Close Menu
    Facebook X (Twitter) YouTube TikTok
    SpecPhone
    • ข่าวล่าสุด
    • รีวิว
    • ค้นหามือถือ
    • วิดีโอ
    • บทความ
    • ติดต่อเรา
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)
    SpecPhone
    Home»iOS Platform»รีวิว Apple iPhone 5
    iOS Platform

    รีวิว Apple iPhone 5

    ZeroSystemBy ZeroSystem24 กันยายน 2012Updated:22 พฤศจิกายน 2012
    Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    Share
    Facebook Twitter LinkedIn Pinterest Email

    ซอฟต์แวร์และประสิทธิภาพ

    iOS 6

    ในการเปิดตัว iPhone 5 นี้ อีกนัยหนึ่งก็ถือเป็นการเปิดตัว iOS 6 อย่างเป็นทางการด้วย เพราะฟีเจอร์บางอย่างใน iOS 6 ได้ถูกออกแบบมาสำหรับ iPhone 5 ให้สามารถใช้งานได้สะดวกกว่า iPhone 4S, iPhone 4 รวมไปถึง iPhone 3GS ที่ได้รับการอัพเดตเป็น iOS 6 ด้วยกันทั้งหมด เนื่องจากมีการปรับหน้าตาบางส่วนของแอพหลายๆ ตัวให้แสดงผลได้ดีขึ้นบนจอที่ยาวขึ้นกว่าเดิม ช่วยให้สามารถอ่านข้อมูลได้ต่อเนื่องต่อการเลื่อนหน้าหนึ่งครั้งมากขึ้น เอาเป็นว่าเราไปดูกันดีกว่าครับว่ามีซอฟต์แวร์ใดที่มีการเปลี่ยนแปลงและดูน่าสนใจกันบ้าง โดยรูปใดที่เป็นรูปเปรียบเทียบกัน ฝั่งซ้ายจะเป็นรูปจาก iPhone 5 iOS 6 ส่วนฝั่งขวาจะเป็นรูปจาก iPhone 4 iOS 6 นะครับ?

    เริ่มกันที่หน้า Lockscreen ก่อนเลยแล้วกัน เห็นได้ชัดว่าเมื่อความยาวจอเพิ่มขึ้น ก็สามารถแสดง wallpaper ได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับเวลาที่มี notification แสดงค้างอยู่ จำนวน notification ที่แสดงขึ้นมาก็จะมีมากขึ้นด้วย?

    หน้า Homescreen ก็ยังคงรูปแบบเดิมตามสไตล์ของ iOS นั่นคือการใช้ไอคอนเป็นหลัก แต่จุดที่ต่างก็คือจำนวนแถวที่สามารถแสดงผลไอคอนได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 4 แถวแนวตั้ง มาเป็น 5 แถว?

    นอกเหนือจากจำนวนแถวของไอคอนที่เพิ่มมาแล้ว จำนวนไอคอนแอพในแต่ละโฟลเดอร์ก็ได้รับผลจากการที่จอยาวขึ้นด้วย โดยทำให้แต่ละโฟลเดอร์สามารถบรรจุแอพได้มากขึ้นเป็น 16 แอพ จากเดิมที่ใส่ได้แค่ 12 แอพเท่านั้น แถมใน iOS 6 ยังมีสัญลักษณ์บอกด้วยว่าแอพใดเป็นแอพที่ติดตั้งมาใหม่และยังไม่เคยเปิดใช้งานเลย โดยสังเกตได้จากแถบคาดสีฟ้าที่ข้างในมีคำว่า New เขียนอยู่

    ส่วนในหน้าปุ่มกดโทรศัพท์ก็มีการเปลี่ยนหน้าตาจากเดิมใน iOS รุ่นผ่านๆ มาจะใช้เป็นหน้าจอสีดำๆ พอมาใน iOS 6 มีการเปลี่ยนเป็นโทนสีขาวแบบมีมิติความลึกลงไปนิดหน่อย และที่สำคัญก็คือ หน้าจอใน iPhone 5 จะมีการขยายพื้นที่ในหลายๆ ส่วนมากขึ้น ทั้งตัวปุ่มที่ดูสูงขึ้นเล็กน้อย รวมไปถึงตรงแถบแสดงตัวเลขที่สูงและตัวเลขมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร

    ที่น่าสนใจก็คือเรื่องของปุ่มคีย์บอร์ดใน iPhone 5 ครับ ซึ่งเมื่อจับมาเทียบกันแล้ว พบว่ายังคงขนาดเท่าเดิม ทั้งด้านความกว้างและความสูง แต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือพื้นที่ในการแสดงเนื้อหาเบื้องหลังของหน้าจอแอพที่เราใช้งานอยู่ จะมีพื้นที่เหลือมากขึ้น ทำให้สามารถอ่านเนื้อหาของแอพในขณะที่เราพิมพ์ได้มากกว่าเดิมพอสมควร

    หรือจะเป็นแป้นคีย์บอร์ดภาษาไทย ที่ในที่สุดก็กลายเป็นแบบ 4 แถวแบบเดียวกับในคอมพิวเตอร์ตามที่หลายคนเรียกร้องกันมานาน ซึ่งขนาดของปุ่มทั้งใน iPhone 5 จอ 4 นิ้วและ iPhone 4 ที่ใช้จอ 3.5 นิ้วก็ยังคงใช้ปุ่มที่มีขนาดเท่ากันอยู่ดี

    เมื่อลองใช้งานคีย์บอร์ดในแนวนอน จะเห็นว่าปุ่มมีความกว้างขึ้นเล็กน้อย ความสูงเท่าเดิม ช่องห่างระหว่างปุ่มก็เท่าๆ เดิม แต่จะมีพื้นที่ขอบทั้งฝั่งซ้ายและขวาเพิ่มขึ้นมามากพอตัว จับพื้นที่ว่างของสองฝั่งรวมกัน น่าจะได้ขนาดความกว้างประมาณ 1 ปุ่มได้เลย

    แน่นอนว่าการที่จอยาวขึ้น จำนวนข้อมูลของการแสดงผลต่อหน้าก็ต้องมากขึ้น อย่างในตัวอย่างหน้าการตั้งค่า iCloud ด้านบนนี้ จะเห็นว่าใน iPhone 5 สามารถแสดงตัวเลือกทุกข้อออกมาได้ครบถ้วนในหน้าจอเดียวเลย

    ดูกันต่อในแอพ Facebook ซึ่งรองรับการแสดงผลบนจอ iPhone 5 แบบเต็มตัว ซึ่งข้อที่เหนือกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้าที่ใช้จอ 3.5 นิ้วก็คือสามารแสดงผลต่อหนึ่งหน้าได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ได้มีการยืดอัตราส่วนภาพขึ้นแต่อย่างใด

    แต่กับแอพที่ยังไม่รองรับการแสดงผลบนจอ iPhone 5 จะพบว่าการแสดงผลจะมีขอบดำติดอยู่ อย่างตัวของ Instagram จะเห็นได้ชัดว่าบนจอ iPhone 5 จะมีการเหลือพื้นที่ขอบดำบนล่างเอาไว้ เพื่อให้แอพแสดงผลอยู่ตรงกลางจอในอัตราส่วนภาพเท่าเดิม คาดว่าอีกไม่นานคงมีการอัพเดตเพื่อให้สามารถแสดงได้เต็มจอกว่าเดิมได้?

    ที่น่าสังเกตก็คือแอพของตัวเครื่องทั้งหลายครับ ที่มีการปรับเปลี่ยนการแสดงผลไปพอสมควร อย่างแอพ Music สำหรับเล่นเพลงนั้น ก็มีการปรับให้แถบเลื่อนที่แสดงตำแหน่งเวลาที่เพลงกำลังเล่นอยู่ รวมไปถึงปุ่ม Repeat และ Shuffle จะถูกตรึงลงมาแสดงผลอย่างถาวรบนหน้าจอ จากที่ใน iPhone รุ่นก่อนหน้า ผู้ใช้ต้องกดไปที่หน้าจอหนึ่งครั้งเพื่อให้แถบดังกล่าวแสดงขึ้นมา และกดอีกครั้งเพื่อให้หายไป

    ส่วนการแสดงผลเนื้อเพลงนั้น ต้องใช้การกดหน้าจอหนึ่งครั้งเพื่อให้แสดงขึ้นมา และกดอีกครั้งถ้าต้องการให้หายไปครับ

    แอพ Passbook ก็รองรับการแสดงผลบนจอ iPhone 5 เต็มที่เช่นเดียวกัน โดยสามารถแสดงผลข้อมูลให้เราได้ครบถ้วนและเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่าบนจอ 3.5 นิ้ว แต่ในเมืองไทยก็คงยังไม่สามารถใช้งานได้ Passbook ได้เต็มที่ในขณะนี้ครับ คงต้องรอกระแสไปอีกซักระยะหนึ่ง

    ในหน้าของ App Store ก็มีการปรับเปลี่ยนการแสดงผลไปจากเดิมมากทีเดียว โดยจะเน้นการเลื่อนหน้าในแนวนอนมากกว่าเดิมที่ใช้การเลื่อนในแนวตั้งเป็นหลัก ซึ่งก็ทำให้หน้าตาโดยรวมดูดีขึ้นมาก แต่การใช้งานแรกๆ อาจจะไม่ชินไปหน่อย เพราะแต่เดิมอาศัยการเลื่อนหน้าจอบน-ล่างแบบยาวๆ เป็นหลัก

    ซึ่งการเลื่อนไปทางซ้าย-ขวาในแบบนี้ ช่วยทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องสกรอลหน้าลงมาบ่อยก็จริง แต่การแสดงผลแอพมาให้เลือกในแต่ละหน้า แต่ละหมวดก็จะน้อยลงไปด้วย ทำให้ไม่เห็นตัวเลือกแอพมากเท่ากับแต่ก่อน ก็นับว่าแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไปครับ

    ในหน้าจอเลือกแอพจากการค้นหา การแสดงผลบนจอ 4 นิ้วของ iPhone 5 และจอ 3.5 นิ้วของ iPhone 4 จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของขนาดรูปพรีวิวที่มีความยาวไม่เท่ากันเนื่องด้วยขนาดของจอ

    อย่างการแสดงผลรายละเอียดของแต่ละแอพก็จะมีความแตกต่างชัดเจน คือจอ iPhone 5 จะสามารถแสดงภาพพรีวิวของแอพได้เต็มภาพพอดี ส่วนจอ 3.5 นิ้วจะแสดงได้ไม่เต็ม ทำให้ผู้ใช้ต้องเลื่อนหน้าจอลงมา

    ส่วนใครที่ใช้งาน Calendar ใน iPhone อยู่ คงรู้สึกดีขึ้นมาทีเดียวเมื่อมันสามารถแสดงผล Event ได้จำนวนมากขึ้นกว่าเดิม จากหนึ่งครึ่งไปเป็นสาม ทำให้สามารถดูข้อมูลตารางนัดหมายในแต่ละวันได้สะดวกขึ้นมากๆ

    หน้าจอแสดงข้อมูลสภาพอากาศในแอพ Weather ก็สามารถแสดงข้อมูลสภาพอากาศย่อยตามช่วงเวลารายชั่วโมงในแต่ละวันได้สบายๆ

    การแสดงผลหน้าเว็บในแนวนอนก็น่าสนใจไม่น้อยเลย โดยใน iPhone 5 จะใช้การขยายอัตราส่วนภาพภายในเว็บขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้สามารถแสดงบนจอได้พอดีและดูดี แต่ก็ยังคงเหลือแถบเมนูของ Safari อยู่ดี ซึ่งใน iOS 6 จะมีปุ่ม Full Screen อยู่ตรงมุมขวาล่างของจอที่จะปรากฏขึ้นมาให้ใช้งานเมื่อมีการแสดงผลในแนวนอนเท่านั้น

    เมื่อกดปุ่ม Full Screen แล้วการแสดงผลโดยรวมของหน้าเว็บก็จะถูกขยายขึ้นมาเป็นอัตราส่วนที่เท่าๆ กันทั้งเว็บ โดยหน้าเว็บที่เปิดใน iPhone 5 จะถูกขยายขึ้นมาด้วยอัตราส่วนที่มากกว่า แต่ก็แลกไปด้วยการแสดงผลข้อมูลที่น้อยกว่าในจอ 3.5 นิ้ว อย่างเช่นภาพตัวอย่างด้านบน จะเห็นว่าภาพจากจอ iPhone 5 (ภาพบน) เนื้อหาของหัวข้อ Features หายไป ผิดกับใน iPhone 4 ที่มีการแสดงผลหัวข้อ Features อยู่ แต่ตัวอักษรโดยรวมของหน้าเว็บก็เล็กมากจนมองไม่ค่อยถนัดตานัก แต่ตัวอักษรบนหน้า iPhone 5 จะดูใหญ่กว่าเล็กน้อย

    ส่วนในแนวตั้งก็มีการแสดงผลที่เพิ่มจากเดิมมานิดหน่อยครับ ไม่มีการขยายอัตราส่วนของเนื้อหาภายในเว็บแต่อย่างใด

    ส่วนเรื่องการแสดงผลในเกมนั้น เราทดลองด้วยการเล่นเกม Infinity Blade 2 ที่ยังไม่รองรับการแสดงผลบนจอ iPhone 5 แบบเต็มที่ดู พบว่าจะมีการเหลือขอบจอเป็นสีดำอยู่สองด้านคือด้านบนและล่างจอ (เมื่อคิดจากแนวตั้ง) โดยภาพจะแสดงเป็นสัดส่วนเท่ากับบนจอ 3.5 นิ้วครับ ไม่ต้องกลัวว่าตัวเกมจะยืดภาพเลย คาดว่าเกมส่วนใหญ่คงรองรับการแสดงผลบนจอขนาด 4 นิ้ว ความละเอียด 1136 x 640 ของ iPhone 5 ในอีกไม่นานนี้แน่นอน แต่ถ้าเกมที่มีการเรนเดอร์ภาพมหาโหดแบบเช่น Infinity Blade, Horn หรือแนวๆ ภาพอลังการ ดูแล้วการสร้างเกมใหม่น่าจะง่ายกว่าครับ เพราะต้องเรนเดอร์ object ในเกมเพิ่มขึ้นมาเพื่อเติมเต็มพื้นที่ด้านข้าง ซึ่งดูแล้วน่าจะยากสำหรับนักพัฒนาเกมไม่น้อยเลย สู้เอาเวลาไปพัฒนาภาคใหม่ให้รองรับไปเลยน่าจะดีกว่า

    แต่ทั้งนี้บางเกมใน App Store ก็ยังคงไม่รองรับ iPhone 5 แบบเต็มที่นัก อย่างเกม Rayman Jungle Run เมื่อดูภาพที่ได้จาก iPhone 5 (ภาพบน) เทียบกับ iPhone 4 (ภาพล่าง) จะเห็นว่าภาพเกมจาก iPhone 5 จะไม่ละเอียด ภาพแตกกว่า iPhone 4 ที่แสดงผลได้อย่างคมชัดกว่ามาก ซึ่งก็สร้างข้อสงสัยได้เหมือนกันว่าทำไมภาพถึงแตกขนาดนี้ ทั้งๆ ที่การเรนเดอร์ภาพก็เรนเดอร์ออกมาที่ความละเอียด 960 x 640 เท่ากัน (ของ iPhone 5 จะเหลือขอบดำด้านซ้าย/ขวา ส่วน iPhone 4 นั้นรันเต็มจอครับ แต่เราเอาภาพมาจัดกลางเพื่อเทียบเฉยๆ ว่ามันเรนเดอร์ภาพมาขนาดเท่ากัน)

    ดังนั้นเรื่องของแอพและเกมที่จะรันบน iPhone 5 ก็อาจจะต้องรอซักพักหนึ่งเพื่อให้ทางผู้พัฒนาจัดการปรับปรุงซักเล็กน้อยครับ และก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะความซับซ้อนของทูลพัฒนาและขนาดจอมีความซับซ้อนน้อยกว่าแพลตฟอร์มอื่นมาก

    ?

    การแชร์ที่มากขึ้น

    ใน iOS 6 นี้มีการรวม Facebook เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในระบบแล้ว หลังจากมีการรวม Twitter เข้ามาก่อนหน้านี้ ซึ่งหลักๆ แล้ว iOS 6 จะใช้ Facebook ในด้านของการแชร์และการส่งออกข้อมูลจากอุปกรณ์ของเราไปสู่ระบบของ Facebook มากกว่า

    โดย Facebook จะเข้ามาอยู่ในส่วนการแชร์เป็นหลัก อย่างเช่นการแชร์รูปภาพ ที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไปเป็นรูปแบบไอคอนแทน โดยมีการเพิ่ม Facebook และ Photo Stream เข้ามา เพื่อให้สามารถแชร์ภาพได้ง่ายขึ้น

    ส่วนรูปทางขวานั้นเป็นปุ่มสำหรับโพสต์สถานะขึ้นบน Facebook ที่มีเพิ่มเข้ามาครับ ทำให้ผู้ที่ชอบโพสต์สถานะ Facebook สามารถทำได้ง่ายมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถแท็กเพื่อนเข้ามาในสถานะจากการโพสต์ที่ระบบแชร์ของ iOS ได้นะครับ ทำได้ก็แค่การระบุสถานที่และการเลือกว่าเราจะโพสแล้วให้กลุ่มใดสามารถเข้าถึงข้อมูลของเราได้บ้าง?


    Apple Maps

    เป็นแอพที่ตกเป็นเป้าความคาดหวังของผู้ใช้ iOS มาก ว่าจะมาแทนที่ Google Maps ซึ่งอยู่กับผู้ใช้มานาน ผ่านการพัฒนาและปรับปรุงมานานกว่าได้หรือไม่ ซึ่งเท่าที่ทดลองใช้จริงแล้ว พบว่ายังไม่สามารถแทนที่ได้ครับ เนื่องด้วยปัญหาใหญ่เลยคือ POI (Point of Interest) หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆ คือจุดแสดงสถานที่บนแผนที่ในตัว Apple Maps ยังมีไม่ครอบคลุมและมากพอนัก ที่มีส่วนหนึ่งก็เป็นจุดที่ไม่ได้ช่วยเหลือในการใช้งานจริงเท่าไร เช่นเป็นชื่อซอยเล็กๆ แต่สถานที่ใหญ่กว่า เป็นหลักเป็นแหล่งกว่ากลับยังไม่ถูกบันทึกลงไปก็มี ทำให้เวลาใช้งานจริงลำบากมากพอตัว ขนาดแผนที่ในสหรัฐฯ เองก็ยังไม่สามารถแสดงได้ครอบคลุมตามที่ควรจะเป็น ระบบค้นหาก็ไม่สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์

    แล้วถ้าแผนที่ในไทยล่ะ ? ขอบอกว่ายิ่งกว่าแผนที่ในสหรัฐฯ เสียอีกครับ เพราะ POI ยังไม่ครอบคลุมมากพอที่จะใช้งานได้จริง การบอกตำแหน่งก็ยังไม่แม่นยำนัก รวมไปถึงข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศที่ไม่ใช่ข้อมูลล่าสุด อย่างผมทดสอบด้วยการเลือกไปที่ห้าง Central World (ภาพด้านบนทางซ้าย) พบว่ายังเป็นภาพสมัยที่ตัวห้างเพิ่งถูกเผาอยู่เลย ส่วนภาพขวานี้เป็นภาพถ่ายของบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิครับ

    4 ภาพด้านบนนี้เป็นตัวอย่างการแสดงผลแบบ 3D ของ Apple Maps ซึ่งจะมีการเรนเดอร์ตึกขึ้นมาให้มีลักษณะนูนเสมือนว่าเป็นภาพ 3D ประสบการณ์การใช้งานก็ถือว่าดีทีเดียวครับ เหมือนว่าเป็นของเล่นชิ้นใหม่ใน iOS 6 เลยก็ว่าได้ แต่ทั้งนี้ การใช้งานก็ต้องอาศัยอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา รวมไปถึงอาศัยพลังประมวลผลของเครื่องที่สูงขึ้นด้วย ทำให้ iPhone 4 ไม่สามารถใช้งานโหมด 3D ของ Apple Maps ได้ เนื่องจากพลังของ CPU และ GPU แรงไม่เพียงพอที่จะเรนเดอร์แล้วสามารถใช้งานได้อย่างไหลลื่น

    โดยในการใช้งานจริง ก็ทำได้ค่อนข้างดี มีความไหลลื่นระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราเลื่อนหน้าเร็วๆ ก็จะพบกับการเรนเดอร์ภาพไม่ทัน เช่น เราเลื่อนจากตำแหน่ง A ไปตำแหน่ง B บางครั้งส่วนของหน้าตาตึกจะไม่สามารถเรนเดอร์มาได้ทันในการดูภาพครั้งแรก ทำให้ต้องใช้เวลาในการเรนเดอร์เพื่อให้สามารถแสดงรูปตึกได้อย่างสมบูรณ์อีกประมาณ 1-2 วินาที แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเร็วอินเตอร์เน็ตด้วยว่าจะเร็วมากพอให้ดาวน์โหลดข้อมูลบนแผนที่ได้ทันหรือเปล่า

    แม้ว่า Apple Maps จะเป็นแผนที่ที่เน้นในการใช้งานในสหรัฐฯ เป็นหลักก็ตาม แต่ก็พบว่าพื้นที่อีกหลายๆ ส่วนในสหรัฐฯ ยังไม่มีข้อมูลให้เรนเดอร์ภาพเป็นแบบ 3D ในแอพ ทำให้การแสดงผลยังดูเป็นแผ่นๆ อยู่ดังในภาพซ้าย ส่วนภาพขวานั้นเป็นภาพแผนที่ในไทยที่ดูเหมือนจะเกือบมี 3D แล้ว แต่ยังคงเป็นแค่พื้นที่นูนๆ ขึ้นมาเป็นบางจุดเท่านั้น ทำให้พอให้สรุปได้ว่าฟีเจอร์การแสดงผล 3D ใน Apple Maps ยังไม่เหมาะกับการใช้งานจริง น่าจะเหมาะกับการใช้งานเล่นๆ ซะมากกว่า ส่วนตัวแผนที่จริงๆ นั้น ส่วนตัวผมคิดว่ารอแอพ Google Maps อย่างเป็นทางการจะดีกว่าครับ
    ?

    ประสิทธิภาพและผล Benchmark

    ต่อมาก็ขอพูดถึงประสิทธิภาพกันบ้างครับ โดยตัวสเปกของ iPhone นั้น ใช้ชิปประมวลผลเป็น Apple A6 ที่มีคอร์ในการประมวลผล 2 คอร์ ส่วนชิปประมวลผลกราฟิกนั้นเลือกใช้เป็น PowerVR SGX543MP3 ที่มีคอร์ในการประมวลผลกราฟิก 3 คอร์ด้วยกัน ซึ่งผลทดสอบที่ออกมาก่อนหน้านี้จากชุดทดสอบ GeekBench และการทดสอบการประมวลผล JavaScript ด้วย SunSpider นั้น ให้ผลออกมาว่า iPhone 5 มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงมาก อยู่ในระดับเดียวตัวท็อปที่วางขายแล้วของฝั่ง Android อย่าง Samsung Galaxy S III ทั้งที่มีจำนวนคอร์ประมวลผลทั้ง CPU และ GPU น้อยกว่า

    ซึ่งจากการทดสอบของเรา ก็พบว่าผลที่ออกมาเป็นไปตามที่มีผู้ทดสอบกันก่อนหน้านี้ครับ เริ่มต้นด้วย GeekBench ก่อนเลย ซึ่งเป็นการเทียบกันระหว่าง iPhone 5 (ซ้าย) และ iPhone 4S (ขวา)
    ?

    GeekBench for iOS

    จะเห็นได้ว่า iPhone 5 มีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่สูงกว่า iPhone 4S อย่างเห็นได้ชัดในทุกๆ ด้าน แต่ทั้งนี้เราขอไม่นำสมาร์ทโฟนฝั่ง Android มาเทียบนะครับ เพราะปัจจัยภายในของทั้งสองแพลตฟอร์มมีความแตกต่างกันมาก จึงอาจทำให้ค่าตัวเลขที่ได้มาไม่สอดคล้องกับประสิทธิภาพจริงๆ ของตัวเครื่อง ประกอบกับคะแนนที่ได้มาค่อนข้างจะมีการแกว่งมาก แต่ถ้าให้สรุปจากแนวโน้มของคะแนน GeekBench ก็ขอสรุปเป็นว่า iPhone 5 แรงพอๆ กับ Samsung Galaxy S III เลย (แต่อย่าลืมนะว่าคอร์ประมวลผลของ iPhone 5 มีจำนวนน้อยกว่า S III)
    ?

    Sunspider Javascript Benchmark (คะเเนนน้อยกว่า = ดีกว่า)

    SunSpider เป็นการวัดพลังในการประมวลผล JavaScript ของตัว CPU โดยตรง ไม่ได้ใช้พลังและชุดคำสั่งของเว็บเบราเซอร์ช่วยในการทำงานเลย ทำให้เป็นการทดสอบที่ชี้วัดพลังประมวลผลของ CPU ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากผลการทดสอบก็พบว่าชิป Apple A6 สามารถรัน JavaScript ต่างๆ ได้ในเวลาที่เร็วที่สุดเพียง 942.6 ms เท่านั้น เร็วกว่า Samsung Galaxy S III และแน่นอนว่าเร็วกว่า iPhone 4S ด้วย อันเป็นการแสดงว่าศักยภาพของชิป Apple A6 ตัวนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย แม้ว่าจะเป็นชิป dual-core ก็ตาม
    ?

    GLBenchmark Egypt High (คะเเนนมากกว่า = ดีกว่า)?

    ต่อมาก็เป็นการวัดผลส่วนของ GPU กันต่อ ด้วยแอพ GLBenchmark ที่มีใน iOS ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าเทียบจากคะแนนแล้ว iPhone 5 นั้นก็สามารถทำได้ในระดับเดียวกับ Samsung Galaxy S III เลยทีเดียว และไม่แน่เฟรมเรตอาจจะสูงกว่า 60 ก็ได้ แต่เนื่องจากติด VSync อยู่ ทำให้ถูกจำกัดไว้แค่ 60 fps เท่านั้น แต่ในส่วนของการเทสในโหมดปกตินี้ จะมีการนำเรื่องของขนาดความละเอียดหน้าจอเข้ามาเป็นปัจจัยการเรนเดอร์และคิดคะแนนด้วย ซึ่งถ้าอยากวัดจริงๆ ต้องดูผลอันถัดไปครับ
    ?

    GLBenchmark Egypt Offscreen?(คะเเนนมากกว่า = ดีกว่า)?

    เมื่อลองทดสอบ GLBenchmark ในโหมด Offscreen ซึ่งจะบังคับให้เรนเดอร์ในความละเอียดระดับ 720p เท่านั้น ทำให้ผลการทดสอบในโหมดนี้สามารถใช้วัดประสิทธิภาพของ GPU ได้โดยตรงกว่า ซึ่งเมื่อผลออกมาจริงๆ ก็พบว่า Samsung Galaxy S III ยังเรนเดอร์ได้ดีกว่า iPhone 5 อยู่เล็กน้อย แต่ก็ถือว่าสูงกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ทุกตัวในตลาดอยู่ดี

    BrowserMark (คะแนนมากกว่า = ดีกว่า)

    เรื่องผลการทดสอบ BrowserMark ขอยกมาจากผลการทดสอบของ Anandtech แล้วกันนะครับ เนืื่องจากเว็บไซต์สำหรับทดสอบไม่สามารถเปิดใช้งานได้

    ผลเทสนี้จะเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของเบราเซอร์ด้วยการรัน JavaScript เเละการเรนเดอร์ HTML ซึ่งความเร็วเเละสถาปัตยกรรมซีพียูมีผลสำคัญต่อคะเเนน โดยผลออกมาก็คือ iPhone 5 สามารถทำคะแนนได้สูงสุดกว่าสมาร์ทโฟนทุกรุ่นในตลาด ซึ่งก็คงเป็นผลมาจากสองส่วนคือทั้งฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะนี้ กับตัวของ Safari ที่ได้รับการปรับให้สามารถรีดประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์มาได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังทำคะแนนทิ้งห่าง iPhone 4S ที่ใช้ iOS 6 เหมือนกับถึงเกือบสองเท่าเลย

    ส่วนถ้าให้พูดถึงความรู้สึกทั่วไปในด้านประสิทธิภาพการทำงานของ iPhone 5 นั้น ที่ตอบได้แน่ๆ ก็คือลื่นเหมือนเดิมครับ ทั้งส่วนของอนิเมชัน ทรานซิชันต่างๆ ระหว่างการเปลี่ยนหน้าจอ แต่จุดที่จะเห็นได้ชัดว่าเร็วกว่า iPhone 4 / 4S ก็เช่น

    • การเปิดแอพที่เปิดมาพร้อมใช้งานได้เร็วขึ้น เช่น แอพกล้อง แอพที่ต้องโหลดข้อมูลก่อนเปิดเยอะๆ รวมไปถึงเกมที่โหลดได้เร็วขึ้นมากๆ

    • การเรนเดอร์หน้าเว็บของ Safari

    • ความเร็วในการเปิดเครื่อง

    โดยถ้าให้ฟันธงว่าดีจนคุ้มค่าที่จะเปลี่ยนจาก iPhone 4S มาเป็น iPhone 5 หรือไม่ ความเห็นส่วนตัวผมว่ายังไม่ถึงกับคุ้มค่าถึงขนาดว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนทันทีทันใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ายังพอใจกับเครื่องของตนอยู่ ส่วนถ้าใครใช้งาน iPhone 4 หรือ 3GS อยู่ แล้วได้ลองใช้งาน iPhone 5 ก็จะรู้สึกถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้นได้ชัดกว่า iPhone 4S มาก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจ (และเงิน) เป็นหลักด้วยครับ เพราะถ้าเรายังพอใจ และใช้งานเครื่องของเราได้ดีอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าเครื่องเก่ามันเริ่มช้าแล้ว รวมไปถึงอยากใช้ Ecosystem ของ Apple (และเงินถึง) การเปลี่ยนมาใช้ iPhone 5 ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ?

    ?

    ความร้อนขณะใช้งาน (ที่อุณหภูมิห้องเกือบๆ 30 องศา)

    ขณะใช้งานทั่วไป

    อุณหภูมิขณะใช้งาน iPhone 5 ในการทำงานทั่วไป เช่น Facebook Twitter เปิดเว็บด้วย Safari พบว่าอุณหภูมิส่วนของ CPU (ฝั่งซ้ายของตัวเครื่องด้านหลัง) มีอุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 41.2 องศาเซลเซียสครับ รวมไปถึงส่วนที่น่าสนใจมึอุณหภูมิดังนี้

    • แบตเตอรี่ (ด้านหลังฝั่งขวา) – 39.3 องศา

    ขณะเล่นเกม

    อุณหภูมิขณะใช้งาน iPhone 5 ในการเล่นเกมอย่าง Infinity Blade 2 พบว่าอุณหภูมิส่วนของ CPU (ฝั่งซ้ายของตัวเครื่องด้านหลัง) มีอุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 48 องศาเซลเซียสครับ รวมไปถึงส่วนที่น่าสนใจมึอุณหภูมิดังนี้

    • แบตเตอรี่ (ด้านหลังฝั่งขวา) – 46.8 องศา

    • หน้าจอ – 43.7 องศา

    ขณะใช้งาน Maps

    อุณหภูมิขณะใช้งาน iPhone 5 ในการใช้งานโหมด 3D ใน Apple Maps พบว่าอุณหภูมิส่วนของ CPU (ฝั่งซ้ายของตัวเครื่องด้านหลัง) มีอุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 57 องศาเซลเซียสครับ รวมไปถึงส่วนที่น่าสนใจมึอุณหภูมิดังนี้

    • แบตเตอรี่ (ด้านหลังฝั่งขวา) – 52.4 องศา

    • หน้าจอ – 45.5 องศา

    น่าเสียดายที่เราไม่ได้เก็บข้อมูลความร้อนเครื่องขณะถ่ายวิดีโอติดต่อกันนานๆ ไว้ด้วย เพราะความร้อนของตัวเครื่องสูงกว่าการใช้งานโหมด 3D ใน Maps ซะอีกครับ แต่ต้องย้ำว่าถ่ายเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานหน่อยนะครับ ถึงจะร้อนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพอจับเครื่องได้อยู่

    ?

    สรุปข้อดี/ข้อสังเกตของ iPhone 5

    ข้อดี

    • จอยาวขึ้น สามารถอ่านเนื้อหาได้มากกว่าเดิมนิดหน่อย

    • จอให้สีสันที่ดีกว่าเดิม ภาพคมชัด เนื่องจากมีความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลเท่ากับ 326 ppi เท่าๆ กับ iPhone 4 และ iPhone 4S

    • กล้องสามารถถ่ายรูปได้ดี รวดเร็วและคุณภาพของไฟล์ดีกว่า iPhone 4S ทั้งส่วนของภาพปกติ ภาพพาโนรามาและวิดีโอ

    • พอร์ต Lightning สามารถใช้งานได้สะดวกกว่า Dock แบบ 30 พินแบบเดิมมาก

    • ลำโพงเสียงดังกว่าเดิม

    • ตัวเครื่องบางและเบาลง จับได้ถนัดมือเหมือนเดิม

    • ความร้อนของเครื่องขณะทำงานหนักไม่สูงเท่ากับ iPhone 4/4S

    • ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า iPhone 4S และ iPhone รุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน

    • สามารถเปิดใช้งานแอพ เปิดหน้าเว็บได้เร็วกว่าเดิม

    • เหมาะกับการใช้งาน iOS 6 มากกว่า iPhone รุ่นเก่าที่ใช้จอขนาด 3.5 นิ้ว

    • สามารถชมภาพยนตร์ที่ใช้อัตราส่วนภาพ 16:9 ได้เต็มจอ

    ข้อสังเกต

    • ส่วนที่เป็นอะลูมิเนียมลอก ถลอก และบิ่นได้ง่ายกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้านี้มาก จึงอาจต้องใช้ด้วยความระมัดระวังหรือหาเคส/ติดฟิล์มกันรอยเพื่อป้องกันตัวเครื่อง

    • ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่น่าจะไม่ต่างจาก iPhone 4S มากนัก

    • แอพที่รองรับการใช้งานบนจอขนาด 4 นิ้วของ iPhone 5 ยังไม่มากนัก อาจต้องรอซักเล็กน้อยถึงจะใช้งานหลายๆ แอพได้เต็มจอ

    • Apple Maps ยังไม่เหมาะกับการใช้งานจริงจัง ใช้เป็นของเล่นไว้โชว์ 3D ก่อนน่าจะดีกว่า

    • การเปลี่ยนแปลงโดยรวมดูไม่ว้าวมากนัก เพราะกลยุทธ์ของ Apple ดูจะเป็นการอัพเดตแบบ Minor Change มากกว่า

    หน้าต่อไป เชิญพบกับคำถามยอดฮิตของ iPhone 5 กันต่อครับ

    1 2 3 4
    iPhone 5
    Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    ZeroSystem

    Related Posts

    วิธีเปลี่ยนรหัสเฟสบุ๊คทำยังไง ถ้าลืมรหัสเฟสบุ๊คเก่าต้องทำยังไงบ้างในโทรศัพท์แบบง่ายๆ ปี 2025

    16 พฤษภาคม 2025

    แนะนำ 20 ซีรี่ย์ฝรั่ง Netflix น่าดูในปี 2025 เนื้อเรื่องสนุกๆ หลากหลายแนวที่ไม่ควรพลาด!

    16 พฤษภาคม 2025

    รวมโทรศัพท์ติดโปร AIS ล่าสุดทุกรุ่นปี 2568 มีส่วนลดค่าเครื่องติดโปรเท่าไหร่บ้างเมื่อซื้อพร้อมแพ็กเกจ

    15 พฤษภาคม 2025

    Comments are closed.

    หัวข้อทั้งหมด

    รวมโทรศัพท์ Samsung ทุกรุ่นพร้อมราคาล่าสุดกลางปี 2025 ที่วางขายมีรุ่นไหนราคาเท่าไหร่บ้าง

    19 พฤษภาคม 2025

    Apple อาจไม่เปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ จนกว่าจะถึง AirPods Pro 3 ในปี 2026

    19 พฤษภาคม 2025

    Apple อาจไม่เผยฟีเจอร์ใหม่ของ Siri ใน WWDC25 มากนัก และอาจเปิดให้ผู้ใช้ใน EU เปลี่ยนไปใช้ผู้ช่วยอื่นได้

    19 พฤษภาคม 2025

    แนะนำมือถือ Samsung ใช้งานง่าย งบ 5,000 / 10,000 / 15,000 / 20,000

    19 พฤษภาคม 2025

    มือถือรุ่นยอดนิยม

    Honor X7

    Honor X7

    6,299 บาท
    Honor X8

    Honor X8

    7,999 บาท
    Honor X9

    Honor X9

    9,299 บาท
    HTC Desire 22 Pro

    HTC Desire 22 Pro

    0 บาท
    Huawei Nova 10 Pro

    Huawei Nova 10 Pro

    24,990 บาท
    ดูมือถือทั้งหมด
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    ยอมรับ
    X