
แนะนำ 10 หูฟัง Type C ปี 2025 ยี่ห้อไหนดี ให้เสียงคมชัดสำหรับ iPhone และ Android ในราคาประหยัด
ถึงแม้ว่าสมัยนี้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในหลายๆ รุ่นตัดช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มม. ออกไป และใช้พอร์ต USB-C กันแทบทั้งหมด หูฟังแบบ Type C ก็ได้กลายมาเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว ด้วยการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB-C ที่ให้คุณภาพเสียงคมชัดและเสถียรกว่าแบบเดิม ไม่ว่าจะใช้งานกับ iPhone หรือมือถือ Android ก็สามารถเข้ากันได้ดี อีกทั้งยังมีตัวเลือกมากมายในราคาที่จับต้องได้ หากใครที่กำลังมองหาหูฟัง Type C ที่เหมาะสมกับการใช้งานในปี 2025 วันนี้ทาง Specphone ก็ได้รวบรวม 10 รุ่นที่น่าสนใจ พร้อมจุดเด่นและคำแนะนำในการเลือกซื้อ เพื่อให้สามารถตัดสินใจซื้อหูฟังรุ่นต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
หูฟังแบบ Type C แตกต่างจากหูฟัง Bluetooth ยังไง?
หูฟังแบบ Type C และหูฟัง Bluetooth เป็นสองตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่ทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันในด้านการเชื่อมต่อ คุณภาพเสียง และการใช้งาน ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้ที่มีความต้องการต่างกัน โดยรายละเอียดของความแตกต่าง รวมถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละแบบก็มีไม่เหมือนกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อ หรืออื่นๆ ที่ต่างกันคือ
- หูฟัง Type-C: ใช้การเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB-C ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเสียงแบบดิจิทัลโดยตรง ทำให้คุณภาพเสียงคมชัด และลดการสูญเสียข้อมูลเสียงระหว่างที่ใช้งาน ต้องเสียบสายเข้ากับอุปกรณ์ ซึ่งจะมีสายที่ยาวทำให้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว ที่สำคัญคือไม่สามารถใช้งานพร้อมกับการชาร์จแบตมือถือไปด้วยได้ แต่ไม่ต้องกลัวแบตหูฟังจะหมด
- หูฟัง Bluetooth: ใช้การเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่านเทคโนโลยี Bluetooth ซึ่งสะดวกสบายกว่า แต่คุณภาพเสียงอาจลดลงเล็กน้อยเนื่องจากการบีบอัดข้อมูล ตัวหูฟังไม่มีสาย สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ อย่างการออกกำลังกาย สามารถชาร์จมือถือไปใช้หูฟังไปด้วยได้ แต่ก็ต้องระวังเรื่องแบตหูฟังหมดอยู่ดี
แนะนำ 10 หูฟัง Type C ปี 2025 ยี่ห้อไหนดี

1. Xiaomi Type-C Earphones: ราคา 154 บาท
เริ่มกันด้วยหูฟัง Type C จาก Xiaomi ที่มีราคาเบาๆ รุ่นนี้มาพร้อมไดรเวอร์ขนาด 12.4 มม. ที่ให้เสียงคมชัดและรายละเอียดครบถ้วน รองรับการเชื่อมต่อแบบ Plug and Play ผ่านพอร์ต USB-C โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์เพิ่มเติม ตัวหูฟังเป็นแบบ In-ear ใส่สบายแม้ใช้งานนาน มีสายเป็นตัว TPE มีไมโครโฟน HD พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนได้ เพื่อการสนทนาที่ชัดเจน อีกทั้งยังกันน้ำได้ที่ IP54 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพเสียงระดับสูงในราคาที่ไม่แรงมาก สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

2. JBL TUNE 310C: ราคา 990 บาท
หูฟัง Type C จาก JBL ที่เป็นรุ่นราคาสูงที่สุดที่เราจะมาแนะนำกันแล้ว โดยหูฟังตัวนี้เป็นแบบ In-ear น้ำหนักเบาใส่สบาย มีไดรเวอร์ขนาด 9 มม. พร้อมเทคโนโลยี JBL Pure Bass Sound ให้เสียงเบสหนักแน่นและรองรับ Hi-Res Audio สำหรับคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีสายแบนช่วยลดปัญหาสายพันกันได้ดี มีหลายสีให้เลือก และมีปุ่มควบคุม 3 ปุ่มในตัว ใช้งานง่ายทั้งปรับระดับเสียงและรับสายโทรศัพท์ได้เลย และปรับแต่ง EQ ด้วยปุ่มได้ด้วย เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปได้ดีเยี่ยม สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

3. ENYX รุ่น E1X และ E1X-R: ราคา 198 บาท
หูฟัง Type C ยี่ห้อต่อมาเป็นตัวที่ได้รับความนิยมมากๆ ในร้านค้าออนไลน์ ด้วยราคาที่ไม่สูงมาก แต่ว่ามีสเปคที่น่าใช้งาน ตัวหูฟังมีให้เลือก 2 แบบคือ In-ear และ Earbud ตามชื่อรุ่นในราคาที่เท่ากัน สายเป็นแบบ TPE กลมที่มีความยาว 1 เมตร มีคุณภาพเสียงทั้งเสียงเบสหนักแน่น เสียงกลางคมชัด และเสียงสูงมีรายละเอียดครบถ้วน รองรับการใช้งานครบทุกระบบและทุกยี่ห้อ ซึ่งหูฟังยี่ห้อนี้เป็นของไทยทำเองด้วย สั่งซื้อที่ Shopee

4. Hoco M101 Max: ราคา 50-80 บาท
หูฟัง Type C จาก Hoco ที่มีราคาไม่เกินร้อยก็ซื้อมาใช้งานได้แล้ว แถมยังใช้งานได้ดี ด้วยไดรเวอร์ขนาด 14 มม. ที่ให้เสียงเบสหนักแน่น เสียงกลางและสูงคมชัด ตัวหูฟังเป็นแบบ Earbud ที่ใส่ได้สบายหู วัสดุทำจาก ABS+TPE และสายยาว 1.2 เมตร รองรับการใช้งานกับทุกระบบทั้ง iOS/ Android นอกจากนี้หูฟังยังมีไมโครโฟนในตัวสำหรับคุยโทรศัพท์ พร้อมปุ่มควบคุมเสียงและเปลี่ยนเพลง หรือรับสายวาสายได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหูฟังราคาถูกแต่ได้ฟีเจอร์ใช้งานครบ สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

5. Baseus รุ่น C17: ราคา 199 บาท
มาต่อกันด้วยหูฟัง Type C จาก Baseus ที่มาพร้อมไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 14 มม. ให้เสียงครบถ้วนทุกย่านเสียง รองรับระบบ Lossless Sound Quality ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม ตัวหูฟังเป็นแบบ Earbud ใส่สบาย ไม่กดทับหูแม้ใช้งานนาน นอกจากนี้ยังมีปุ่มควบคุม 3 ปุ่มที่ใช้งานง่าย ทั้งการปรับระดับเสียง และรับสายโทรศัพท์ สายทำจากวัสดุ TPE ที่ทนทานความยาว 1.1 เมตร รองรับอุปกรณ์ Type C หลากหลายทุกระบบ เหมากับคนที่อยากได้หูฟังใส่สบายพร้อมคุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยม สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

6. Ugreen รุ่น EP106: ราคา 321 บาท
หูฟัง Type C จาก Ugreen ที่เป็นแบบ Semi-In-Ear ใส่สบายเข้ากับหู ตัวสายเป็น TPE คุณภาพสูงความยาว 1.2 เมตร ให้เสียงกระหึ่มด้วยไดรเวอร์ขนาด 14.2 มม. ซึ่งให้ออกมาคมชัดทุกเสียง ซึ่งมีตัวกันเสียงภายนอกทำให้สามารถดื่มด่ำกับเสียงเพลงได้อย่างเต็มที่ ตัวหูฟังมีไมโครโฟนในตัว พร้อมกับปุ่มควบคุม 3 ปุ่ม ควบคุมได้ง่ายทั้งการรับสาย เพิ่ม-ลดเสียง หรือว่าเปลี่ยนเพลงได้อย่างง่ายดาย สามารถใช้ได้กับทุกระบบทั้ง iOS และ Android สั่งซื้อที่ Shopee

7. Remax รุ่น RM-702a: ราคา 149 บาท
อีกหนึ่งหูฟัง Type C รุ่นนี้จาก Remax ที่เป็นหูฟังแบบ Earbud แบบมีสาย ให้ความสบายในการใส่แม้ใช้งานนาน สายเป็น TPE แบบกลมความยาวสาย 1.2 เมตร เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB-C ใช้งานได้ทุกระบบ มาพร้อมกับไดรเวอร์ขนาด 14.2 มม. ให้เสียงออกมาครบทุกแบบอย่างคมชัด นอกจากนี้ยังมีไมโครโฟนในตัวสำหรับพูดคุย และปุ่มควบคุมการเล่นเพลงและรับสายได้ด้วย เหมาะกับคนที่ต้องการหูฟังราคาประหยัดและคุณภาพเสียงดี สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

8. Commy รุ่น ST300/ ST301: ราคา 168-219 บาท
หูฟัง Type C ตัวยอดนิยมจาก Commy ที่มีให้เลือกสองรุ่นสองสไตล์ในราคาที่ไม่แพงมาก ทั้งแบบ Earbud และแบบ In-ear ตัวหูฟังมาพร้อมไดรเวอร์ขนาด 10 มม. เท่ากันท้ังสองรุ่น ให้เสียงครบทุกรายละเอียด สายทำจากวัสดุ TPE ที่มีความยืดหยุ่นและทนทานต่อการใช้งาน มีความยาว 1.2 เมตร และยังมีไมโครโฟนในตัวพูดคุยโทรศัพท์ได้ กับปุ่ม Control-Talk สำหรับเล่นหรือหยุดเพลง และรับสาย วางสายโทรศัพท์ได้เลย เป็นอีกหนึ่งตัวที่มีฟีเตอร์ครบในราคาประหยัด และตัวเลือกที่ใช้ได้ตามความชอบ สั่งซื้อที่ Shopee

9. Asaki รุ่น A-K6616MP: ราคา 199 บาท
หูฟัง Type C รุ่นต่อมาจาก Asaki ที่เป็นแบบ Earbud ใส่ได้สบายตลอดเวลา มาพร้อมลำโพงขนาด 14.2 มม. ให้เสียงเบสหนักแน่น และเสียงอื่นออกมาอย่างคมชัดครบถ้วน รองรับความถี่ 20Hz – 20KHz และมีความไวเสียงที่ 117dB ซึ่งช่วยให้คุณภาพเสียงออกมาดีเยี่ยม โดยมีไมค์ในตัวมาให้เลย สามารถคุยโทรศัพท์ได้ปกติ และพูดคุยได้อย่างคมชัดเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีปุ่มควบคุมสำหรับรับสาย และปรับระดับเสียงได้ สายยาว 1.2 เมตรทำจาก TPE และมีตลับสำหรับเก็บหูฟังเพื่อพกพาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

10. TECHPRO Magnet Earbud with Mic.: ราคา 220 บาท
ปิดท้ายด้วยหูฟัง Type C จาก TECHPRO ที่มีทั้งรุ่น Magnet และรุ่นปกติในราคาต่างกันเล็กน้อย ซึ่งรุ่น Magnet ก็จะมีความแตกต่างตรงที่ สามารถเก็บได้ง่ายด้วยการนำหูฟังมาติดกันนั่นเอง ตัวหูฟังเป็นแบบ Earbud ที่ออกแบบมาให้ใช้งานสะดวกและมีคุณภาพเสียงที่ดี ให้เสียงออกมาได้ครบทุกย่านเสียง โดยตัวสายมีความยาว 1.2 เมตร ผลิตจากวัสดุที่ทนทาน รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง iOS และ Android มีไมโครโฟนในตัว พร้อมปุ่มควบคุมการเล่นเพลงและรับสายได้เลย สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada
วิธีเลือกซื้อหูฟังแบบ Type C ทั้งแบบ Earbuds และ In-ear ซื้อยังไงให้เหมาะกับการใช้งาน
หูฟังแบบ Type C นั้นมีสองรูปแบบหลักคือ Earbuds และ In-ear ซึ่งแตกต่างกันในด้านดีไซน์และการใช้งาน โดย Earbuds มีลักษณะครอบหูแบบเปิด ไม่ได้ใส่เข้าไปในช่องหูมากนัก ทำให้ไม่แน่นหูหรือเจ็บหูเวลาใส่นานๆ และยังให้เสียงที่โปร่งและสบาย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการตัดเสียงรบกวนภายนอก
ส่วน In-ear มีจุกซิลิโคนที่สอดเข้าไปในช่องหู ช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ดีกว่า มักจะให้เสียงเบสที่หนักแน่นกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่เสียงดัง เช่น ตอนเดินทางไกล หรือออกกำลังกาย
ทั้งนี้ในการเลือกซื้อควรคำนึงถึงลักษณะการใช้งานของตัวเองเป็นหลัก เช่น หากต้องการฟังเพลงทั่วไปแบบสบายๆ ควรเลือก Earbuds แต่ถ้าต้องการคุณภาพเสียงที่ละเอียดและการตัดเสียงรบกวนได้ด้วยก็ควรเลือก In-ear จะตอบโจทย์มากกว่า นอกจากนี้ ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของพอร์ต USB-C กับอุปกรณ์ที่ใช้งาน และเลือกวัสดุสายที่ทนทานเพื่อการใช้งานระยะยาวอีกด้วย
คำถามที่คนมักค้นหา (FAQ)
- หูฟังแบบ Type C ใช้กับ iPhone ได้หรือไม่?
รองรับ iPhone รุ่นใหม่ๆ ที่มีพอร์ต USB-C - หูฟังแบบ Type C มีระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ไหม?
บางรุ่นมีระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ซึ่งจะมีราคาที่สูง แต่ถ้าราคาหลักร้อยส่วนใหญ่ไม่มี - หูฟังแบบ Type C ต่างจากหูฟัง 3.5 มม. อย่างไร?
นอกจากต่างกันในเรื่องของพอร์ต ก็ยังต่างกันที่การส่งสัญญาณเสียงด้วย - หูฟังแบบ Type C ทนทานไหม?
ความทนทานขึ้นอยู่กับวัสดุของสายว่าเป็นสายถัก, TPU, TPE หรืออื่นๆ - หูฟังแบบ Type C ราคาแพงไหม?
มีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่น
หูฟัง Type C เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ใช้มือถือรุ่นใหม่ๆ ที่รองรับ USB-C ด้วยคุณภาพเสียงที่คมชัดและเชื่อมต่อได้ง่าย ไม่ต้องใช้แบต มีให้เลือกหลายรุ่นในราคาประหยัด ซึ่งซื้อได้ตั้งแต่หลักสิบถึงหลักร้อย อีกทั้งบางรุ่นก็ยังมีปุ่มควบคุมที่ทำงานได้ง่าย สะดวกต่อการใช้งานทั่วไป ใช้ฟังเพลงที่บ้าน หรือว่าเดินทางยาวๆ ที่ไม่ต้องพึ่งการชาร์ตแบต ทั้งนี้การเลือกซื้อควรคำนึงถึงรูปแบบ Earbuds หรือ In-ear ว่าชอบแบบไหน และความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ รวมถึงงบประมาณของแต่ละคน เพื่อให้ได้รุ่นที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด