ปัญหาที่กวนใจใครหลายคน มาตั้งแต่เนิ่นนาน สำหรับคนที่ใช้งานมือถือทั่วไป ที่มักจะต้องเจอกับปัญหาชาร์จแบตช้า หรือปัญหาชาร์จแบตไม่เข้ากันบ้างแหละ เนื่องจากการใช้งานมือถือ ที่จำเป็นต้องชาร์จแบตอยู่บ่อยๆ แบตเตอรี่ จึงทำให้เป็นสิ่งแรกๆ ที่มักจะเสียก่อนตลอด รวมไปถึงการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่จำเป็นต้องใช้งานอยู่เรื่อยๆ แบตเตอรี่จึงเป็นปัจจัยหลักในการใช้งานสมาณืทโฟน สำหรับทกรุ่น และทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็น Android หรือ iPhone ก็ต้องเคยเจอกับปัญหาเหล่านี้กันทั้งนั้น
โทรศัพท์มือถือ กับแบตเตอรี่ เป็นสิ่งที่ต้องใช้งานร่วมกัน และเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับการใช้เป็นพลังงานให้มือถือ เพื่อให้มือถือนั้น ใช้งานได้อย่างปกติ ต่อให้มือถือจะสเปคแรงจัดขนาดไหนก็ตามที แต่ถ้าหากไม่มีแบตเตอรี่ หรือแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม ก็ใช้งานไม่ได้ และไม่มีประสิทธิภาพในการใช้งาน และเพราะว่าจำเป็นต้องใช้งานอยู่ตลอดเวลานี่เอง ที่ทำให้แบตเตอรี่ กับการชาร์จแบต มักจะต้องเกิดปัญหาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกิดจากตัวแบตเอง หรือจากอุปกรณ์ภายนอก หรือแม้แต่ Software ของตัวเครื่อง และแอปฯ ต่างๆ ก็เป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ชาร์จแบตเตอรี่ไม่เข้า หรือชาร์จแบตช้าได้เหมือนกัน วันนี้ทาง Specphone เลยจะมาแนะนำวิธีแก้ไขเบื้องต้น และสาเหตุหลักๆ ที่มักจะทำให้ชาร์จแบตไม่เข้ามาฝากกัน ไปดูกันเลยว่าเกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง
10 สาเหตุที่ชาร์จแบตไม่เข้า และวิธีแก้มือถือชาร์จแบตไม่เข้าเบื้องต้น
- 1. สายชาร์จเสีย/ สายปลอม
- 2. อแดปเตอร์เสีย/ ของปลอม
- 3. ช่องเสียบ USB เสีย/ หัก
- 4. ช่องเสียบ USB ชื้น/ สกปรก
- 5. แบตเตอรี่เสื่อม
- 6. เล่นเกม/ ใช้งานหนักขณะขาร์จแบต
- 7. เปิด Background แอปฯ เยอะเกินไป
- 8. กำลังไฟ ไม่เพียงพอ
- 9. ระบบปฏิบัติการณ์ ที่ใหม่เกินไป
- 10. มือถือเก่า/ วงจรเสีย
10 สาเหตุที่ทำให้ชาร์จแบตไม่เข้า เกิดจากอะไรได้บ้าง? และจะแก้ไขอย่างไรดี?
ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่ จะเป็นสิ่งที่เสียได้ง่าย และมักจะเสื่อมคุณภาพเป็นอันดับต้นๆ ในการใช้งานสมาร์ทโฟนทุกรุ่น แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถป้องกัน ก่อนที่จะเกินปัญหาเหล่านี้ขึ้นได้ และพอจะแก้ไขได้อยู่บ้าง หากแบตเตอรี่นั้นเริ่มเสื่อม รวมไปถึงในกรณีที่แบตพัง หรือชาร์จไม่ได้นั้น ก็จะมีสาเหตุหลักๆ และวิธีแก้ไขเบื้องต้นได้ดังนี้
1. สายชาร์จเสีย/ สายปลอม
มาเริ่มกันที่สาเหตุแรก และเป็นสาเหตุที่พบเจอได้บ่อยสุดๆ ของปัญหาการชาร์จแบตไม่เข้าแล้ว เนื่องจากสายในสมัยนี้จะห่อหุ้มมาเป็นสายนิ่มๆ เพื่อให้สะดวกต่อการพกพา และการใช้งานที่ยืดหยุ่นได้ และเนื่องจากเป็นสายที่นิ่มๆ นี่เองจึงทำให้สายบริเวณส่วนข้อต่อ จากหัว และสายมักจะขาดก่อนเสมอ เพราะต้องหมุนไปตามการใช้งานขณะชาร์จแบตด้วย อีกอย่างที่ทำให้ชาร์จไม่ได้ ก็คือสายเชื่อมต่อภายในขาด อันนี้ก็เกิดขึ้นได้บ่อย และมองออกยากมาก ถ้าหากสายขาดจากข้างใน ก็จะทำให้ชาร์จไม่เข้าได้ด้วย รวมไปถึงสายที่เป็นของปลอม ที่คิดว่าเป็นสายเหมือนๆ กัน ความจริงแล้วแม้แต่สายที่ให้กำลังไฟในการชาร์จ ของแท้กับของปลอมก็ไม่เหมือนกัน สายปลอมนั้นนอกจะทำให้ชาร์จได้ช้า และไม่เข้าได้แล้ว ยังทำให้แบตเตอรี่ของมือถือเสื่อมได้อีกด้วย รวมไปถึงการชาร์จแบบไร้สาย ที่เป็นของปลอม ก็อาจทำให้การเชื่อมต่อนั้นช้าลง และไม่สามารถชาร์จแบตได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เหมือนกัน
วิธีแก้ไขเบื้องต้น คือ ถ้าข้อต่อของสาย ที่เริ่มเสื่อมสภาพ หรือดูอาการแล้วน่าเป็นห่วง ก็ให้หาเทปมาพันเอาไว้ก่อน หรือจะใช้เป็นท่อหดก็ช่วยได้เยอะเลย (ท่อที่สามารถหดได้ หาได้ตามร้านมือถือตู้ทั่วไป) ก่อนที่มันจะขาดไปซะก่อน ถ้าขาดไปแล้วก็เปลี่ยนนะ อย่าฝืน แต่ถ้าสายขาดจากข้างใน อันนี้ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว ให้ซื้อใหม่ไปเลย และควรซื้อของแท้เท่านั้นด้วย ไม่ควรใช้ของปลอม ที่นอกจากจะทำให้ชาร์จแบตได้ช้า ไม่เข้าแล้ว ยังทำให้คุณภาพแบตเตอรี่เสื่อมลงได้อีก ส่วนการป้องกันก็คือพยายามอย่าเล่น หรือหมุนโทรศัพท์ไปมา ขณะที่ชาร์จแบตอยู่ เพราะอาจทำให้ข้อต่อสายเสื่อม การม้วนเก็บดีดีก็ช่วยได้นะ พยายามอย่าหักสาย หรือกดทับเป็นเวลานาน เพราะอาจะทำให้สายข้างในขาดได้
2. อแดปเตอร์เสีย/ ของปลอม
นอกจากสายชาร์จจะเสียได้อยู่บ่อยๆ แล้ว อแดปเตอร์ก็เป็นอีกหนึ่งอย่าง ที่เป็นสาเหตุให้ชาร์จแบตไม่เข้า หรือชาร์จแบตช้า ยิ่งในตอนนี้หลายๆ ยี่ห้อมีการแข่งขันทางด้าน Fast Charing (ชาร์จไว) กันมากขึ้นด้วย ตัวอแดปเตอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ในการจ่ายไฟไปยังแบตเตอรี่ หรือในอีกกรณีก็คือ ระบบวงจรภายใน ของอแดปเตอร์เสีย เนื่องจากการใช้งานที่ยาวนาน และไม่ค่อยถนอมการใช้เท่าไหร่ รวมไปถึงอแดปเตอร์ของปลอมด้วย ที่นอกจากจะให้กำลังไฟน้อยแล้ว ยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการระเบิด หรือไหม้ได้ด้วย (ในกรณีที่จ่ายไฟไม่คงที่ แล้วลัดวงจรภายในตัวเอง)
วิธีแก้ไขเบื้องต้น ลองสลับสายชาร์จดูก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าตัวอแดปเตอร์พัง หรือว่าเป็นที่สายกันแน่ เพราะบางครั้ง ก็มีสาเหตุจากสายอย่างเดียว แต่ถ้าสลับดูแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็แสดงว่าอแดปเตอร์กลับบ้านเก่าไปแล้ว ให้ซื้อใหม่อย่างเดียวเท่านั้น และต้องเป็นของแท้ด้วย อย่าเสี่ยงไปใช้ของปลอมเป็นระยะเวลานาน เพราะนอกจากจะทำให้เกิดการไหม้ได้แล้ว ก็ยังทำให้แบตเตอรี่เสื่อมลงได้ด้วย เนื่องจากการส่งกระแสไฟที่ไม่เท่ากัน (ของแท้หมายถึงระบบการจ่ายไฟ ที่ได้มาตรฐานนะ)
3. ช่องเสียบ USB เสีย/ หัก
นอกจากสายจะเสียได้แล้ว ช่องเสียบ USB ไม่ว่าจะเป็นสาย Micro ปกติ สาย Lightning ของ iPhone หรือจะเป็น USB-C ก็ตาม มีสิทธิเสียได้เหมือนกัน เนื่องจากจะต้องมีการเสียบเข้า – ออก อยู่เสมอ บางคนเล่นดึงออกมาไม่ยั้ง หรือเสียบๆ สายอยู่ก็นั่งทับ จนหัวชาร์จงอ หรือตัวชาร์จจากตัวเครื่องหักไปเลยก็มี ซึ่งส่วนใหญ่จะเสียมากกว่าหัก เพราะต้องเสียดสีไปมา กับช่องรับบนตัวเครื่อง และจากสาย จึงทำให้ช่องเสียบ USB เสื่อมสภาพลงนั่นเอง
วิธีแก้เบื้องต้น ถ้าหากลองขยับไปมาแล้ว ยังชาร์จได้อยู่บ้าง ก็แนะนำให้หามุมที่ไฟมันสามารถเข้าไปได้ แต่ไม่แนะนำให้ทำบ่อยๆ เพราะยิ่งจะทำให้แบตเสื่อมสภาพไว และสาย กับอแดปเตอร์ ก็จะเสื่อมตามไปด้วย ทางที่ดี ถ้าหากรู้ว่าเป็นที่ช่องเสียบ USB เสียแล้ว ก็ส่งเคลมประกัน ส่งศูนย์ หรือเปลี่ยนร้านข้างนอกไปเลยก็ได้ ดีกว่ามานั่งจับๆ หามุมชาร์จให้ของเสื่อมเปล่าๆ
4. ช่องเสียบ USB ชื้น/ สกปรก
ถึงแม้ว่ามือถือในปัจจุบันจะสามารถกันน้ำได้ดีอยู่ในระดับนึงแล้ว แต่ความชื้นและสิ่งสกปรก ที่จะเข้าไปอยู่ในช่อง USB นั้น ยังคงเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะแค่เพียงน้ำหยดเล็กๆ หรือละอองน้ำที่เข้าไปในช่อง USB ก็ทำให้เกิดความชื้น ไปจนถึงลัดวงจรภายในได้เลย ในกรณีที่มีความชื้น เวลาชาร์จจะมีรูปหยดน้ำขึ้นมา เป็นการเตือนอยู่ด้วย และยังรวมไปถึงเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขนม เศษฝุ่น ดิน อะไรก็ตามที่เข้าไปติดอยู่ข้างใน แล้วไม่ทันได้ระวัง ก็ไปเสียบหัวชาร์จเข้าไปอีก ก็ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าเดิม ส่งผลให้ชาร์จไม่เข้า และถ้ายิ่งปล่อยไว้นานๆ ก็อาจจะทำให้ช่องเสียบ USB พังไปเลย
วิธีแก้ไขเบื้องต้น ถ้าหากมือถือขึ้นเตือนเป็นรูปหยดน้ำ ให้ลองพักเครื่องให้แห้งก่อน แต่ห้ามใช้ไดร์เป่าผมเป่านะ จะยิ่งทำให้ตัวเครื่องเกิดความเสียหายได้ ให้ตั้งไว้โดยให้ส่วนลำโพง หรือช่อง USB อยู่ข้างล่าง และเป่าด้วยลมเย็นจนกว่าจะแห้ง และชาร์จได้อย่างปกติ แต่ถ้าแห้งแล้วยังไม่ได้อีก ต้องส่งซ่อมเพื่อเปลี่ยนอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนถ้ามีเศษฝุ่น เศษผ้าที่เข้าไป ให้ลองเป่า หรือใช้เข็มค่อยๆ (ไม้จิ้มฟันก็ได้) เขี่ยออกก่อน แล้วจึงเสียบสายชาร์จเข้าไป เพียงเท่านี้ก็จะชาร์จได้ปกติเหมือนเดิมแล้ว หรือถ้ากลัวเศษเข้าไปอีก ก็ซื้อที่ปิดช่อง USB มาใส่เพื่อป้องกันเศษเข้าไปอีกก็ได้
5. แบตเตอรี่เสื่อม
ปัญหานี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนเลย สำหรับในกรณีที่แบตเสื่อม แน่นอนว่าถ้าหากใช้มือถือมานานแล้ว หรือใช้จนเครื่องร้อนบ่อยๆ ชาร์จแบบผิดวิธี ไปจนถึงการใช้สายปลอม แบตบวม อะไรก็ตามที่เสี่ยงต่อการทำให้แบตเตอรี่เสื่อม เมื่อแบตเสื่อมไปแล้ว ไม่ว่าจะชาร์จให้นานแค่ไหนมันก็ไม่เข้า หรือบางครั้ง ชาร์จจนเต็มไปแล้ว พอถอดออกมาสักพัก ก็ลดฮวบลงไปเหมือนไม่มีการชาร์จใดใดเกิดขึ้น ถึงแม้ว่ามือถือรุ่นใหม่ๆ จะสามารถดูประสิทธิภาพแบตได้แล้ว แต่ถ้าใช้แบบไม่ถนอม ก็อาจจะส่งผลเสียไปยังวงจรภายในได้ด้วย
วิธีแก้ไขเบื้องต้น ถ้าหากเป็นมือถือ Android รุ่นเก่าๆ ก็ยังจะพอถอดฝาหลังออกมาเพื่อเปลี่ยนเองได้เลย แต่ถ้าเป็น iPhone หรือมือถือรุ่นใหม่ๆ ก็คงต้องเข้าศูนย์ หรือไปเปลี่ยนร้านข้างนอกอย่างเดียว ไม่ควรใช้ต่อไป เพราะมีความเสี่ยงต่อการที่แบตจะระเบิด หรือทำให้แบตไหม้ได้ หากปล่อยไว้นานๆ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อหน้าจอ ที่จะโดนแบตบวมเบียดจนงอ หรือแผงวงจรที่ร้อนจนเสียตามกันไปได้อีก
6. เล่นเกม/ ใช้งานหนักขณะขาร์จแบต
ถึงแม้ว่าในตอนมือถือ ได้มีระบบรองรับการเล่นเกมไปด้วย หรือใช้งานไปด้วย และชาร์จไปด้วย โดยที่ไม่ทำให้แบตเสื่อมได้แล้ว (ในบางรุ่นนะ) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชาร์จไป เล่นไปด้วยแล้วแบตจะชาร์จได้ตามปกติ เพราะถ้ายิ่งใช้งานแอปฯ ที่กินแบตหนักๆ ไปด้วยขณะที่ชาร์จแบตไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้ชาร์จได้ช้าลง จนสังเกตได้ว่าเหมือนมันชาร์จไม่เข้าเลย และที่สำคัญคือ จะยิ่งทำให้มือถือทำงานหนัก และเครื่องร้อนมากขึ้นด้วย ส่งผลให้วงจรยิ่งเสื่อมตามไปอีก
วิธีแก้ไขเบื้องต้น ก็คือหยุดเล่นเกม หรือใช้งานแอปฯ ที่กินแบตหนักๆ ไปก่อน หรือจะให้ดีก็ชาร์จไว้เฉยๆ จะดีที่สุด เพื่อให้การชาร์จแบตมีประสิทธิภาพมากที่สุด ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน มือถือต่างๆ ได้พัฒนาไปถึงขั้นที่มีชิปเซ็ต เข้ามาช่วยให้กินแบตได้น้อยลง หรือว่าชาร์จไปพร้อมกับการเล่นแอปฯ ไปด้วยได้ก็ตาม แต่การใช้งานขณะชาร์จแบต จะยิ่งทำให้ตัวเครื่องร้อน และส่งไปผลยังส่วนประกอบอื่นๆ ภายในเครื่องอย่าง Hardware ที่อาจไหม้ได้เช่นกัน ทางที่ดีก็ควรพักเครื่องขณะชาร์จไว้บ้าง เพื่อจะได้เป็นการถนอมแบต และลดการเล่นของตัวเองลงไปด้วย
7. เปิด Background แอปฯ เยอะเกินไป
Background แอปฯ ก็คือแอปฯ ที่มีการเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะปิดไปแล้วมันก็ยังคงรันอยู่ เช่น Line, Facebook ที่ต้องคอยเตือน และอัพเดทข้อมูลอยู่เสมอ ไม่ว่าจะใช้งานปกติ หรือขณะชาร์จแบต ยิ่งใน iPhone ที่มี Background App Refresh ถ้าเปิดใช้งาน Background แอปฯ ก็ยิ่งกินแบตไปอีก ซึ่งพวก Background แอปฯ เหล่านี้นี่เอง ที่เป็นตัวกินแบตให้ลดลงเรื่อยๆ นอกจากจะทำให้ปริมาณแบต ที่จะลบฮวบฮาบอย่างน่าตกใจแล้ว ยังทำให้มือถือ ที่กำลังชาร์จแบตอยู่นั้น ชาร์จได้ช้ากว่าปกติด้วย เนื่องจากการทำงาน ที่ต้องใช้ปริมาณแบตสูง จึงทำให้ส่งผลกระทบในวงกว้างมากกว่าตรงๆ ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ทำให้เห็นว่าชาร์จได้ช้าลง แต่มันก็จะทำให้แบตค่อยๆ เสื่อมได้
วิธีแก้ไขเบื้องต้น ให้ปิดแอปฯ บางตัวลงไปบ้าง โดยเฉพาะแอปฯ ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่มีการเด้งเตือนเรามาอยู่เสมอ หรือจะใช้แอปฯ ที่ช่วยล้างข้อมูล และช่วยจัดการข้อมูลภายในตัวเครื่อง ก็ทำได้เหมือนกัน ส่วนใน iPhone ให้เข้าไปที่ Setting > General > Background App Refresh เพื่อปิด ส่วน Android ในตอนนี้ ก็มีทั้งเครื่องรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถล้างข้อมูลขยะไปได้บ้างแล้ว แต่จะใช้แอปฯ มาช่วยอีกทางก็ได้ เพื่อทำให้มือถือใช้งานได้ดีขึ้น และชาร์จแบตได้ไวขึ้นด้วย
8. กำลังไฟ ไม่เพียงพอ
กำลังไฟในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแบบเดียวกับตัวอแดปเตอร์ ที่เสียแล้วส่งกำลังไฟมาไม่พอนะ แต่หมายถึงไฟ จากปลั๊กไฟโดยตรง ที่เชื่อมต่อกับสาย USB เข้ามาชาร์จที่เครื่อง ซึ่งการชาร์จผ่านปลั๊กแบบต่างๆ ก็จะได้ปริมาณไฟ ที่เข้ามายังตัวเครื่อง ที่ไม่เท่ากันด้วย เช่น ชาร์จผ่าน PC/ Notebook ที่อาจจะชาร์จแบตไม่เข้า หรือชาร์จในรถ ที่กำลังไฟส่งมาไม่พอ ซึ่งในกรณีแบบนี้ แบตจะขึ้นช้ามากๆ ช้าจนบางที ไม่คิดว่ามันชาร์จเข้าด้วยซ้ำ แถมในบางตัวนั้น ยังส่งผลไปยังระบบกระแสไฟบนรถได้ด้วย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แบตรถนั้นเสื่อมได้อีกด้วย หรือการเสียบปลั๊ก ผ่านตัวพ่วงหลายๆ ตัว ก็มีส่วนทำให้ชาร์จแบตช้าได้เหมือนกัน รวมไปถึงการชาร์จผ่าน Wireless Charge ที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจทำให้ชาร์จไม่เข้าได้ นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่ต้องระวังเลย
วิธีแก้ไขเบื้องต้น ให้เปลี่ยนตำแหน่งการชาร์จแบต ซึ่งการชาร์จที่ดีที่สุด และได้ปริมาณไฟเข้ามาถึงตัวเครื่องมากที่สุด ก็คือ การชาร์จผ่านปลั๊กไฟที่ติดกับผนัง เพราะจะส่งกระแสไฟมาตรงๆ เลย ทำให้แบตนั้นจะได้รับปริมาณกระแสไฟที่คงที่ และส่งกระแสไฟมายังแบตได้อย่างสม่ำเสมอ ดีกว่าการชาร์จผ่านตัวโน๊ตบุ๊ค หรือว่าชาร์จบนรถ ส่วนถ้าจำเป็นต้องชาร์จผ่าน Notebook หรือบนรถ ก็ทำได้เหมือนกัน แต่อาจจะเปิดโหมดเครื่องบิน หรือปล่อยให้ชาร์จไว้เฉยๆ จะดีกว่า
9. ระบบปฏิบัติการ ที่ใหม่เกินไป
หลายคนอาจคิดว่าการอัพเดทระบบ (OS) ของเครื่องแล้ว ทุกอย่างจะต้องเร็วไปหมด ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป เนื่องจากบางครั้งการอัพเดทระบบใหม่นั้น ยังไม่เหมาะกับมือถือ รุ่นที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน อันนี้มักจะเกิดจากมือถือที่ค่อนข้างเก่า และความจำไม่เยอะมาก เมื่ออัพเดทระบบที่ต้องใช้พื้นที่เยอะ จึงทำให้ไม่สามารถรองรับ การใช้งานได้อย่างเต็มที่ และส่งผลให้ชาร์จแบตได้ช้า กินแบตในปริมาณมากกว่าเดิม
วิธีแก้ไขเบื้องต้น ให้สำรวจข้อมูลระบบก่อน และดูข้อมูลร่วมกับมือถือตัวเอง ก่อนการอัพเดททุกครั้ง ถ้ารู้สึกว่าระบบมันใหญ่ไป สำหรับรุ่นที่ใช้อยู่ หมายถึงรุ่นเก่ามากๆ และอยากจะอัพเดทให้เป็นระบบเวอร์ชันใหม่ๆ ก็ไม่ต้องไปอัพเดทให้เครื่องช้าเปล่าๆ หรือถ้าอัพเดทไปแล้ว ก็ให้ลอง Reset Setting หรือ Factory Reset ไปจนถึงการล้างแคชของแบตก่อน เพื่อให้เครื่องไม่หนักเกินไป หรือถ้ายังไม่หายอีก ก็ให้ทำการ Downgrade เวอร์ชันลงมา ให้ระบบเสถียร และเข้ากับรุ่นที่ใช้งานอยู่จะดีที่สุด (อ่านต่อ..วิธีแก้ปัญหา หลังอัพเดตเวอร์ชันใหม่)
10. มือถือเก่า/ วงจรเสีย
มือถือเก่าที่ใกล้หมดอายุการใช้งานแล้ว ประสิทธิภาพการทำงาน ก็ต้องลดลงไปด้วย ตั้งแต่การอัพเดทระบบ ที่ไม่ค่อยมีออกมาให้อัพเดทเท่าไหร่นัก และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครื่องก็ทำงานช้าลง ทุกอย่างเริ่มช้าหมด การชาร์จแบตก็ต้องช้าลงไปด้วย จนไปถึงที่บางเครื่องชาร์จแบตไม่เข้า เพราะเก่าจนระบบวงจรข้างใน เริ่มเสียหายแล้วก็ได้ แต่จริงๆ แล้ววงจรก็ไม่ได้เสียเพราะเครื่องเก่าอย่างเดียวนะ ถ้ามือถือที่ตกน้ำนานๆ หรือมีน้ำเข้าไปโดนแผงวงจรที่เรียกว่า วงจรแบตเตอรี่เข้าแล้วล่ะก็ ยังไงก็ชาร์จไม่ติด ส่วนอีกสาเหตุก็คือการชาร์จแบตไป เล่นเกมหนักๆ ไปด้วย ก็ทำให้แผงวงจรไหม้ได้เช่นกัน
วิธีแก้ไขเบื้องต้น ถ้าเป็นมือถือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ แล้ววงจรเสียเพราะน้ำเข้า จะเคลมประกันไม่ได้นะ ต้องเอาเข้าร้านซ่อม ที่มีมาตรฐานเพื่อทำการ แก้ไขวงจรหรือเปลี่ยน เมนบอร์ดไปเลยก็ได้ แต่ถ้าเป็นมือถือรุ่นที่เก่า และแผงวงจรเสื่อม ใช้งานได้ไม่เต็มที่แล้ว ก็ลองพิจารณาดูว่าจะใช้ต่อไปไหม หรือซื้อใหม่ใช้ในระยะยาวคุ้มกว่ากัน แต่แนะนำว่าให้ซื้อใหม่ในรุ่นที่พอใช้งานได้ แถมรุ่นใหม่ๆ ในตอนนี้มีการรองรับ Fast Charging เพิ่มมากขึ้นแล้วด้วย
สรุป
สาเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นนั้น ก็มักจะเป็นตัวอุปกรณ์เองด้วย ซึ่งถ้ามันหมดอายุการใช้งานแล้ว ก็อย่าไปฝืนใช้ ให้เป็นอันตรายเลย ยิ่งในกรณีของแบตเสื่อม ยิ่งต้องรีบเปลี่ยน ก่อนที่อุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะพังตามไปด้วย แต่ถึงอย่างไร คนที่ใช้งานอย่างเรานี้ ก็ต้องคอยดูแลรักษา และใช้งานอย่างถูกต้องด้วย เพื่อเป็นการถนอมแบต ให้อยู่ใช้งานได้นานๆ รวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ที่เป็นของแท้ และชาร์จแบตให้ถูกวิธี ยิ่งช่วยยืดอายุแบตได้ดีเลย แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่เราสามารถเช็ค และลองแก้ไขได้เองในบางเรื่อง ถ้าเกินความสามารถตัวเองก็ให้ร้านเปลี่ยน หรือซ่อมให้จะดีที่สุด แล้วถ้ามีเรื่องอะไร น่าสนใจ และให้ความรู้ได้อีก เราก็จะนำมาฝากกันอีกเรื่อยๆ เลยนะครับ