
แต่เดิม iPhone ในซีรีส์ SE จะมีจุดเด่นในด้านของสเปคที่ดีในราคาจับต้องง่ายสุดในบรรดา iPhone รุ่นปัจจุบันที่วางขายอยู่พร้อมกัน กับราคาไทยที่เริ่มต้นไม่ถึง 20,000 บาท แต่พอมาเป็นยุคของ iPhone 16e ที่มีการปรับดีไซน์เป็นแบบไร้ปุ่มโฮมเหมือนกับรุ่นหลัก กลับมีราคาที่สูงขึ้นเป็นเริ่มต้น 22,900 บาท ในขณะที่สเปคก็มีการตัดทอนจากรุ่นหลักในหลายจุด จนทำให้หลายคนมองว่ายอมจ่ายเพิ่มเพื่อไปซื้อ iPhone 15 หรือ iPhone 16 ไปเลยดีกว่า
ในบทความนี้เราจะมาลองดูกันครับว่าถ้ามองจากหลาย ๆ มุม ตัวของ iPhone 16e จะเหมาะกับใครบ้าง กลุ่มไหนที่หากซื้อไปใช้ น่าจะคุ้มเงินสุด

1) ผู้ที่ต้องการซื้อ iPhone มาใช้ทำธุรกรรม
แม้ว่ามือถือ Android จำนวนมากในปัจจุบันจะมีระบบความปลอดภัยที่สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้วก็ตาม บางรุ่นถึงกับมีระบบปิดกั้นการลงแอปแบบใช้ไฟล์ .apk จากนอก Play Store ซึ่งก็ช่วยลดความเสี่ยงในการโดนมัลแวร์เจาะได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ซีเรียสกับเรื่องการทำธุรกรรมผ่านมือถือจริง ๆ ก็ยังมองว่าการหาซื้อ iPhone ซักเครื่องมาเพื่อใช้ในด้านนี้โดยเฉพาะก็ยังคงเป็นเรื่องที่คุ้มกับการลงทุนอยู่ ด้วยความที่ iPhone มีจุดเด่นที่เกี่ยวข้อง เช่น
1. การอัปเดต iOS ที่นานกว่า
ถ้าซื้อรุ่นใหม่หน่อย ก็รองรับการอัปเดต iOS ได้นาน เท่ากับยังสามารถอัปเดตแอปเวอร์ชันใหม่ ๆ ตามได้หลายปี ลดความเสี่ยงที่จะถูกตัดการสนับสนุนจากนักพัฒนาแอป จนไม่สามารถใช้แอปได้ อย่างเช่นแอป K Plus เวอร์ชันล่าสุด รองรับการใช้งานได้ที่ขั้นต่ำ iOS 15 เท่ากับว่าแม้จะเป็น iPhone 6s ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2015 ก็ยังสามารถใช้งานแอป K Plus ได้อยู่ (ช้า/เร็วขนาดไหนก็เป็นอีกประเด็น) ในขณะที่มือถือ Android หลาย ๆ รุ่นที่เปิดตัวในปี 2015 กลับไม่สามารถใช้แอปดังกล่าวได้แล้ว เนื่องจากไม่สามารถอัปเดต Android ขึ้นมาได้ถึงระดับความต้องการขั้นต่ำของแอป
2. ระบบที่แน่นหนากว่า เสี่ยงต่อมัลแวร์น้อยกว่า
หากเป็นในอดีต ต้องบอกว่าข้อนี้คือจุดแข็งมาก ๆ ของ iPhone ด้วยการสร้างให้ระบบเป็นแบบปิด สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันได้ผ่านทาง App Store เท่านั้น การจะติดตั้งส่วนเสริม จะลงโปรไฟล์เพิ่มก็มีวิธีค่อนข้างซับซ้อน จึงทำให้ตัวระบบค่อนข้างปลอดภัย มีอะไรแปลก ๆ มาฝังตัวในเครื่องได้ยาก จึงเป็นจุดที่ทำให้ iPhone เหมาะสำหรับใช้งานที่ต้องการระบบความปลอดภัยสูง เช่น การนำมาใช้ทำธุรกรรมด้านการเงิน การเก็บข้อมูลสำคัญ
แต่ในปัจจุบัน อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าฝั่ง Android และบริษัทผู้ผลิตมือถือก็มีการพัฒนาระบบด้านความปลอดภัยให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีระบบช่วยปิดกั้นการติดตั้งแอปผ่านการใช้ไฟล์ .apk หรือติดตั้งผ่าน ADB ที่ก็ยังเปิดให้สามารถทำได้อยู่ แต่มีขั้นตอนที่ซับซ้อนขึ้น รวมถึงมีการนำ AI มาช่วยตรวจจับความผิดปกติของระบบด้วย ประกอบกับเหล่าผู้ไม่หวังดีก็มีเทคนิคในการเจาะที่มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ฝั่งของ iPhone เองก็ดูมีภาษีในด้านนี้ลดลงมาบ้างพอสมควร
แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการออกแบบระบบที่เป็นเชิงปิด รวมถึงการมีระบบช่วยตรวจสอบ แจ้งเตือน ที่ถ้าผู้ใช้ไม่ได้แค่กดข้าม ๆ ไป ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการใช้งานได้อยู่ไม่น้อย จึงทำให้การซื้อ iPhone ซักเครื่องมาใช้ในการทำธุรกรรมสำคัญ ก็ยังน่าจะเป็นทางเลือกที่ไว้ใจได้อยู่ เช่น อาจจะซื้อมาแล้วลงใช้บัญชี Apple แยกจากเมลหลัก ติดตั้งเฉพาะแอปที่จำเป็น มีช่องทางติดต่อและส่งข้อมูลมาหาเครื่องหลัก/เบอร์หลักที่ใช้ประจำที่ปลอดภัย เท่านี้ก็น่าจะมั่นใจในความปลอดภัยได้มากทีเดียว
3. ความหลากหลายของระบบมีน้อย ทำให้รับการแก้ไขปัญหาได้ง่ายกว่า
ด้วยการที่ iPhone ใช้ iOS เป็นระบบปฏิบัติการ ประกอบกับไม่ได้มีความหลากหลายเท่ากับมือถือ Android ที่นอกจากจะมีหลายแบรนด์แล้ว แต่ละแบรนด์ยังมีการทำซอฟต์แวร์มาครอบ OS ไว้ รวมถึงแต่ละแบรนด์ก็มีมือถือหลากหลายรุ่นตามช่วงราคา ซึ่งก็อาจจะได้รับการอัปเดตเวอร์ชันที่ไม่เท่ากัน ฮาร์ดแวร์ก็มีสเปคที่หลากหลาย การใช้ชิปเซ็ตหลายยี่ห้อ จึงอาจทำให้นักพัฒนาแอปตามแก้ปัญหาที่เกิดในแอปของตนเองได้ไม่ทั่วถึง หรือใช้เวลาในการแก้ไขนานกว่า เพราะนอกจากจะต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ยังต้องมีเวลาในการทดสอบ เวลาในการตรวจสอบว่ามันจะไม่เกิดปัญหาใหม่ขึ้นในรุ่นอื่น ๆ อีก
จึงทำให้ถ้าหากต้องการใช้งานแอปสำคัญ ๆ ได้แบบสบายใจ ถึงมีปัญหาก็สามารถตามแก้ไขได้เร็วกว่า การเลือกใช้ iPhone ก็น่าจะตอบโจทย์ในจุดนี้ได้ดี
ซึ่งถ้าหากต้องการซื้อ iPhone ซักเครื่องมาเพื่อใช้งานด้านธุรกรรมการเงินเป็นหลัก โดยอาจจะใช้เป็นแค่เครื่องที่เปิดสแตนด์บายไว้ ในขณะที่มือถือเครื่องหลักอีกเครื่องก็อาจจะเป็นมือถือ Android ในแบบที่ตอบโจทย์ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว การเลือกซื้อ iPhone 16e 128GB ซักเครื่องก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียว ด้วยสเปคที่จัดว่าค่อนข้างใหม่มาก เพราะได้ชิป A18 ที่รองรับการทำงานไปได้อีกหลายปี อัปเดตได้อีกยาว ส่วน GPU ที่แม้จะมีคอร์ลดลงมาจากชิปในรุ่นหลัก แต่ก็ยังแรงมากพอสำหรับการเล่นเกมบ้างในเวลาว่าง เรียกว่าได้สเปคระดับเรือธงรุ่นใหม่ ๆ ได้อยู่เหมือนกัน คือแรงเกินพอสำหรับใช้ทำธุรกรรม แต่ก็ยังแรงมากพอที่จะสลับมาใช้เป็นเครื่องหลัก เครื่องส่วนตัวได้
ส่วนหน้าจอก็ได้เป็น OLED ขนาด 6.1″ เท่า ๆ กับ iPhone รุ่นหน้าจอปกติ ซึ่งก็ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป อยู่ในระดับที่กำลังพกพาสะดวก ใส่กระเป๋าข้างก็สบาย ส่วนกล้อง ถ้าไม่ได้เน้นมาถ่ายรูปอยู่แล้วก็ไม่ใช่ปัญหาเลย แถมมีแค่กล้องเดียว ดูแลง่ายกว่าซะด้วยซ้ำ แต่จุดเด่นที่ชัดมากก็คือเรื่องแบตเตอรี่ที่ใช้ได้นานกว่า iPhone หลาย ๆ รุ่น ถ้าใช้สแตนด์บายเพื่อรอหยิบมาใช้งาน รับรองว่าอยู่ได้ 2 วันแบบสบาย ๆ หรืออาจจะนานกว่านั้นก็ยังไหว ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน
2) ซื้อมาให้เด็ก ๆ หรือผู้สูงอายุใช้งาน
หากครอบครัวเป็นสายที่ใช้ iPhone หรือมีอุปกรณ์ของ Apple หลายชิ้นอยู่แล้ว การเลือกซื้อ iPhone ให้กับบุตรหลานหรือผู้สูงอายุในครอบครัวก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี ด้วยความสะดวกในการเชื่อมต่อ การแชร์บริการต่าง ๆ ในครอบครัวที่จะทำได้ง่ายกว่า ซึ่งตัวอย่างของบริการและระบบที่สามารถใช้งานในครอบครัวได้ เช่น
- ระบบ Find My สำหรับค้นหาตำแหน่งจาก iPhone และอุปกรณ์ที่รองรับ เช่น AirPods, Air Tag และ iPad
- ระบบการแชร์คอนเทนต์ที่ซื้อไว้ เช่น เพลง ภาพยนตร์ เกม
- ระบบช่วยควบคุมและจัดการเวลาการใช้งานแอปต่าง ๆ เช่น การกำหนดระยะเวลาการเล่นเกมให้กับเด็ก ๆ
- สามารถควบคุมการจ่ายเงินเพื่อซื้อ in-app purchase ได้
ซึ่งถึงแม้ว่าหลาย ๆ อันจะมีแอปอื่นที่ทำงานทดแทนกันได้บ้างก็จริง แต่การใช้ระบบที่มีอยู่แล้วในเครื่อง ก็จะสามารถควบคุมได้ลึกและเริ่มใช้งานได้ง่ายกว่าด้วย สำหรับการซื้อ iPhone ให้เด็ก ๆ ใช้งาน ตัวของ iPhone 16e ก็เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้หลาย ๆ ด้าน อย่างสเปคก็สามารถใช้เล่นเกมได้แน่นอน หน้าจอขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่เกินไปสำหรับมือและกำลังแขนของเด็ก แบตเตอรี่ที่อยู่ได้นาน รองรับการเชื่อมต่อได้หลากหลาย และใช้การชาร์จผ่านสาย USB-C ที่สามารถหาหยิบยืมได้ง่าย อีกทางหนึ่งก็คือจากการที่ iPhone 16e รองรับ Apple Intelligence ด้วย ทำให้ตัวเครื่องมีลูกเล่นหลายอย่างที่มากกว่า iPhone 15 ลงมา เช่นมี Image Playground ให้เด็ก ๆ ลองสร้างภาพเล่นจากการใส่ prompt ในแบบที่สามารถจิ้มเลือกได้ง่าย รวมถึงอาจจะมีฟังก์ชันอื่น ๆ เพิ่มมาให้ในอนาคตอีกด้วย
ส่วนถ้าเป็นการซื้อให้ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุในบ้าน แน่นอนว่าก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน แต่จะมีข้อสังเกตเรื่องขนาดหน้าจอนิดนึง เพราะโดยส่วนมากแล้วขนาด 6.1″ จะค่อนข้างเล็กไปนิดนึงสำหรับสายตาของผู้สูงอายุ แม้จะปรับขนาดตัวอักษรให้มีขนาดใหญ่สุดแล้วก็ตาม สำหรับกรณีนี้อาจจะทดลองดูก่อนว่าสามารถใช้งานได้หรือไม่ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็อาจจะต้องขยับไปเป็นรุ่นหน้าจอใหญ่กว่า เช่น iPhone 15 Plus เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม iPhone 16e จะมีการตัดระบบหนึ่งไปที่อาจส่งผลกับการนำไปให้เด็ก ๆ หรือผู้สูงอายุใช้งาน นั่นคือการตัดชิป Ultra-Wide Band 2 (UWB 2) ที่ใช้ช่วยเสริมในการหาตำแหน่งในระยะใกล้ไป ทำให้ถ้าหากใช้แอป Find My ในการค้นหา ก็จะเป็นการชี้ตำแหน่งในแผนที่โดยอาศัยข้อมูลของการเชื่อมต่อ cellular และข้อมูล GPS ของเครื่องเป็นหลัก ซึ่งจะได้เป็นตำแหน่งแบบคร่าว ๆ ทำให้เวลาในการค้นหาก็จะยากขึ้นกว่าการใช้ UWB ของทั้งสองเครื่องเชื่อมต่อกัน ที่จะสามารถหาทิศทางและระยะได้อย่างแม่นยำกว่า โดยตามปกติ UWB จะสามารถทำงานได้ในระยะห่างกันประมาณ 30-100 เมตร ขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของชิปและสิ่งกีดขวางสัญญาณ (รีวิว Air Tag)
ทำให้ถ้าหากต้องการค้นหาตำแหน่ง iPhone 16e ผู้ค้นหาก็จะทราบเพียงตำแหน่งคร่าว ๆ ว่าอยู่ในบริเวณนี้ แล้วพอค้นหาอย่างละเอียดก็จะต้องอาศัยการสังเกตด้วยสายตามากหน่อย ผิดกับถ้ามี UWB ระบบก็จะชี้ทิศทางและบอกระยะห่างให้เลย ตรงนี้ถ้าหากมองว่าฟังก์ชันในการค้นหาตำแหน่งผ่าน Find My เป็นเรื่องสำคัญ ก็อาจจะใช้เป็นการซื้อ iPhone 16e + Air Tag ซักอัน เวลาใช้งานก็พกสองชิ้นนี้ติดตัวไปพร้อมกัน โดยอาจจะใช้ Air Tag มาทำเป็นพวงกุญแจ แบบนี้ก็แน่นอนว่าราคารวมถูกกว่าไปซื้อ iPhone รุ่นอื่น รวมถึงยังมั่นใจด้วยว่า Air Tag จะสามารถชี้ตำแหน่งได้ เพราะมี iPhone อีกเครื่องอยู่ข้าง ๆ ตลอดอยู่แล้ว
3) กลุ่มนักพัฒนาแอป / developer / ผู้ที่ต้องใช้ iPhone ทดสอบระบบ
มาถึงกลุ่มสุดท้ายที่น่าจะได้ประโยชน์และความคุ้มค่าจากการซื้อ iPhone 16e มาใช้งาน นั่นก็คือกลุ่มของนักพัฒนาแอปที่แทบจะจำเป็นต้องมี iPhone มาใช้สำหรับทดสอบแอปที่พัฒนาขึ้นมาอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถการันตีได้ว่าแอปพลิเคชันของตนเองจะสามารถทำงานบน iPhone ทุกเครื่องได้อย่างราบรื่น หรือสามารถทดสอบเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่ลูกค้าพบระหว่างการใช้งานได้
อีกกลุ่มที่น่าจะคุ้มก็คือผู้ที่ต้องการทดสอบระบบต่าง ๆ ว่าสามารถทำงานบน iOS ได้ดีหรือไม่ ซึ่งถ้ามีต้องใช้งานในลักษณะนี้บ่อย ๆ การซื้อ iPhone ไว้ซักเครื่องก็น่าจะช่วยเพิ่มความสะดวกได้เป็นอย่างดี ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้ iPhone 16e ตอบโจทย์ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของสเปคที่สดใหม่ แบตอึด มีแรมมาให้ 8GB ซึ่งอยู่ในระดับมาตรฐานของสมาร์ตโฟนที่น่าใช้งานในปัจจุบัน รวมถึงยังรองรับการใช้งาน AI อย่าง Apple Intelligence ด้วย ทำให้น่าจะสามารถใช้ในการทดสอบระบบพื้นฐานได้อย่างครบถ้วน หรือถ้าในอนาคตมีการพัฒนาระบบหรือแอปพลิเคชันให้ทำงานร่วมกับ Apple Intelligence ก็ยังสามารถใช้ 16e ในการทดสอบได้โดยอาจไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องใหม่เลย
ทั้งสามข้อนี้ก็น่าจะเป็นกลุ่มที่น่าจะลงตัวกับ iPhone 16e และน่าจะใช้ได้คุ้มค่า ด้วยราคาค่าตัวที่เปิดมาก็ยังมีส่วนต่างจากรุ่นหลักอยู่หลายพัน แต่ได้เครื่องที่มีสเปคสดใหม่ แบตอึดกว่า iPhone หลาย ๆ รุ่น รองรับการอัปเดตได้อีกหลายปี รูปร่างหน้าตาก็ยังดูไม่เก่ามากนัก จะหาอุปกรณ์เสริมก็ทำได้ง่าย ส่วนฟังก์ชันที่ถูกตัดออกไป เช่น MagSafe, UWB, เลนส์อัลตร้าไวด์ ต่างก็ล้วนเป็นสิ่งที่ค่อนข้างออกไปในทางเสริมประสบการณ์การใช้งาน เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้ ไม่ได้ถึงกับเป็นฟังก์ชันหลักที่จะทำให้ใช้งานลำบากในกรณีที่ขาดหายไป จะมีก็แต่ประเด็นของหน้าจอ 60Hz ที่แม้จะดูด้อยกว่ามือถือ Android ก็ตาม แต่หากเทียบในมาตรฐานของ iPhone แล้ว ก็ต้องบอกว่ามันอยู่ในระดับเดียวกันกับ iPhone 16 อยู่ดี เพราะจะมีเพียงแค่รุ่น Pro เท่านั้นที่ได้จอ 120Hz
ซึ่งถ้าเป้าหมายของการซื้อ iPhone คือต้องการเน้นราคาย่อมเยาแต่ตอบโจทย์การใช้งานพื้นฐาน ตอบโจทย์ในข้างต้นได้ รุ่นที่จะเข้ามาอยู่ในตัวเลือกก็คงหนีไม่พ้นกลุ่มรุ่นที่ใช้จอ 60Hz เหมือนกันทั้งหมด ทำให้ประเด็นเรื่องหน้าจออาจจะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการเลือกซักเท่าไหร่