรับปี 2025 ก็คือการรองรับ Wi-Fi 7 (802.11be) ที่คลื่น 6 GHz โดยได้แบนด์วิธเต็ม ๆ 320MHz ด้วย เพราะในปัจจุบันจะยังมี Wi-Fi 7 ที่รองรับเฉพาะคลื่น 2.4 และ 5 GHz ที่ใช้กันอยู่แพร่หลายในตั้งแต่ Wi-Fi 4, 5, 6 และ 6E แต่จะได้ความสามารถเด่น ๆ ของ Wi-Fi 7 ไปใช้ด้วย เช่น เทคโนโลยี MLO สำหรับรวมแบนด์วิธหลายคลื่นเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่สูงขึ้น ค่าความหน่วง (latency) ที่ต่ำลง เป็นต้น แต่แน่นอนว่าด้วยการที่ยังรองรับแค่ 2 คลื่น ก็จะทำให้ยังมีแบนด์วิธและความเร็วในการรับส่งไม่สูงเท่ากับอุปกรณ์ที่รองรับแบบทั้งสามคลื่น (Tri-band) คือทั้ง 2.4+5+6 GHz ที่เรียกได้ว่าเป็นการนำ Wi-Fi 7 มาใช้อย่างเต็มศักยภาพที่สุด
แต่สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ Wi-Fi 7 คลื่น 6 GHz ด้วย และรองรับแบนด์วิธ 320MHz เต็ม ๆ จะยังคงมีให้เลือกน้อย และยังมีราคาสูงอยู่ โดยเฉพาะฝั่งของเราเตอร์ที่ใช้ในบ้าน ทำให้ในส่วนนี้อาจจะยังจัดว่ามีความสำคัญระดับรองลงมาซักหน่อย ส่วนฝั่งของมือถือเรือธงเองตอนนี้ก็มีบางรุ่นที่รองรับแบบ Tri-band มาตั้งแต่แรกเลย เช่น Samsung Galaxy S25 Ultra, S24 Ultra, S25, S25+, iQOO 12, iQOO 13, HONOR Magic7 Pro (รีวิว) และ OPPO Find X8 Pro (รีวิว) เป็นต้น
4. กล้องมี AI + เลนส์เทเลเพริสโคปซูมไกลแบบ Lossless
กล้องก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสมาร์ตโฟน ทางผู้ผลิตเองก็ให้ความสำคัญกับการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอค่อนข้างมากมาตลอด ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวมือถือรุ่นเรือธงมาจนถึงรุ่นกลางต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องกล้องเป็นอันดับต้น ๆ บางรุ่นได้รับการออกแบบมาให้เน้นเรื่องกล้องเป็นพิเศษ จึงทำให้ด้านนี้กลายเป็นจุดขายสำคัญของวงการมือถือไปแล้ว
แน่นอนว่าในมือถือรุ่นระดับท็อปก็มักจะมาพร้อมฮาร์ดแวร์ระดับท็อป ไล่ตั้งแต่เซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ ชุดเลนส์คุณภาพสูง มีการเคลือบผิวเพื่อลดแสงสะท้อน ลดการเกิด CA ที่ขอบวัตถุในภาพ มีระบบการซูมที่ทำให้สามารถซูมไกลได้แบบไม่เสียรายละเอียด คล้ายกับการซูมจากชุดเลนส์ของกล้อง DSLR/Mirrorless ระบบประมวลผลภาพที่หลายค่ายหันไปจับมือร่วมกันพัฒนากับแบรนด์กล้องและเลนส์ชื่อดังเช่น LEICA, ZEISS และ Hasselblad ท้ายที่สุดก็คือชิปประมวลผลภาพ ที่มีอยู่ทั้งในชิปเซ็ต CPU และบางรุ่นอาจจะมีชิปแยกของผู้ผลิตมือถือเองโดยเฉพาะ ด้านของซอฟต์แวร์ก็จะมีทั้งฝั่งของระบบปฏิบัติการ+แอปกล้องที่มีเทคนิคการประมวลผลภาพ เพื่อช่วยในการปรุงแต่งให้ได้ภาพที่คมชัด แสงและสีสันอยู่ในระดับที่ดี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ขาดไม่ได้ก็คือการนำ AI เข้ามาช่วยประมวลผลภาพ ที่ทางผู้ผลิตมักจะนำมาใช้งานอยู่ 2 แบบหลัก ๆ
- ให้ AI เรียนรู้ข้อมูลจากคลังภาพขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ในการปรุงแต่งภาพที่กล้องในเครื่องถ่ายมา
- ให้ AI ประมวลผลภาพที่ถ่ายมา แล้วดูว่าตรงไหนควรปรับแก้ได้บ้าง เช่น ให้กล้องถ่ายภาพมารัว ๆ แล้ว AI ช่วยเลือกช็อตที่ดีที่สุด หรืออาจต้องมีการผสมภาพจากหลายช็อตเข้าด้วยกัน รวมถึงใช้ในการแต่งภาพ เช่น ลบสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องออก ปรับความเอียงตาม perspective โดยที่ภาพไม่เบี้ยว ปรับแต่งบางส่วนของภาพแบบอัตโนมัติ เพิ่มความเบลอให้ฉากหลังแบบเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น เป็นต้น
ทำให้ถ้าหากมือถือมี AI สำหรับช่วยในการถ่ายภาพ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ทำให้ผู้ใช้งานได้ภาพถ่ายที่สวย นำไปใช้งานต่อได้มากขึ้น บางทีก็สามารถได้ภาพที่กดถ่ายแล้วใช้ต่อได้เลย แทบไม่ต้องแต่งรูปเลยก็มี
อีกเรื่องที่ควรมีในมือถือเรือธงก็คือระบบซูมของเลนส์เทเลแบบเพอริสโคป เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดในขนาดนี้ สำหรับการจะทำให้กล้องมือถือสามารถซูมระยะไกลได้แบบไม่เสียรายละเอียด โดยที่ตัวเครื่องไม่หนาเกินไป เนื่องจากหลักการทำงานของระบบนี้จะมีการเคลื่อนที่ของชุดเลนส์ภายในเครื่องจริง ๆ เพื่อใช้ในการเปลี่ยนระยะองศาการรับภาพให้แคบลง (ซูมไกล) ซึ่งจะต่างจากการซูมของมือถือรุ่นเมื่อซัก 3-4 ปีก่อนขึ้นไป ที่มักจะเป็นการซูมแบบ crop จากเซ็นเซอร์แบบไม่มีการขยับระยะเลนส์ ทำให้ได้ภาพจากการถ่ายซูมที่คมชัด ภาพดูมีมิติดีขึ้นจากองศาการรับภาพที่แคบลงจริง ๆ นอกจากนี้ผู้ผลิตยังมักใส่ระบบการซูมแบบดิจิทัลเข้ามาทำงานร่วมกัน เกิดเป็นการซูมแบบไฮบริดที่ทำให้ซูมได้ไกลขึ้นไปอีก และยังมี AI มาช่วยในการลบ noise เพิ่มความคมชัดให้กับภาพเข้าไปอีก ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจผู้ใช้งานอยู่บ้าง เพราะบางที AI ก็จัดการเกลี่ยภาพซะจนผิวเละเป็นวุ้นไปบ้างก็ดี แต่ในแง่ของการซูมไกล ก็ต้องบอกว่ามันทำได้ตามโจทย์จริง ๆ อีกอย่างคือกลุ่มของมือถือรุ่นรองลงมาก็เริ่มมีชุดเลนส์ซูมเพอริสโคปกันแล้ว ดังนั้นถ้าจะซื้อมือถือรุ่นท็อปหน่อย ก็ควรจะมีด้วย จะได้ใช้งานได้แบบครบครันสุด สมราคา
5. แบต Silicon-Carbide ความจุสูง ชาร์จไวแบบปลอดภัย
สุดท้ายคือเรื่องแบตเตอรี่ ที่ก่อนหน้านี้จะแข่งกันเรื่องความจุสูง แต่พอถึงช่วงเวลาหนึ่งก็จะตันอยู่ที่ประมาณ 5000 mAh เท่านั้น ด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่พร้อมสำหรับการนำมาใช้กับระดับการผลิตสินค้าเพื่อการอุปโภคในวงกว้าง แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หลายแบรนด์มือถือจากประเทศจีนได้นำเทคโนโลยี Silicon-Carbide (SiC) มาใช้กับแบตเตอรี่ ที่จะยังคงเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมอยู่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนจากการใช้กราไฟต์ในการทำขั้ว anode มาใช้เป็น Siicon-Carbon แทน ทำให้สามารถอัดเซลล์แบตเตอรี่ li-ion ได้มากขึ้น ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 10-20% ซึ่งส่งผลให้เกิดข้อดีที่เพิ่มขึ้นมาหลายด้าน ได้แก่
- ทำให้ความจุแบตเพิ่มขึ้น
- หากเทียบที่ความจุเท่ากัน แบตเตอรี่จะมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบากว่าเดิม
- รองรับการชาร์จแบตได้เร็วกว่าเดิม
- อาจมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และอาจส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมที่น้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องของอายุการใช้งานในข้อสุดท้าย ยังเป็นสิ่งที่ยังไม่มีการฟันธงที่แน่ชัดออกมา เนื่องจากคุณสมบัติทางเคมีของซิลิคอน ที่จะมีการขยายตัวเมื่อมีการประจุไฟเข้าไป และอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดความเครียดจากภายใน ซึ่งส่งผลถึงอายุการใช้งานในระยะยาวได้ แม้ว่าจะมีการใส่ Carbon เข้าไปผสมแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะช่วยลดการขยายตัวจนช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ทั้งก้อนได้ดีขึ้นตามทฤษฎีขนาดไหน ประกอบกับผู้ผลิตแบตเตอรี่เองจะเลือกใช้อัตราส่วนของซิลิคอนกับคาร์บอนอยู่ที่เท่าไหร่อีก ที่จะสะท้อนออกมาเป็นเกรดของแบตเตอรี่ ซึ่งก็คงขึ้นอยู่กับต้นทุนในการผลิตเครื่องด้วย เพราะผู้ผลิตก็ต้องชั่งน้ำหนักหลายปัจจัยพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความจุแบต ความหนา น้ำหนัก อายุการใช้งานที่ต้องการ รอบการเปลี่ยนเครื่องของผู้ใช้ ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ระบบความปลอดภัย ซึ่งสุดท้ายก็จะส่งผลมาถึงราคามือถือด้วย
ดังนั้นถ้าหากคุณต้องการซื้อมือถือเรือธงซักเครื่อง แล้วตั้งใจว่าจะเปลี่ยนในอีกซัก 1-3 ปีข้างหน้า การเลือกมือถือที่ใช้แบต Silicon-Carbide ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะได้ข้อดีที่ส่งผลถึงประสบการณ์การใช้งานแบบเต็ม ๆ และภายในช่วงเวลา 1-3 ปี โดยมากแล้วแบตน่าจะยังไม่ถึงกับเสื่อมจนต้องแกะเครื่องเปลี่ยนแบต แถมยังอาจจะได้เปลี่ยนเครื่องก่อนด้วยซ้ำไป
สรุป 5 เทคโนโลยีที่ควรมี เมื่อจะซื้อมือถือเรือธง
จากข้างต้นก็จะมีมาตั้งแต่เทคโนโลยี AI ที่จะสัมพันธ์กับชิปเซ็ตในเครื่อง ซึ่งถ้ายิ่งชิปเร็วแรง มี NPU ประสิทธิภาพสูง ก็จะส่งผลให้สามารถใช้งาน AI ได้ดีขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานได้ดี ต่อมาก็เป็นเรื่องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ที่จะเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องมีการรับส่งข้อมูลปริมาณมาก รวมถึงการใช้งานที่ต้องการ latency ต่ำ เช่นการเล่นเกมออนไลน์ที่ต้องช่วงชิงจังหวะ
ต่อมาก็คือเรื่องกล้องที่สามารถซูมไกลได้ดี ได้ภาพที่ยังมีคุณภาพสูงอยู่ เพราะกลไกการซูมไกลนั้นมีความซับซ้อนกว่าการถ่ายรูปด้วยเลนส์ไวด์ปกติและเลนส์อัลตร้าไวด์ค่อนข้างมาก ประกอบกับการถ่ายภาพระยะไกลก็ได้รับความนิยมในวงกว้างอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่การถ่ายภาพในชีวิตประจำวัน ถ่ายสัตว์จากระยะไกล เพราะจะได้ภาพที่ดูมีมิติกว่าการถ่ายด้วยเลนส์ปกติ และสามารถเก็บภาพได้โดยไม่ต้องเข้าใกล้ตัวแบบ ไปจนถึงการถ่ายภาพในบางงาน เช่นการถ่ายคอนเสิร์ต ที่กลายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสามารถของกล้องมือถือไปแล้ว
สุดท้ายก็คือเรื่องแบตเตอรี่ หลังจากที่เทคโนโลยีดูนิ่ง ๆ ไปช่วงเวลาหนึ่ง ตอนนี้ก็มีแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ที่มีจุดเด่นในเรื่องความจุสูงขึ้น แต่ตัวแบตมีขนาดบางและเบาลง ทำให้น่าจะได้เห็นการออกมือถือเรือธงที่สามารถใส่ความสามารถอื่น ๆ เข้าไปแทนพื้นที่แบตที่เล็กลงได้มากขึ้น หรืออีกทางก็คือจะได้เห็นมือถือรุ่นที่เน้นความบางเป็นพิเศษมากขึ้นด้วย