
แนะนำ 10 เครื่องดูดความชื้น ยี่ห้อไหนดีในปี 2025 ตัวช่วยลดปัญหากลิ่นอับ และเชื้อราในบ้าน
มาถึงหน้าฝนทีไร ปัญหาความชื้นในบ้านก็กลับมาเยือนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอับ เชื้อรา หรืออาการภูมิแพ้ที่ทำให้หลายคนต้องคอยกังวล ยิ่งถ้าเปิดแอร์หรือเครื่องปรับอากาศช่วงฝนตก ก็ยิ่งต้องเจอกับความชื้นสะสมภายในห้อง ที่ทำให้หายใจไม่สะดวกและอื่นๆ ตามมาได้อีกด้วย ตัวช่วยสำคัญที่ทำได้ก็คือเครื่องลดดความชื้น ที่กลายเป็นไอเท็มจำเป็นของบ้านยุคใหม่ ที่ช่วยปรับสมดุลอากาศให้น่าอยู่มากขึ้น ไม่ต้องทนกับกลิ่นเหม็นอับหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ขึ้นรา แถมยังช่วยลดโอกาสเกิดโรคทางเดินหายใจ และอาการคันจากเชื้อราหรือแบคทีเรียที่ชอบเติบโตในสภาพอากาศชื้นได้อีกด้วย
ใครที่กำลังมองหาวิธีป้องกันบ้านจากปัญหาเหล่านี้ หรืออยากให้ห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่ภายในบ้านสดชื่นอยู่เสมอ วันนี้ทาง Specphone จะมาแนะนำ 10 เครื่องดูดความชื้น ยี่ห้อไหนดีในปี 2025 ที่จะช่วยลดปัญหาความชื้นในหน้าฝนนี้กัน ไปดูกันว่ามีรุ่นไหนราคาเท่าไหร่ และมีฟีเจอร์อะไรบ้างในแต่ละรุ่น
แนะนำ 10 เครื่องดูดความชื้น ยี่ห้อไหนดีในปี 2025
เครื่องดูดความชื้นสำหรับห้องขนาดกลางถึงใหญ่

1. Xiaomi Smart Dehumidifier รุ่น 22L: ราคา 6,890 – 7,480 บาท
เริ่มต้นกันที่เครื่องดูดความชื้นรุ่นยอดนิยมของ Xiaomi ที่รุ่นนี้มาพร้อมความสามารถในการดูดความชื้นได้สูงสุด 22 ลิตรต่อวัน เหมาะสำหรับบ้านหรือห้องขนาดกลางถึงใหญ่ มีถังน้ำขนาดใหญ่ 4.5 ลิตร พร้อมฟังก์ชันปิดอัตโนมัติเมื่อน้ำเต็ม ป้องกันน้ำล้นและน้ำรั่ว ตัวเครื่องทำงานเงียบ เสียงรบกวนต่ำสุดเพียง 35.5 dB มีโหมดให้เลือกใช้งาน 3 แบบ ได้แก่ โหมดอัจฉริยะ โหมดตากผ้า และโหมดนอนหลับ สามารถควบคุมผ่านแอพ Mi Home ได้เลยง่ายๆ สะดวกสบายในทุกการใช้งาน สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

2. LG PuriCare Dehumifier 19 ลิตรรุ่น MD19GQGA1.ATH: ราคา 13,690 – 15,490
เครื่องดูดความชื้นจาก LG ที่สามารถวางไว้ในห้องขนาดใหญ่ 60 ตร.ม. ได้สบายๆ มาพร้อมเทคโนโลยี Dual Inverter Compressor ที่ช่วยประหยัดพลังงานและทำงานเงียบเพียง 33 dB จะวางไว้ในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือว่ากลางบ้านก็ยังได้ ตัวถังน้ำมีความจุ 5.3 ลิตร ดูดความชื้นได้สูงสุด 19 ลิตรต่อวัน พร้อมระบบฟอกอากาศ Nano Ion ช่วยกำจัดเชื้อโรคและกลิ่นอับ สามารถควบคุมผ่านแอป LG ThinQ ได้อย่างสะดวก และสามารถต่อท่อออกมาได้โดยไม่ต้องคอยเทน้ำทิ้ง และการป้องกันครบถ้วน สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

3. SHARP รุ่น DW-D20A-W: ราคา 9,399 – 11,990 บาท
เครื่องดูดความชื้นยี่ห้อ SHARP รุ่น 20 ลิตร เหมาะกับห้องขนาดประมาณ 50 ตารางเมตร สามารถลดความชื้นได้สูงสุด 20 ลิตรต่อวัน มีโหมดลดความชื้น 3 ระดับ (สูง ต่ำ อัตโนมัติ) และโหมด Laundry สำหรับเป่าผ้าในร่ม มีถังเก็บน้ำจุ 4.2 ลิตร พร้อม Plasmacluster Ion 7000 ช่วยลดแบคทีเรียและกลิ่นอับ ตัวเครื่องควบคุมง่ายด้วยปุ่มกดและมีล้อเลื่อน เคลื่อนย้ายได้สะดวก พร้อมตัวเลือก 4 แบบในการทำงานทั้งแบบเร็ว ประหยัดไฟ ต่อเนื่อง และดับกลิ่น สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

4. HOMEMATE รุ่น HOM-1630L2: ราคา 13,248 – 14,400 บาท
เครื่องดูดความชื้นจาก HOMEMATE ที่เหมาะกับห้องขนาดกลางถึงใหญ่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร สามารถดูดความชื้นได้สูงสุดถึง 30 ลิตรต่อวัน พร้อมถังเก็บน้ำขนาด 4 ลิตร ใช้งานสะดวกด้วยระบบควบคุมแบบปุ่มกด และหน้าจอแสดงผล สามารถตั้งค่าความชื้นที่ต้องการ และตั้งเวลาการทำงานได้สูงสุด 24 ชั่วโมง มีเสียงรบกวนต่ำเพียง 45 เดซิเบล มาพร้อมแผ่นกรอง HEPA H12 ช่วยดักจับฝุ่นและ PM 2.5 เหมาะกับบ้านที่มีผู้เป็นภูมิแพ้หรือเลี้ยงสัตว์ เคลื่อนย้ายง่ายด้วยล้อเลื่อน พร้อมหน้าจอ LCD แสดงการทำงานและอื่นๆ สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

5. Bwell รุ่น BDH-53: ราคา 17,990 บาท
เครื่องดูดความชื้นจาก Bwell ที่เหมาะกับห้องขนาดใหญ่ 40-80 ตารางเมตร ดูดความชื้นได้สูงสุดถึง 53 ลิตรต่อวัน สามารถปรับระดับความชื้นที่ต้องการได้ตั้งแต่ 35% ถึง 80% RH มีหน้าจอ Digital แสดงค่าความชื้นแบบเรียลไทม์ และควบคุมการทำงานได้ง่ายผ่านระบบสัมผัส หรือเชื่อมต่อ Wi-Fi เพื่อสั่งงานผ่านมือถือได้เลย ตัวเครื่องมีถังเก็บน้ำจุ 6.5 ลิตร ใช้สารทำความเย็น R290 และมีกำลังไฟ 830 วัตต์ มีระดับเสียงขณะทำงาน 50 เดซิเบล ตัวเครื่องมีน้ำหนัก 19.2 กิโลกรัม ลากเลื่อนย้ายที่ได้สะดวก สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada
เครื่องดูดความชื้นสำหรับห้องขนาดเล็ก

6. HAFELE Dehumidifier รุ่น ECOM-292: ราคา 2,850 บาท
มาดูกันที่เครื่องดูดความชื้นสำหรับห้องขนาดเล็กกันบ้าง สำหรับของ HAFELE รุ่นนี้เหมาะสำหรับห้องขนาด 20 ตารางเมตร ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติก ABS น้ำหนักเบาเพียง 2.2 กิโลกรัม ขนาดกะทัดรัด สามารถดูดความชื้นได้สูงสุด 750 มล.ต่อวัน พร้อมถังเก็บน้ำจุ 2 ลิตร มีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อน้ำเต็ม และไฟแสดงสถานะการทำงาน เสียงเงียบไม่เกิน 42 เดซิเบล ใช้งานง่าย ประหยัดพลังงานเพียง 45 วัตต์ เหมาะกับคนที่ต้องการลดความชื้นหรือมีอาการภูมิแพ้ในห้องนอนหรือสำนักงานที่ไม่ใหญ่มาก สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

7. Simplus LiteDry C2 2.5L รุ่น CUSH002: ราคา 1,579 – 1,589 บาท
เครื่องลดความชื้นขนาดกะทัดรัดรุ่นเล็ก ที่เหมาะสำหรับห้องนอน ห้องน้ำ หรือออฟฟิศขนาดเล็ก มาพร้อมถังเก็บน้ำความจุ 2.5 ลิตรแบบใสมองเห็นได้ชัด สามารถลดความชื้นได้สูงสุด 0.38 ลิตรต่อวัน ใช้กำลังไฟเพียง 65 วัตต์ ประหยัดพลังงาน เสียงรบกวนต่ำเพียง 35 เดซิเบลในโหมดสลีป ควบคุมการทำงานผ่านหน้าจอสัมผัส LCD พร้อมแสดงค่าความชื้นและอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ มีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อน้ำเต็มเพื่อความปลอดภัย ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุ ABS น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวกด้วยขนาดแค่กระดาษ A4 สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

8. KASHIWA รุ่น HC-102: ราคา 890 บาท
เครื่องลดความชื้นขนาดเล็กที่เหมาะกับห้องขนาด 15 ตารางเมตร หรือห้องนอนที่ไม่ใหญ่มาก ราคาเบาๆ ไม่เกิน 1,000 บาท มาพร้อมถังเก็บน้ำความจุ 1.2 ลิตร ดีไซน์ถังน้ำแบบพลาสติกใส มองเห็นระดับน้ำได้ชัดเจน และป้องกันเสียงรบกวนได้ดี ใช้กำลังไฟเพียง 30 วัตต์ ประหยัดพลังงาน ลดความชื้นได้สูงสุด 100 มล.ต่อวัน มีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อน้ำเต็ม ควบคุมการทำงานง่ายด้วยจอสัมผัสและปุ่มเดียว พร้อมแสดงผลอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ สามารถหยิบจับหรือย้ายได้ง่าย เพราะมีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

9. Elementmax Dehumidifiers: ราคา 795 บาท
เครื่องลดความชื้นจากจีนราคาสบายกระเป๋าไม่เกินพันก็ซื้อได้ พร้อมใช้งานได้ในห้องขนาด 21-30 ตร.ม. หรือห้องนอนที่ไม่ใหญ่มากจะดีกว่า ตัวเครื่องมีจอแสดงผลแบบ LCD พร้อมรีโมทควบคุมในระยะไกล สามารถระบายน้ำได้ 2 แบบจากถังและต่อท่อได้เลย สามารถลดความชื้นได้สูงสุด 1,080 มล. ต่อวัน มีเสียงเบาสุดเพียง 25 เดซิเบล ปรับความเร็วลม และปรับโหมดการใช้งานได้ พร้อมตั้งค่าระดับความชื้นคงที่ได้ด้วย สั่งซื้อที่ Shopee/ Lazada

10. hysure Q5: ราคา 1,439 บาท
ปิดท้ายด้วยเครื่องลดความชื้นของ hysure ที่เหมาะสำหรับห้องขนาดเล็กอย่างห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น 15 ตารางเมตรขึ้นไป มาพร้อมถังเก็บน้ำขนาด 1 ลิตรแบบใส มองเห็นง่ายและมีไฟบอกสถานะ ทำงานด้วยระบบ Dual-duct สามารถลดความชื้นได้ดี ใช้กำลังไฟเพียง 23 วัตต์ ประหยัดพลังงานและทำงานเงียบด้วยระดับเสียงเพียง 30 เดซิเบล มีหน้าจอ Digital แสดงระดับความชื้นแบบเรียลไทม์ พร้อมฟังก์ชันตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติ และไฟแสดงสถานะการทำงาน และสามารถปล่อยไอออนลบที่ทำให้สดชื้นมากขึ้น สั่งซื้อที่ Shopee
ข้อดีและข้อเสียของการใช้เครื่องลดความชื้น
ข้อดีของเครื่องลดความชื้น
- ช่วยลดกลิ่นอับและกลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้าน เช่น กลิ่นอับเสื้อผ้า กลิ่นรองเท้า หรือกลิ่นสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่ความชื้นสูง
- ลดการเกิดเชื้อราและแบคทีเรียในบ้าน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบ และปัญหาทางเดินหายใจต่างๆ ได้
- ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น และลดอาการภูมิแพ้จากไรฝุ่นหรือเชื้อราในอากาศ เหมาะกับบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ หรือคนที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว
- ตากผ้าในบ้านแห้งเร็วขึ้น ลดปัญหาเสื้อผ้าเหม็นอับในวันที่ฝนตกหรือพื้นที่จำกัด เช่น คอนโด หอพัก
- ป้องกันเฟอร์นิเจอร์ไม้ หนังสือ และอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ให้เสียหายจากความชื้น เช่น การบวม ผุกร่อน หรือเกิดสนิม
- ยืดอายุอาหารให้เก็บได้นานขึ้น ไม่เกิดกลิ่นหืนหรือเชื้อรา
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ เพราะแอร์ไม่ต้องทำงานหนักในการลดความชื้นในอากาศ
- ช่วยทำให้รู้สึกสบาย ไม่เหนียวตัวหรืออึดอัด รวมถึงการหายใจที่ดีขึ้นด้วย
ข้อเสียของเครื่องลดความชื้น
- หากตั้งค่าความชื้นต่ำเกินไป อากาศจะรู้สึกแห้ง ทำให้ผิวแห้ง คัน หรือระคายเคือง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก ควรรักษาระดับความชื้นที่เหมาะสม (40-60% RH)
- เครื่องลดความชื้นบางรุ่นอาจมีเสียงรบกวนขณะทำงาน โดยเฉพาะรุ่นที่มีขนาดใหญ่หรือใช้คอมเพรสเซอร์
- อาจเพิ่มค่าไฟฟ้าในบ้าน เนื่องจากต้องเสียบปลั๊กใช้งานต่อเนื่อง (ถึงเป็นไร้สายก็ยังต้องชาร์จไฟ) โดยเฉพาะในฤดูฝนหรือพื้นที่ที่มีความชื้นสูง
- ต้องหมั่นเทน้ำในถังเก็บน้ำและทำความสะอาดเครื่องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียในตัวเครื่อง
- ถ้าใช้ในห้องที่ปิดสนิทเกินไป อาจทำให้อากาศไม่ถ่ายเทและอุณหภูมิลดลง จนรู้สึกหนาวหรือไม่สบายได้ด้วย
- ราคาเครื่องลดความชื้นที่มีประสิทธิภาพสูงอาจค่อนข้างสูง และต้องเลือกขนาดให้เหมาะกับพื้นที่ใช้งาน
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเครื่องดูดความชื้นในปี 2025 ที่เราได้นำมาฝากกัน ทั้งรุ่นสำหรับห้องขนาดใหญ่ และสำหรับห้องขนาดเล็กราคาไม่เกิน 3,000 บาทก็ซื้อมาใช้ได้แล้ว ทั้งนี้ก็ควรเลือกซื้อให้เหมาะกับขนาดพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน ความสามารถในการดูดความชื้นต่อวัน และฟังก์ชันเสริมที่ตอบโจทย์ เช่น ระบบฟอกอากาศหรือโหมดตากผ้า และอย่าลืมเปรียบเทียบขนาดถังน้ำ ระดับเสียง และราคาจากหลายๆ ร้าน เพราะแต่ละร้านก็มีส่วนลดและราคาที่ไม่เท่ากัน เพื่อให้ได้เครื่องลดความชื้นที่ตรงกับความต้องการและใช้งานได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด