ช่วงปลายปีที่ผ่านมา สินค้าที่ Apple เปิดตัวสู่ท้องตลาดนั้นค่อนข้างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น iPad mini, iMac รุ่นใหม่ หรือจะเป็น MacBook Pro with Retina Display 13? ซึ่งสินค้าแต่ละชิ้นก็ล้วนเป็นไปตามความคาดหมายของหลายๆ คน ที่เก็งกันไว้ว่า Apple น่าจะนำมาเปิดตัวในงานอีเว้นท์รอบสุดท้ายของปีนี้ แต่มีสินค้าอยู่ไลน์หนึ่งที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายในเรื่องการเปิดตัวไปซักเล็กน้อยก็คือตัวของ iPad with Retina Display ที่ทาง Apple เรียกชื่อว่าเป็น iPad 4th Generation เนื่องจากมันเป็น iPad รุ่นที่ 4 ของ Apple หรือถ้าให้เรียกสั้นๆ แบบเข้าใจง่ายก็คือ iPad 4 นั่นเอง
ตัวของ iPad 4 นั้น แต่เดิมคาดการณ์กันว่า Apple คงเก็บไว้เปิดตัวในงานช่วงต้นปีหน้าแน่นอน ตามระยะเวลาการเปิดตัวปกติของ iPad คือช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี แต่ Apple ก็ทำพลิกความคาดหมายด้วยการนำมาเปิดตัวพร้อมกับ iPad mini ในครั้งนี้ ทำให้พอจะคาดเดาได้ต่อไปว่า Apple คงตั้งใจจะปรับรอบการเปิดตัว iPad ทั้งหมดมาเป็นช่วงปลายปีแทน และที่สำคัญกว่านั้นก็คือน่าจะเป็นการเร่งให้ผู้ใช้งานหันมาใช้พอร์ต Lightning ที่เป็นพอร์ตเชื่อมต่อแบบใหม่แทน Dock 30 พินแบบเก่าโดยเร็วที่สุดด้วย
ด้านราคาและตำแหน่งในแง่การตลาดนั้น Apple ตั้งใจให้ iPad 4 มาเป็นตัวแทนของ iPad 3 โดยการปลด iPad 3 ออกจากการขายอย่างสมบูรณ์ และตั้งราคาของ iPad 4 ออกมาเท่ากับ iPad 3 ดังนี้
รุ่น Wi-Fi
- 16 GB ราคา 16,500 บาท
- 32 GB ราคา 19,500 บาท
- 64 GB ราคา 22,500 บาท
รุ่น Wi-Fi + Cellular
- 16 GB ราคา 20,500 บาท
- 32 GB ราคา 23,500 บาท
- 64 GB ราคา 26,500 บาท
- ชิปประมวลผล Apple A6X Dual-core ความเร็ว 1.4 GHz มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก PowerVR SGX554MP4 ที่เป็นแบบ Quad-core
- RAM 1 GB
- มีความจุให้เลือกสามขนาดคือ 16, 32 และ 64 GB
- น้ำหนัก 652 กรัม (WiFi)
- มีทั้งรุ่น WiFi และรุ่น WiFi+Cellular (รองรับ 3G ทุกเครือข่าย และ 4G LTE โดยสามารถใช้งาน data ได้เท่านั้น ใช้ซิมแบบ Micro SIM)
- จอพาเนล IPS ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048 x 1536 ความคมชัดระดับ Retina Display
- กล้องหลัง (iSight) ความละเอียด 5 MP กล้องหน้า (FaceTime) ความละเอียด 1.2 MP
- แบตเตอรี่สามารถใช้เล่นเว็บผ่าน WiFi ฟังเพลง ดูวิดีโอได้นาน 10 ชั่วโมง
- สเปก iPad 4 เต็มๆ
![]() |
![]() |
กล่องของ iPad 4 นั้น หน้าตาก็จะใกล้เคียงกับ iPad รุ่นก่อนหน้านี้ ใช้วัสดุเป็นกระดาษแข็งสีขาว มีพลาสติกใสแบบนิ่มหุ้มอยู่ (ถ้าไปเจอพลาสติกแข็งก็อย่าซื้อมานะครับ) เมื่อเปิดกล่องออกมาก็จะพบกับตัวเครื่อง iPad 4 วางอยู่ส่วนบนสุดของกล่อง หยิบออกมาก็จะพบซองใส่เอกสารและสติ๊กเกอร์รูป Apple ดึงซองเอกสารออกมาก็จะเจอสาย Lightning เป็น USB ที่แถมมาเป็นมาตรฐานในอุปกรณ์ iDevice ทุกเครื่องอยู่แล้ว ส่วนอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟนั้น ก็จะเป็นแบบหม้อแปลงลูกเหลี่ยมๆ แบบเดียวกับที่ใช้ใน MacBook แต่มีขนาดย่อมเยากว่า สามารถถอดส่วนที่เป็นปลั๊กไฟออกมาได้ แต่ส่วนที่น่าสนใจก็คือเรื่องของกำลังการจ่ายไฟของอะแดปเตอร์ ที่เพิ่มขึ้นเป็นสูงสุด 12W จากเดิมที่เป็น 10W (ส่วนของ iPhone จะแค่ 5W เท่านั้น)
ด้านของหูฟังนั้น จะไม่มีแถมมาในกล่องนะครับ เช่นเดียวกับ iPad รุ่นก่อนๆ ใครอยากใช้งาน EarPods ก็คงต้องหาซื้อเพิ่มเติมภายหลังกันเอง
ตัว iPad 4 เองนั้น ถ้าดูเผินๆ ภาพนอกจะพบว่ามันก็เหมือนๆ กับ iPad 3 แทบทุกประการ โดยเฉพาะหน้าตาโดยรวมที่ยังคงเป็นแบบเดิม ผิวหน้าเป็นกระจกกันรอย มีให้เลือกทั้งรุ่นสีขาวและสีดำ ฝาหลังเป็นอะลูมิเนียมที่มีคุณสมบัติทั้งด้านความแข็งแรง และสามารถระบายความร้อนได้ดี? หน้าจอใช้พาเนลแบบ IPS ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048 x 1536 ที่มีความหนาแน่นของเม็ดพิกเซล 264 ppi ซึ่งจัดว่าเป็นจอระดับ Retina Display ตามเกณฑ์ของ Apple
![]() |
![]() |
คุณสมบัติของจอ Retina Display ของ Apple (รวมไปถึงจอที่มีค่า PPI สูงๆ) นั้นก็คือ ถ้ามองจอด้วยสายตา ในระยะปกติ จะมองเห็นเม็ดพิกเซลได้ยากหรือแทบมองไม่เห็นเป็นเม็ดเลย ต้องใช้กล้องในการถ่ายจึงจะสามารถมองเห็นได้ จนบางครั้งก็ดูเหมือนว่าเป็นแผ่นกระดาษจริงๆ ได้เลย โดยเฉพาะขณะที่อ่าน Ebook หรือดูรูปภาพก็ด้วยเช่นกัน
มุมมองของจอก็ยังกว้าง สามารถมองจอจากด้านข้างได้ดีตามคุณสมบัติของจอ IPS สีสันสดใส ความสว่างจออยู่ในระดับที่พอสู้แสงแดดภายนอกได้ แต่ถ้าถามว่าเหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งหรือไม่ ก็คงตอบได้ว่าไม่เหมาะเท่าไรนัก ครับ เพราะจอยังคงสะท้อนแสงค่อนข้างมาก ใช้ไปนานๆ อาจจะตาพร่าได้ ถ้าไปอยู่ในที่มีแสงจัดๆ
![]() |
![]() |
ส่วนบนเหนือจอก็จะเป็นตำแหน่งของกล้อง FaceTime (กล้องหน้า) ความละเอียด 1.2 MP ที่สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดไฟล์ที่ HD 720p ที่สามารถใช้งาน FaceTime ได้ทั้งบนเครือข่าย 3G และ WiFi ส่วนเหนือกล้องขึ้นไปเล็กน้อยจะเป็นตำแหน่งของเซ็นเซอร์ตรวจจับความสว่างแสงภายนอก เพื่อนำไปใช้ในการปรับระดับความสว่างของจอขณะใช้งาน
ด้านใต้ของจอยังคงมีปุ่มโฮมเช่นเดิม ซึ่งจากเท่าที่ใช้งานแล้วพบว่าปุ่มถูกออกแบบมาให้ไม่ต้องกดลึกเท่ากับ iPhone?
สันของตัวเครื่องก็ยังคงเป็นแบบเดียวกับ iPad 3 อยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้การตัดขอบด้วยเพชรอย่างของ iPhone 5, iPad mini และ iPod Touch Gen 5 ที่เป็นดีไซน์แบบใหม่ของเหล่า iDevice ซึ่งก็พอคาดเดาได้ว่า iPad รุ่นหน้า (iPad 5) น่าจะเปลี่ยนไปใช้การตัดขอบเครื่องเช่นเดียวกับดีไซน์ใหม่ๆ รวมไปถึงฝาหลังของเครื่องด้วย
![]() |
![]() |
ฝาหลังของ iPad 4 นั้น ยังคงใช้อะลูมิเนียมสีเทาเช่นเดิมทั้งรุ่นสีดำและสีขาว ตรงส่วนที่เป็นมุมโค้งก็จะรับมือพอดี แผ่นหลังราบเรียบ ให้สัมผัสที่ลื่นมือ แต่ถ้าใช้ไปนานๆ จะพบว่ามีคราบรอยนิ้วมือสะสมอยู่พอสมควร ซึ่งเอาเข้าจริงเชื่อว่าหลายท่านคงไม่พบกับปัญหานี้มากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็คงใส่เคสกันอยู่แล้ว ส่วนของลำโพงก็เป็นลำโพงตัวเดียวติดตั้งอยู่ทางฝั่งขวาล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เรื่องพลังเสียงนั้นจัดว่าพัฒนามาจาก iPad 3 พอตัวเลยทีเดียว ทั้งเรื่องระดับความดังของเสียง และคุณภาพ โดยเท่าที่ลองฟังพบว่าลำโพงให้เสียงกลางที่โดดเด่นกว่าย่านเสียงอ่ืนๆ ซึ่งก็เป็นตามปกติของลำโพงสมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต แต่ที่เหนือกว่ารุ่นอื่นๆ ทั่วไปก็คือความกว้างของย่านเสียงที่ช่วยให้ฟังเพลงแล้วสนุกกว่าเดิม เสียงไม่แห้งมากนัก เรียกได้ว่าสร้างความประทับใจได้มากกว่าแท็บเล็ตหลายๆ ตัวในตลาดที่เคยลองมาเลยก็ว่าได้
จุดเด่นที่ช่วยให้แยก iPad 4 ออกจาก iPad 3 ได้ง่ายที่สุดก็คือเรื่องพอร์ตเชื่อมต่อ เนื่องจาก Apple จัดการเปลี่ยนไปใช้พอร์ต Lightning แทนที่พอร์ต Dock 30 พินอย่างเดิม ซึ่งคุณสมบัติและประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของพอร์ต Lightning ในขณะนี้ก็ได้แก่
- สามารถเสียบสาย Lightning ได้ง่าย เพราะทั้งสายและพอร์ตถูกออกแบบมาให้สามารถเสียบได้ทั้งสองด้าน
- พอร์ตมีขนาดเล็ก ทำให้ Apple สามารถออกแบบและจับอุปกรณ์ใส่ในเครื่องได้มากกว่าเดิม
- ตัวพอร์ตมีความแข็งแรง สามารถยึดสายได้มั่นคง
- ความเร็วในการเชื่อมต่ออยู่แค่เพียงระดับ USB 2.0
- Lightning to Micro USB
- Lightning to 30-pin
- Lightning to SD Card Camera Reader
- Lightning to VGA Adapter
- Lightning to Digital AV (HDMI)
![]() |
![]() |
![]() |
บรรดาปุ่มควบคุมต่างๆ ของเครื่องก็ยังคงวางไว้ตามตำแหน่งเดิม นั่นคือปุ่ม Sleep เครื่องอยู่ที่มุมขวาบน (หันจอเข้าหาตัว), ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงอยู่ตรงสันด้านขวาบนของเครื่อง เหนือขึ้นไปเล็กน้อยก็เป็นปุ่มที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้ทำหน้าที่ใด ระหว่าง
- เปิด/ปิดเสียง
- เปิด/ปิดระบบตรวจจับและพลิกจออัตโนมัติ
![]() |
![]() |
ภาพเปรียบเทียบ iPad 4 กับ iPhone 5 ซักเล็กน้อย ส่วนภาพด้านล่างนี้เป็นการทดลองใช้งาน iPad 4 ในการเล่นเกม เล่นเว็บ อ่าน Ebook ครับ
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
โดยเท่าที่ลองใช้งานดู ก็พบว่ามันยังคงหนักเกินไปที่จะถือใช้งานเป็นระยะเวลานานๆ เช่นเดิม เนื่องด้วยน้ำหนักของตัวเครื่องไม่ได้ลดลงจาก iPad 3 เลย ซึ่งถ้าใครอยากได้แท็บเล็ตมาสำหรับอ่าน Ebook แนะนำว่าไปทางแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว เช่นพวก iPad mini จะดีกว่าครับ ด้วยน้ำหนักที่เบากว่ากันครึ่งต่อครึ่ง แม้จะเสียเปรียบตรงด้านของความละเอียดจอที่ไม่คมชัดหรือสวยสดเท่า iPad 4 ก็จริง แต่ได้เรื่องน้ำหนักที่ถือในอุ้งมือได้สบายกว่ากันมาก
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ด้านความร้อนขณะใช้งานนั้น ส่วนที่ร้อนที่สุดจะเป็นส่วนของมุมซ้ายล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เนื่องด้วยเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผลต่างๆ ของเครื่อง ทำให้เป็นบริเวณที่มีความร้อนสะสมมากที่สุดของเครื่อง อีกทั้งฝาหลังที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมอีก ซึ่งช่วยให้ความร้อนภายในถ่ายเทออกมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะทำให้รู้สึกร้อนมือได้เร็วเช่นเดียวกัน โดยเท่าที่ลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่าความร้อนของเครื่องน้อยกว่า iPad 3 อยู่เล็กน้อย ขณะเล่นเกมก็ยังพอสามารถจับเครื่องเล่นได้อยู่ (นั่งในห้องแอร์หรือห้องที่มีพัดลมเป่าตลอด) แต่ถ้าอยู่ในบริเวณที่ค่อนข้างร้อน ส่วนซ้ายล่างของเครื่องจะร้อนมากจนแทบจะจับนานๆ ไม่ได้เช่นเดิมครับ ดังนั้นดูแล้วการหาเคสมาใส่เพื่อกันความร้อนแผ่ถึงมือก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นเดิม
ซอฟต์แวร์และอินเตอร์เฟสบางส่วน
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
iOS เวอร์ชันที่ติดตั้งมาในเครื่องรุ่นแรกๆ จะเป็น iOS 6.0 ปกติ ซึ่งในการทดสอบของเราก็ได้จัดการอัพเดตเป็น iOS 6.0.1 เรียบร้อย สามารถใช้งานฟีเจอร์ใน iOS 6 ได้แทบทุกจุด ด้านตัวแอพต่างๆ ก็สามารถแสดงผลได้เหมือน iPad รุ่นก่อนหน้าทุกประการ ดังนั้นใครที่คุ้นเคยกับ iPad อยู่แล้วก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ iPad 4 ได้สบายๆ เนื่องจากมันเป็นรุ่นที่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไรมากนัก นอกจากพอร์ตเชื่อมต่อ และสเปกภายในบางจุดเท่านั้น
ส่วนด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างการใช้งานบนแอพต่างๆ ครับ เช่น เปิดเว็บบน Safari, แอพอ่านข่าวอย่าง Flipboard และ Zite, แอพแต่งรูป Snapseed, แอพ Instagram (ที่มีออกแบบมาสำหรับใช้งานบน iPhone/iPod Touch) ซึ่งการแสดงผลของบรรดาแอพที่ออกแบบมาให้ใช้งานบน iPad ได้นั้นก็สมบูรณ์ดี ส่วนของแอพที่ยังไม่มีเวอร์ชัน iPad ออกมา ที่จริงก็สามารถใช้งานได้ แต่ขนาดของตัวแอพจะเท่ากับที่ทำงานใน iPhone/iPod Touch นั่นเอง
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ลองเล่นเกม Hayday หรือจะเป็น Theatrhym Final Fantasy ก็สามารถเล่นได้อย่างไม่มีปัญหาในการทำงาน แต่ถ้าเรื่องน้ำหนักของตัวเครื่องก็ต้องยอมรับว่ามันหนักเอาเรื่องสำหรับคนไทย จนบางครั้งอาจจะต้องวางเพื่อเล่นเกม
ทดสอบประสิทธิภาพ
![]() |
![]() |
เริ่มกันด้วย GeekBench ที่ยอดนิยมสำหรับการทดสอบประสิทธิภาพอุปกรณ์ iDevice ซึ่ง iPad 4 เองก็สามารถทำคะแนนรวมได้ 1,786 คะแนน สูงกว่า iPad 3 ที่โดยเฉลี่ยแล้วจะได้คะแนนเพียง 750 – 770 คะแนนเท่านั้น และถ้ามามองคะแนนทั้งสี่ด้าน จะพบว่า iPad 4 สามารถทำได้เหนือกว่า iPad 3 จริงๆ ดังเช่น
- Integer : iPad 4 ได้ 1,346 คะแนน ส่วน iPad 3 เฉลี่ยที่ 690 คะแนน
- Floating Point : iPad 4 ได้ 2,265 คะแนน ส่วน iPad 3 เฉลี่ยที่ 910 คะแนน
- Memory : iPad 4 ได้ 2,070 คะแนน ส่วน iPad 3 เฉลี่ยที่ 827 คะแนน
- Stream : iPad 4 ได้ 1,082 คะแนน ส่วน iPad 3 เฉลี่ยที่ 343 คะแนน
SunSpider
SunSpider เป็นการทดสอบความสามารถในการประมวลผลชุดคำสั่ง Javascript ซึ่งจะวัดพลังการคำนวณของ CPU ตรงๆ วัดได้ผลออกมาเป็นเวลาที่ใช้ในการคำนวณ? (หน่วยเป็น ms) ซึ่งเลขยิ่งน้อย ยิ่งแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพในการประมวลผลมีสูง
ผลออกมาก็คือ iPad 4 ใช้เวลาในการประมวลผลชุดคำสั่ง Javascript เพียง 853.9 ms เท่านั้น นับว่าเร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงพลังของชิป Apple A6X ด้านการประมวลผลได้ค่อนข้างชัดเจนทีเดียว
BrowserMark
BrowserMark เป็นการทดสอบความสามารถในการรันชุดคำสั่งต่างๆ บนหน้าเว็บเบราเซอร์ โดยจะวัดออกมาเป็นคะแนนของตัว BrowserMark เอง ซึ่งยิ่งได้คะแนนมาก ยิ่งดี
พบว่า iPad 4 ทำคะแนนการทดสอบได้น้อยกว่า iPhone 5 อยู่ราวๆ 60 คะแนนเท่านั้น จึงแทบจะเรียกว่าทั้งสองไม่มีความแตกต่างกันในด้านพลังประมวลผลเมื่อทดสอบด้วย BrowserMark มากนัก
GLBenchMark 2.1 (High)
GLBenchMark 2.1 เป็นการทดสอบพลังประมวลผลกราฟิกของ GPU โดยตรง ซึ่งจะวัดออกมาเป็นจำนวนเฟรมเรตต่อวินาที โดยในโหมด High นี้จะเป็นการวัดพลังประมวลผลที่มีความละเอียดหน้าจอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะระบบจะรันที่เต็มความละเอียดเท่าที่จอสามารถแสดงผลได้ ซึ่งในกรณีของโหมด High อาจจะไม่สามารถเทียบประสิทธิภาพของแต่ละเครื่องได้โดยตรง แต่ก็สามารถใช้พิจารณาพอได้ว่าแต่ละเครื่องสามารถรันการทดสอบได้ไหลลื่นขนาดไหน โดยตัวเลข FPS ยิ่งสูงก็ยิ่งดี (สูงสุดคือ 60)
ผลออกมาก็คือ iPad 4 สามารถทดสอบออกมาได้ 59 fps ซึ่งก็คือลื่นสุดๆ นั่นเอง แม้ว่าตัวเองจะต้องแสดงผลภาพด้วยความละเอียดสูงถึง 2048 x 1536 ก็ตาม แต่ยังรีดเฟรมเรตออกมาได้สูงมากขนาดนี้ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ PowerVR SGX554MP4 ในตัวที่มีสี่คอร์ได้ดีทีเดียว
GLBenchMark 2.1 (Off Screen)
ส่วนในโหมด Off Screen นั้น จะเป็นการบังคับให้แต่ละเครื่องเรนเดอร์ที่ความละเอียดตามตัวเท่ากันทั้งหมด ทำให้สามารถวัดและเปรียบเทียบเฟรมเรตของทุกเครื่องได้โดยตรง
ผลออกมาก็คือ iPad 4 สามารถรีดเฟรมเรตออกมาได้สูงถึง 129 fps ถือว่าสูงสุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ครับ
ส่วนของระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ เท่าที่ผมใช้งานปกติ ตอนอยู่บ้านกับขณะนั่งรถใช้อ่านการ์ตูน ขณะอยู่ออฟฟิศก็เชื่อมต่อ WiFi เล่นเกม เล่นแอพบ้าง พบว่าก็ใช้งานข้ามวันได้อย่างสบายๆ เนื่องด้วยความจุแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
ภาพถ่ายจากกล้องหลัง iPad 4
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ด้านของกล้องถ่ายรูป จัดว่าไม่โดดเด่นไปจากรุ่นอื่นๆ ในตลาดมากนัก สามารถถ่ายรูปได้ในระดับทั่วๆ ไปของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รูปที่ได้ออกมาจะดูสีเข้มเล็กน้อย น่าจะเป็นผลจากการปรับของระบบที่เร่ง contrast ขึ้นมา ส่วนอาการภาพติดชมพูที่พบใน iPhone 5 นั้น ก็มีเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อยใน iPad 4 แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับที่สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในตลาดหลายๆ เครื่องเป็น ดังนั้นก็ไม่ต้องห่วงปัญหาแฟลร์สีชมพูดังกล่าวได้เลย
สรุป
iPad 4 จัดได้ว่ายังคงเป็น iPad ที่ไม่ทำให้ผิดหวังได้เช่นเดิม เนื่องด้วยจุดประสงค์ของรุ่นนี้ก็คือเพื่อรีเฟรชพอร์ตเชื่อมต่อในสินค้า iDevice ทุกตระกูลของ Apple ให้ไปใช้พอร์ต Lightning กันทั้งหมด ในด้านของประสิทธิภาพ ก็ยังยกให้เป็นเบอร์หนึ่งของแท็บเล็ตได้อยู่ดี ประกอบกับความร้อนระหว่างใช้งานที่ดูจะน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า และที่สำคัญที่สุดสำหรับการใช้งานแท็บเล็ตก็คือแอพพลิเคชัน ซึ่งแพลตฟอร์ม iOS ของ iPad จัดว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีความพร้อมด้านแอพพลิเคชันให้ใช้งานอยู่แล้ว
ดังนั้นใครที่ลังเลอยู่ว่า iPad 4 นั้นคุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่ ก็ขอตอบเป็นดังนี้ครับ
- ถ้ามี iPad 3 ไว้ใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อ iPad 4 ก็ได้
- ถ้ามี iPad 3 อยู่ แต่อยากเล่นเกมให้ลื่นๆ การเปลี่ยนไปใช้ iPad 4 ก็เป็นทางเลือกที่ดี
- ถ้ายังไม่มี iPad เลย แล้วอยากได้แท็บเล็ตที่ครบครันมาใช้งาน ก็ซื้อ iPad 4 ได้ครับ
- ถ้ามี iDevice ที่ใช้พอร์ต Lightning อยู่แล้ว จัด iPad 4 โลดครับ เพราะสามารถใช้สายเดียวกันได้เลย
- ถ้าต้องการแท็บเล็ตสำหรับอ่านหนังสือ แนะนำว่าไปทาง iPad mini จะดีกว่า
ส่วนด้านข้อดีและข้อสังเกต ก็ตามด้านล่างนี้เลย
ข้อดี
- ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจาก iPad 3 อย่างเห็นได้ชัด เปิดและใช้งานแอพได้แบบไม่มีกระตุกหรือหน่วง
- พอร์ต Lightning สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก
- ความร้อนจากตัวเครื่องน้อยลง
- ลำโพงเสียงดีขึ้นกว่า iPad 3 พอตัว
ข้อสังเกต
- น้ำหนักยังคงมากไปที่จะใช้งานติดต่อกันนานๆ
- ไม่มีการเปลี่ยนดีไซน์ไปจาก iPad 3 มากนัก