ซอฟต์แวร์และประสิทธิภาพ
iOS 6
ในการเปิดตัว iPhone 5 นี้ อีกนัยหนึ่งก็ถือเป็นการเปิดตัว iOS 6 อย่างเป็นทางการด้วย เพราะฟีเจอร์บางอย่างใน iOS 6 ได้ถูกออกแบบมาสำหรับ iPhone 5 ให้สามารถใช้งานได้สะดวกกว่า iPhone 4S, iPhone 4 รวมไปถึง iPhone 3GS ที่ได้รับการอัพเดตเป็น iOS 6 ด้วยกันทั้งหมด เนื่องจากมีการปรับหน้าตาบางส่วนของแอพหลายๆ ตัวให้แสดงผลได้ดีขึ้นบนจอที่ยาวขึ้นกว่าเดิม ช่วยให้สามารถอ่านข้อมูลได้ต่อเนื่องต่อการเลื่อนหน้าหนึ่งครั้งมากขึ้น เอาเป็นว่าเราไปดูกันดีกว่าครับว่ามีซอฟต์แวร์ใดที่มีการเปลี่ยนแปลงและดูน่าสนใจกันบ้าง โดยรูปใดที่เป็นรูปเปรียบเทียบกัน ฝั่งซ้ายจะเป็นรูปจาก iPhone 5 iOS 6 ส่วนฝั่งขวาจะเป็นรูปจาก iPhone 4 iOS 6 นะครับ?
เริ่มกันที่หน้า Lockscreen ก่อนเลยแล้วกัน เห็นได้ชัดว่าเมื่อความยาวจอเพิ่มขึ้น ก็สามารถแสดง wallpaper ได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับเวลาที่มี notification แสดงค้างอยู่ จำนวน notification ที่แสดงขึ้นมาก็จะมีมากขึ้นด้วย?
หน้า Homescreen ก็ยังคงรูปแบบเดิมตามสไตล์ของ iOS นั่นคือการใช้ไอคอนเป็นหลัก แต่จุดที่ต่างก็คือจำนวนแถวที่สามารถแสดงผลไอคอนได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 4 แถวแนวตั้ง มาเป็น 5 แถว?
นอกเหนือจากจำนวนแถวของไอคอนที่เพิ่มมาแล้ว จำนวนไอคอนแอพในแต่ละโฟลเดอร์ก็ได้รับผลจากการที่จอยาวขึ้นด้วย โดยทำให้แต่ละโฟลเดอร์สามารถบรรจุแอพได้มากขึ้นเป็น 16 แอพ จากเดิมที่ใส่ได้แค่ 12 แอพเท่านั้น แถมใน iOS 6 ยังมีสัญลักษณ์บอกด้วยว่าแอพใดเป็นแอพที่ติดตั้งมาใหม่และยังไม่เคยเปิดใช้งานเลย โดยสังเกตได้จากแถบคาดสีฟ้าที่ข้างในมีคำว่า New เขียนอยู่
ส่วนในหน้าปุ่มกดโทรศัพท์ก็มีการเปลี่ยนหน้าตาจากเดิมใน iOS รุ่นผ่านๆ มาจะใช้เป็นหน้าจอสีดำๆ พอมาใน iOS 6 มีการเปลี่ยนเป็นโทนสีขาวแบบมีมิติความลึกลงไปนิดหน่อย และที่สำคัญก็คือ หน้าจอใน iPhone 5 จะมีการขยายพื้นที่ในหลายๆ ส่วนมากขึ้น ทั้งตัวปุ่มที่ดูสูงขึ้นเล็กน้อย รวมไปถึงตรงแถบแสดงตัวเลขที่สูงและตัวเลขมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร
ที่น่าสนใจก็คือเรื่องของปุ่มคีย์บอร์ดใน iPhone 5 ครับ ซึ่งเมื่อจับมาเทียบกันแล้ว พบว่ายังคงขนาดเท่าเดิม ทั้งด้านความกว้างและความสูง แต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือพื้นที่ในการแสดงเนื้อหาเบื้องหลังของหน้าจอแอพที่เราใช้งานอยู่ จะมีพื้นที่เหลือมากขึ้น ทำให้สามารถอ่านเนื้อหาของแอพในขณะที่เราพิมพ์ได้มากกว่าเดิมพอสมควร
หรือจะเป็นแป้นคีย์บอร์ดภาษาไทย ที่ในที่สุดก็กลายเป็นแบบ 4 แถวแบบเดียวกับในคอมพิวเตอร์ตามที่หลายคนเรียกร้องกันมานาน ซึ่งขนาดของปุ่มทั้งใน iPhone 5 จอ 4 นิ้วและ iPhone 4 ที่ใช้จอ 3.5 นิ้วก็ยังคงใช้ปุ่มที่มีขนาดเท่ากันอยู่ดี
เมื่อลองใช้งานคีย์บอร์ดในแนวนอน จะเห็นว่าปุ่มมีความกว้างขึ้นเล็กน้อย ความสูงเท่าเดิม ช่องห่างระหว่างปุ่มก็เท่าๆ เดิม แต่จะมีพื้นที่ขอบทั้งฝั่งซ้ายและขวาเพิ่มขึ้นมามากพอตัว จับพื้นที่ว่างของสองฝั่งรวมกัน น่าจะได้ขนาดความกว้างประมาณ 1 ปุ่มได้เลย
แน่นอนว่าการที่จอยาวขึ้น จำนวนข้อมูลของการแสดงผลต่อหน้าก็ต้องมากขึ้น อย่างในตัวอย่างหน้าการตั้งค่า iCloud ด้านบนนี้ จะเห็นว่าใน iPhone 5 สามารถแสดงตัวเลือกทุกข้อออกมาได้ครบถ้วนในหน้าจอเดียวเลย
ดูกันต่อในแอพ Facebook ซึ่งรองรับการแสดงผลบนจอ iPhone 5 แบบเต็มตัว ซึ่งข้อที่เหนือกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้าที่ใช้จอ 3.5 นิ้วก็คือสามารแสดงผลต่อหนึ่งหน้าได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ได้มีการยืดอัตราส่วนภาพขึ้นแต่อย่างใด
แต่กับแอพที่ยังไม่รองรับการแสดงผลบนจอ iPhone 5 จะพบว่าการแสดงผลจะมีขอบดำติดอยู่ อย่างตัวของ Instagram จะเห็นได้ชัดว่าบนจอ iPhone 5 จะมีการเหลือพื้นที่ขอบดำบนล่างเอาไว้ เพื่อให้แอพแสดงผลอยู่ตรงกลางจอในอัตราส่วนภาพเท่าเดิม คาดว่าอีกไม่นานคงมีการอัพเดตเพื่อให้สามารถแสดงได้เต็มจอกว่าเดิมได้?
ที่น่าสังเกตก็คือแอพของตัวเครื่องทั้งหลายครับ ที่มีการปรับเปลี่ยนการแสดงผลไปพอสมควร อย่างแอพ Music สำหรับเล่นเพลงนั้น ก็มีการปรับให้แถบเลื่อนที่แสดงตำแหน่งเวลาที่เพลงกำลังเล่นอยู่ รวมไปถึงปุ่ม Repeat และ Shuffle จะถูกตรึงลงมาแสดงผลอย่างถาวรบนหน้าจอ จากที่ใน iPhone รุ่นก่อนหน้า ผู้ใช้ต้องกดไปที่หน้าจอหนึ่งครั้งเพื่อให้แถบดังกล่าวแสดงขึ้นมา และกดอีกครั้งเพื่อให้หายไป
ส่วนการแสดงผลเนื้อเพลงนั้น ต้องใช้การกดหน้าจอหนึ่งครั้งเพื่อให้แสดงขึ้นมา และกดอีกครั้งถ้าต้องการให้หายไปครับ
แอพ Passbook ก็รองรับการแสดงผลบนจอ iPhone 5 เต็มที่เช่นเดียวกัน โดยสามารถแสดงผลข้อมูลให้เราได้ครบถ้วนและเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่าบนจอ 3.5 นิ้ว แต่ในเมืองไทยก็คงยังไม่สามารถใช้งานได้ Passbook ได้เต็มที่ในขณะนี้ครับ คงต้องรอกระแสไปอีกซักระยะหนึ่ง
ในหน้าของ App Store ก็มีการปรับเปลี่ยนการแสดงผลไปจากเดิมมากทีเดียว โดยจะเน้นการเลื่อนหน้าในแนวนอนมากกว่าเดิมที่ใช้การเลื่อนในแนวตั้งเป็นหลัก ซึ่งก็ทำให้หน้าตาโดยรวมดูดีขึ้นมาก แต่การใช้งานแรกๆ อาจจะไม่ชินไปหน่อย เพราะแต่เดิมอาศัยการเลื่อนหน้าจอบน-ล่างแบบยาวๆ เป็นหลัก
ซึ่งการเลื่อนไปทางซ้าย-ขวาในแบบนี้ ช่วยทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องสกรอลหน้าลงมาบ่อยก็จริง แต่การแสดงผลแอพมาให้เลือกในแต่ละหน้า แต่ละหมวดก็จะน้อยลงไปด้วย ทำให้ไม่เห็นตัวเลือกแอพมากเท่ากับแต่ก่อน ก็นับว่าแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไปครับ
ในหน้าจอเลือกแอพจากการค้นหา การแสดงผลบนจอ 4 นิ้วของ iPhone 5 และจอ 3.5 นิ้วของ iPhone 4 จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของขนาดรูปพรีวิวที่มีความยาวไม่เท่ากันเนื่องด้วยขนาดของจอ
อย่างการแสดงผลรายละเอียดของแต่ละแอพก็จะมีความแตกต่างชัดเจน คือจอ iPhone 5 จะสามารถแสดงภาพพรีวิวของแอพได้เต็มภาพพอดี ส่วนจอ 3.5 นิ้วจะแสดงได้ไม่เต็ม ทำให้ผู้ใช้ต้องเลื่อนหน้าจอลงมา
ส่วนใครที่ใช้งาน Calendar ใน iPhone อยู่ คงรู้สึกดีขึ้นมาทีเดียวเมื่อมันสามารถแสดงผล Event ได้จำนวนมากขึ้นกว่าเดิม จากหนึ่งครึ่งไปเป็นสาม ทำให้สามารถดูข้อมูลตารางนัดหมายในแต่ละวันได้สะดวกขึ้นมากๆ
หน้าจอแสดงข้อมูลสภาพอากาศในแอพ Weather ก็สามารถแสดงข้อมูลสภาพอากาศย่อยตามช่วงเวลารายชั่วโมงในแต่ละวันได้สบายๆ
การแสดงผลหน้าเว็บในแนวนอนก็น่าสนใจไม่น้อยเลย โดยใน iPhone 5 จะใช้การขยายอัตราส่วนภาพภายในเว็บขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้สามารถแสดงบนจอได้พอดีและดูดี แต่ก็ยังคงเหลือแถบเมนูของ Safari อยู่ดี ซึ่งใน iOS 6 จะมีปุ่ม Full Screen อยู่ตรงมุมขวาล่างของจอที่จะปรากฏขึ้นมาให้ใช้งานเมื่อมีการแสดงผลในแนวนอนเท่านั้น
เมื่อกดปุ่ม Full Screen แล้วการแสดงผลโดยรวมของหน้าเว็บก็จะถูกขยายขึ้นมาเป็นอัตราส่วนที่เท่าๆ กันทั้งเว็บ โดยหน้าเว็บที่เปิดใน iPhone 5 จะถูกขยายขึ้นมาด้วยอัตราส่วนที่มากกว่า แต่ก็แลกไปด้วยการแสดงผลข้อมูลที่น้อยกว่าในจอ 3.5 นิ้ว อย่างเช่นภาพตัวอย่างด้านบน จะเห็นว่าภาพจากจอ iPhone 5 (ภาพบน) เนื้อหาของหัวข้อ Features หายไป ผิดกับใน iPhone 4 ที่มีการแสดงผลหัวข้อ Features อยู่ แต่ตัวอักษรโดยรวมของหน้าเว็บก็เล็กมากจนมองไม่ค่อยถนัดตานัก แต่ตัวอักษรบนหน้า iPhone 5 จะดูใหญ่กว่าเล็กน้อย
ส่วนในแนวตั้งก็มีการแสดงผลที่เพิ่มจากเดิมมานิดหน่อยครับ ไม่มีการขยายอัตราส่วนของเนื้อหาภายในเว็บแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องการแสดงผลในเกมนั้น เราทดลองด้วยการเล่นเกม Infinity Blade 2 ที่ยังไม่รองรับการแสดงผลบนจอ iPhone 5 แบบเต็มที่ดู พบว่าจะมีการเหลือขอบจอเป็นสีดำอยู่สองด้านคือด้านบนและล่างจอ (เมื่อคิดจากแนวตั้ง) โดยภาพจะแสดงเป็นสัดส่วนเท่ากับบนจอ 3.5 นิ้วครับ ไม่ต้องกลัวว่าตัวเกมจะยืดภาพเลย คาดว่าเกมส่วนใหญ่คงรองรับการแสดงผลบนจอขนาด 4 นิ้ว ความละเอียด 1136 x 640 ของ iPhone 5 ในอีกไม่นานนี้แน่นอน แต่ถ้าเกมที่มีการเรนเดอร์ภาพมหาโหดแบบเช่น Infinity Blade, Horn หรือแนวๆ ภาพอลังการ ดูแล้วการสร้างเกมใหม่น่าจะง่ายกว่าครับ เพราะต้องเรนเดอร์ object ในเกมเพิ่มขึ้นมาเพื่อเติมเต็มพื้นที่ด้านข้าง ซึ่งดูแล้วน่าจะยากสำหรับนักพัฒนาเกมไม่น้อยเลย สู้เอาเวลาไปพัฒนาภาคใหม่ให้รองรับไปเลยน่าจะดีกว่า
แต่ทั้งนี้บางเกมใน App Store ก็ยังคงไม่รองรับ iPhone 5 แบบเต็มที่นัก อย่างเกม Rayman Jungle Run เมื่อดูภาพที่ได้จาก iPhone 5 (ภาพบน) เทียบกับ iPhone 4 (ภาพล่าง) จะเห็นว่าภาพเกมจาก iPhone 5 จะไม่ละเอียด ภาพแตกกว่า iPhone 4 ที่แสดงผลได้อย่างคมชัดกว่ามาก ซึ่งก็สร้างข้อสงสัยได้เหมือนกันว่าทำไมภาพถึงแตกขนาดนี้ ทั้งๆ ที่การเรนเดอร์ภาพก็เรนเดอร์ออกมาที่ความละเอียด 960 x 640 เท่ากัน (ของ iPhone 5 จะเหลือขอบดำด้านซ้าย/ขวา ส่วน iPhone 4 นั้นรันเต็มจอครับ แต่เราเอาภาพมาจัดกลางเพื่อเทียบเฉยๆ ว่ามันเรนเดอร์ภาพมาขนาดเท่ากัน)
ดังนั้นเรื่องของแอพและเกมที่จะรันบน iPhone 5 ก็อาจจะต้องรอซักพักหนึ่งเพื่อให้ทางผู้พัฒนาจัดการปรับปรุงซักเล็กน้อยครับ และก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะความซับซ้อนของทูลพัฒนาและขนาดจอมีความซับซ้อนน้อยกว่าแพลตฟอร์มอื่นมาก
?
การแชร์ที่มากขึ้น
ใน iOS 6 นี้มีการรวม Facebook เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในระบบแล้ว หลังจากมีการรวม Twitter เข้ามาก่อนหน้านี้ ซึ่งหลักๆ แล้ว iOS 6 จะใช้ Facebook ในด้านของการแชร์และการส่งออกข้อมูลจากอุปกรณ์ของเราไปสู่ระบบของ Facebook มากกว่า
โดย Facebook จะเข้ามาอยู่ในส่วนการแชร์เป็นหลัก อย่างเช่นการแชร์รูปภาพ ที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาไปเป็นรูปแบบไอคอนแทน โดยมีการเพิ่ม Facebook และ Photo Stream เข้ามา เพื่อให้สามารถแชร์ภาพได้ง่ายขึ้น
ส่วนรูปทางขวานั้นเป็นปุ่มสำหรับโพสต์สถานะขึ้นบน Facebook ที่มีเพิ่มเข้ามาครับ ทำให้ผู้ที่ชอบโพสต์สถานะ Facebook สามารถทำได้ง่ายมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถแท็กเพื่อนเข้ามาในสถานะจากการโพสต์ที่ระบบแชร์ของ iOS ได้นะครับ ทำได้ก็แค่การระบุสถานที่และการเลือกว่าเราจะโพสแล้วให้กลุ่มใดสามารถเข้าถึงข้อมูลของเราได้บ้าง?
Apple Maps
เป็นแอพที่ตกเป็นเป้าความคาดหวังของผู้ใช้ iOS มาก ว่าจะมาแทนที่ Google Maps ซึ่งอยู่กับผู้ใช้มานาน ผ่านการพัฒนาและปรับปรุงมานานกว่าได้หรือไม่ ซึ่งเท่าที่ทดลองใช้จริงแล้ว พบว่ายังไม่สามารถแทนที่ได้ครับ เนื่องด้วยปัญหาใหญ่เลยคือ POI (Point of Interest) หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆ คือจุดแสดงสถานที่บนแผนที่ในตัว Apple Maps ยังมีไม่ครอบคลุมและมากพอนัก ที่มีส่วนหนึ่งก็เป็นจุดที่ไม่ได้ช่วยเหลือในการใช้งานจริงเท่าไร เช่นเป็นชื่อซอยเล็กๆ แต่สถานที่ใหญ่กว่า เป็นหลักเป็นแหล่งกว่ากลับยังไม่ถูกบันทึกลงไปก็มี ทำให้เวลาใช้งานจริงลำบากมากพอตัว ขนาดแผนที่ในสหรัฐฯ เองก็ยังไม่สามารถแสดงได้ครอบคลุมตามที่ควรจะเป็น ระบบค้นหาก็ไม่สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์
แล้วถ้าแผนที่ในไทยล่ะ ? ขอบอกว่ายิ่งกว่าแผนที่ในสหรัฐฯ เสียอีกครับ เพราะ POI ยังไม่ครอบคลุมมากพอที่จะใช้งานได้จริง การบอกตำแหน่งก็ยังไม่แม่นยำนัก รวมไปถึงข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศที่ไม่ใช่ข้อมูลล่าสุด อย่างผมทดสอบด้วยการเลือกไปที่ห้าง Central World (ภาพด้านบนทางซ้าย) พบว่ายังเป็นภาพสมัยที่ตัวห้างเพิ่งถูกเผาอยู่เลย ส่วนภาพขวานี้เป็นภาพถ่ายของบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิครับ
4 ภาพด้านบนนี้เป็นตัวอย่างการแสดงผลแบบ 3D ของ Apple Maps ซึ่งจะมีการเรนเดอร์ตึกขึ้นมาให้มีลักษณะนูนเสมือนว่าเป็นภาพ 3D ประสบการณ์การใช้งานก็ถือว่าดีทีเดียวครับ เหมือนว่าเป็นของเล่นชิ้นใหม่ใน iOS 6 เลยก็ว่าได้ แต่ทั้งนี้ การใช้งานก็ต้องอาศัยอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา รวมไปถึงอาศัยพลังประมวลผลของเครื่องที่สูงขึ้นด้วย ทำให้ iPhone 4 ไม่สามารถใช้งานโหมด 3D ของ Apple Maps ได้ เนื่องจากพลังของ CPU และ GPU แรงไม่เพียงพอที่จะเรนเดอร์แล้วสามารถใช้งานได้อย่างไหลลื่น
โดยในการใช้งานจริง ก็ทำได้ค่อนข้างดี มีความไหลลื่นระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราเลื่อนหน้าเร็วๆ ก็จะพบกับการเรนเดอร์ภาพไม่ทัน เช่น เราเลื่อนจากตำแหน่ง A ไปตำแหน่ง B บางครั้งส่วนของหน้าตาตึกจะไม่สามารถเรนเดอร์มาได้ทันในการดูภาพครั้งแรก ทำให้ต้องใช้เวลาในการเรนเดอร์เพื่อให้สามารถแสดงรูปตึกได้อย่างสมบูรณ์อีกประมาณ 1-2 วินาที แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเร็วอินเตอร์เน็ตด้วยว่าจะเร็วมากพอให้ดาวน์โหลดข้อมูลบนแผนที่ได้ทันหรือเปล่า
แม้ว่า Apple Maps จะเป็นแผนที่ที่เน้นในการใช้งานในสหรัฐฯ เป็นหลักก็ตาม แต่ก็พบว่าพื้นที่อีกหลายๆ ส่วนในสหรัฐฯ ยังไม่มีข้อมูลให้เรนเดอร์ภาพเป็นแบบ 3D ในแอพ ทำให้การแสดงผลยังดูเป็นแผ่นๆ อยู่ดังในภาพซ้าย ส่วนภาพขวานั้นเป็นภาพแผนที่ในไทยที่ดูเหมือนจะเกือบมี 3D แล้ว แต่ยังคงเป็นแค่พื้นที่นูนๆ ขึ้นมาเป็นบางจุดเท่านั้น ทำให้พอให้สรุปได้ว่าฟีเจอร์การแสดงผล 3D ใน Apple Maps ยังไม่เหมาะกับการใช้งานจริง น่าจะเหมาะกับการใช้งานเล่นๆ ซะมากกว่า ส่วนตัวแผนที่จริงๆ นั้น ส่วนตัวผมคิดว่ารอแอพ Google Maps อย่างเป็นทางการจะดีกว่าครับ
?
ประสิทธิภาพและผล Benchmark
ต่อมาก็ขอพูดถึงประสิทธิภาพกันบ้างครับ โดยตัวสเปกของ iPhone นั้น ใช้ชิปประมวลผลเป็น Apple A6 ที่มีคอร์ในการประมวลผล 2 คอร์ ส่วนชิปประมวลผลกราฟิกนั้นเลือกใช้เป็น PowerVR SGX543MP3 ที่มีคอร์ในการประมวลผลกราฟิก 3 คอร์ด้วยกัน ซึ่งผลทดสอบที่ออกมาก่อนหน้านี้จากชุดทดสอบ GeekBench และการทดสอบการประมวลผล JavaScript ด้วย SunSpider นั้น ให้ผลออกมาว่า iPhone 5 มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงมาก อยู่ในระดับเดียวตัวท็อปที่วางขายแล้วของฝั่ง Android อย่าง Samsung Galaxy S III ทั้งที่มีจำนวนคอร์ประมวลผลทั้ง CPU และ GPU น้อยกว่า
ซึ่งจากการทดสอบของเรา ก็พบว่าผลที่ออกมาเป็นไปตามที่มีผู้ทดสอบกันก่อนหน้านี้ครับ เริ่มต้นด้วย GeekBench ก่อนเลย ซึ่งเป็นการเทียบกันระหว่าง iPhone 5 (ซ้าย) และ iPhone 4S (ขวา)
?
GeekBench for iOS
จะเห็นได้ว่า iPhone 5 มีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่สูงกว่า iPhone 4S อย่างเห็นได้ชัดในทุกๆ ด้าน แต่ทั้งนี้เราขอไม่นำสมาร์ทโฟนฝั่ง Android มาเทียบนะครับ เพราะปัจจัยภายในของทั้งสองแพลตฟอร์มมีความแตกต่างกันมาก จึงอาจทำให้ค่าตัวเลขที่ได้มาไม่สอดคล้องกับประสิทธิภาพจริงๆ ของตัวเครื่อง ประกอบกับคะแนนที่ได้มาค่อนข้างจะมีการแกว่งมาก แต่ถ้าให้สรุปจากแนวโน้มของคะแนน GeekBench ก็ขอสรุปเป็นว่า iPhone 5 แรงพอๆ กับ Samsung Galaxy S III เลย (แต่อย่าลืมนะว่าคอร์ประมวลผลของ iPhone 5 มีจำนวนน้อยกว่า S III)
?
Sunspider Javascript Benchmark (คะเเนนน้อยกว่า = ดีกว่า)
SunSpider เป็นการวัดพลังในการประมวลผล JavaScript ของตัว CPU โดยตรง ไม่ได้ใช้พลังและชุดคำสั่งของเว็บเบราเซอร์ช่วยในการทำงานเลย ทำให้เป็นการทดสอบที่ชี้วัดพลังประมวลผลของ CPU ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากผลการทดสอบก็พบว่าชิป Apple A6 สามารถรัน JavaScript ต่างๆ ได้ในเวลาที่เร็วที่สุดเพียง 942.6 ms เท่านั้น เร็วกว่า Samsung Galaxy S III และแน่นอนว่าเร็วกว่า iPhone 4S ด้วย อันเป็นการแสดงว่าศักยภาพของชิป Apple A6 ตัวนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย แม้ว่าจะเป็นชิป dual-core ก็ตาม
?
GLBenchmark Egypt High (คะเเนนมากกว่า = ดีกว่า)?
ต่อมาก็เป็นการวัดผลส่วนของ GPU กันต่อ ด้วยแอพ GLBenchmark ที่มีใน iOS ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าเทียบจากคะแนนแล้ว iPhone 5 นั้นก็สามารถทำได้ในระดับเดียวกับ Samsung Galaxy S III เลยทีเดียว และไม่แน่เฟรมเรตอาจจะสูงกว่า 60 ก็ได้ แต่เนื่องจากติด VSync อยู่ ทำให้ถูกจำกัดไว้แค่ 60 fps เท่านั้น แต่ในส่วนของการเทสในโหมดปกตินี้ จะมีการนำเรื่องของขนาดความละเอียดหน้าจอเข้ามาเป็นปัจจัยการเรนเดอร์และคิดคะแนนด้วย ซึ่งถ้าอยากวัดจริงๆ ต้องดูผลอันถัดไปครับ
?
GLBenchmark Egypt Offscreen?(คะเเนนมากกว่า = ดีกว่า)?
เมื่อลองทดสอบ GLBenchmark ในโหมด Offscreen ซึ่งจะบังคับให้เรนเดอร์ในความละเอียดระดับ 720p เท่านั้น ทำให้ผลการทดสอบในโหมดนี้สามารถใช้วัดประสิทธิภาพของ GPU ได้โดยตรงกว่า ซึ่งเมื่อผลออกมาจริงๆ ก็พบว่า Samsung Galaxy S III ยังเรนเดอร์ได้ดีกว่า iPhone 5 อยู่เล็กน้อย แต่ก็ถือว่าสูงกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ทุกตัวในตลาดอยู่ดี
BrowserMark (คะแนนมากกว่า = ดีกว่า)
เรื่องผลการทดสอบ BrowserMark ขอยกมาจากผลการทดสอบของ Anandtech แล้วกันนะครับ เนืื่องจากเว็บไซต์สำหรับทดสอบไม่สามารถเปิดใช้งานได้
ผลเทสนี้จะเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของเบราเซอร์ด้วยการรัน JavaScript เเละการเรนเดอร์ HTML ซึ่งความเร็วเเละสถาปัตยกรรมซีพียูมีผลสำคัญต่อคะเเนน โดยผลออกมาก็คือ iPhone 5 สามารถทำคะแนนได้สูงสุดกว่าสมาร์ทโฟนทุกรุ่นในตลาด ซึ่งก็คงเป็นผลมาจากสองส่วนคือทั้งฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะนี้ กับตัวของ Safari ที่ได้รับการปรับให้สามารถรีดประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์มาได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังทำคะแนนทิ้งห่าง iPhone 4S ที่ใช้ iOS 6 เหมือนกับถึงเกือบสองเท่าเลย
ส่วนถ้าให้พูดถึงความรู้สึกทั่วไปในด้านประสิทธิภาพการทำงานของ iPhone 5 นั้น ที่ตอบได้แน่ๆ ก็คือลื่นเหมือนเดิมครับ ทั้งส่วนของอนิเมชัน ทรานซิชันต่างๆ ระหว่างการเปลี่ยนหน้าจอ แต่จุดที่จะเห็นได้ชัดว่าเร็วกว่า iPhone 4 / 4S ก็เช่น
-
การเปิดแอพที่เปิดมาพร้อมใช้งานได้เร็วขึ้น เช่น แอพกล้อง แอพที่ต้องโหลดข้อมูลก่อนเปิดเยอะๆ รวมไปถึงเกมที่โหลดได้เร็วขึ้นมากๆ
-
การเรนเดอร์หน้าเว็บของ Safari
-
ความเร็วในการเปิดเครื่อง
โดยถ้าให้ฟันธงว่าดีจนคุ้มค่าที่จะเปลี่ยนจาก iPhone 4S มาเป็น iPhone 5 หรือไม่ ความเห็นส่วนตัวผมว่ายังไม่ถึงกับคุ้มค่าถึงขนาดว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนทันทีทันใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ายังพอใจกับเครื่องของตนอยู่ ส่วนถ้าใครใช้งาน iPhone 4 หรือ 3GS อยู่ แล้วได้ลองใช้งาน iPhone 5 ก็จะรู้สึกถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้นได้ชัดกว่า iPhone 4S มาก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจ (และเงิน) เป็นหลักด้วยครับ เพราะถ้าเรายังพอใจ และใช้งานเครื่องของเราได้ดีอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าเครื่องเก่ามันเริ่มช้าแล้ว รวมไปถึงอยากใช้ Ecosystem ของ Apple (และเงินถึง) การเปลี่ยนมาใช้ iPhone 5 ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ?
?
ความร้อนขณะใช้งาน (ที่อุณหภูมิห้องเกือบๆ 30 องศา)
ขณะใช้งานทั่วไป
อุณหภูมิขณะใช้งาน iPhone 5 ในการทำงานทั่วไป เช่น Facebook Twitter เปิดเว็บด้วย Safari พบว่าอุณหภูมิส่วนของ CPU (ฝั่งซ้ายของตัวเครื่องด้านหลัง) มีอุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 41.2 องศาเซลเซียสครับ รวมไปถึงส่วนที่น่าสนใจมึอุณหภูมิดังนี้
-
แบตเตอรี่ (ด้านหลังฝั่งขวา) – 39.3 องศา
ขณะเล่นเกม
อุณหภูมิขณะใช้งาน iPhone 5 ในการเล่นเกมอย่าง Infinity Blade 2 พบว่าอุณหภูมิส่วนของ CPU (ฝั่งซ้ายของตัวเครื่องด้านหลัง) มีอุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 48 องศาเซลเซียสครับ รวมไปถึงส่วนที่น่าสนใจมึอุณหภูมิดังนี้
-
แบตเตอรี่ (ด้านหลังฝั่งขวา) – 46.8 องศา
-
หน้าจอ – 43.7 องศา
ขณะใช้งาน Maps
อุณหภูมิขณะใช้งาน iPhone 5 ในการใช้งานโหมด 3D ใน Apple Maps พบว่าอุณหภูมิส่วนของ CPU (ฝั่งซ้ายของตัวเครื่องด้านหลัง) มีอุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 57 องศาเซลเซียสครับ รวมไปถึงส่วนที่น่าสนใจมึอุณหภูมิดังนี้
-
แบตเตอรี่ (ด้านหลังฝั่งขวา) – 52.4 องศา
-
หน้าจอ – 45.5 องศา
น่าเสียดายที่เราไม่ได้เก็บข้อมูลความร้อนเครื่องขณะถ่ายวิดีโอติดต่อกันนานๆ ไว้ด้วย เพราะความร้อนของตัวเครื่องสูงกว่าการใช้งานโหมด 3D ใน Maps ซะอีกครับ แต่ต้องย้ำว่าถ่ายเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานหน่อยนะครับ ถึงจะร้อนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพอจับเครื่องได้อยู่
?
สรุปข้อดี/ข้อสังเกตของ iPhone 5
ข้อดี
-
จอยาวขึ้น สามารถอ่านเนื้อหาได้มากกว่าเดิมนิดหน่อย
-
จอให้สีสันที่ดีกว่าเดิม ภาพคมชัด เนื่องจากมีความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลเท่ากับ 326 ppi เท่าๆ กับ iPhone 4 และ iPhone 4S
-
กล้องสามารถถ่ายรูปได้ดี รวดเร็วและคุณภาพของไฟล์ดีกว่า iPhone 4S ทั้งส่วนของภาพปกติ ภาพพาโนรามาและวิดีโอ
-
พอร์ต Lightning สามารถใช้งานได้สะดวกกว่า Dock แบบ 30 พินแบบเดิมมาก
-
ลำโพงเสียงดังกว่าเดิม
-
ตัวเครื่องบางและเบาลง จับได้ถนัดมือเหมือนเดิม
-
ความร้อนของเครื่องขณะทำงานหนักไม่สูงเท่ากับ iPhone 4/4S
-
ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า iPhone 4S และ iPhone รุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน
-
สามารถเปิดใช้งานแอพ เปิดหน้าเว็บได้เร็วกว่าเดิม
-
เหมาะกับการใช้งาน iOS 6 มากกว่า iPhone รุ่นเก่าที่ใช้จอขนาด 3.5 นิ้ว
-
สามารถชมภาพยนตร์ที่ใช้อัตราส่วนภาพ 16:9 ได้เต็มจอ
ข้อสังเกต
-
ส่วนที่เป็นอะลูมิเนียมลอก ถลอก และบิ่นได้ง่ายกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้านี้มาก จึงอาจต้องใช้ด้วยความระมัดระวังหรือหาเคส/ติดฟิล์มกันรอยเพื่อป้องกันตัวเครื่อง
-
ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่น่าจะไม่ต่างจาก iPhone 4S มากนัก
-
แอพที่รองรับการใช้งานบนจอขนาด 4 นิ้วของ iPhone 5 ยังไม่มากนัก อาจต้องรอซักเล็กน้อยถึงจะใช้งานหลายๆ แอพได้เต็มจอ
-
Apple Maps ยังไม่เหมาะกับการใช้งานจริงจัง ใช้เป็นของเล่นไว้โชว์ 3D ก่อนน่าจะดีกว่า
-
การเปลี่ยนแปลงโดยรวมดูไม่ว้าวมากนัก เพราะกลยุทธ์ของ Apple ดูจะเป็นการอัพเดตแบบ Minor Change มากกว่า
หน้าต่อไป เชิญพบกับคำถามยอดฮิตของ iPhone 5 กันต่อครับ