หลังจากเรามีบทความทั้งเรื่องการ Hands-on และ?แกะกล่อง iPhone 5 ไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาของการรีวิว iPhone 5 กันบ้าง โดยตัวของ iPhone 5 นั้น ถ้าให้นับรุ่นจริงๆ จะถือว่าเป็น iPhone รุ่นที่ 6 ของ Apple ซึ่งในแต่ละรุ่น ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามีการพัฒนาและปรับเปลี่่ยนแบบเป็นขั้นตอน เช่นการเปลี่ยนหน้าตาจาก iPhone ไปเป็น iPhone 3G จากนั้นก็เพิ่มเติมฟีเจอร์ผสมกับเปลี่ยนหน้าตาเล็กน้อยใน iPhone 3GS หลังจากนั้นก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน iPhone 4 แล้วมาเน้นปรับเปลี่ยนสเปกภายในเป็นหลักอย่างใน iPhone 4S
ทำให้หลายๆ คนคาดหวังว่า iPhone 5 จะมีการเปลี่ยนแปลงถึงขนาดขั้นพลิกโฉมวงการสมาร์ทโฟน จึงเกิดเป็นความคาดหวังที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับในช่วงก่อนการเปิดตัว มีทั้งข่าวและรูปหลุดที่เชื่อว่าจะเป็น iPhone 5 ออกมาอย่างมากมาย จากนั้นเมื่อถึงการเปิดตัวจริงๆ ก็พบว่ามันเป็นไปตามข่าวลือแทบจะ 100% โดยมีการกล่าวถึงในด้านการเปลี่ยนแปลงของ iPhone 5 ในด้านหลักๆ ก็คือเรื่องหน้าจอและตัวเครื่องที่ยาวขึ้นแต่เพียงเท่านั้น แต่เมื่อทางเราได้สัมผัสและลองใช้งานจริงแล้ว พบว่ามันมีอะไรที่ซ่อนอยู่มากกว่าความยาวของหน้าจอครับ ในหน้าแรกนี้เรามาดูในส่วนของฮาร์ดแวร์ iPhone 5 กันก่อนเลยดีกว่า โดยเราจะเน้นเจาะลึกไปทีละส่วนเลยครับ ซึ่งในการรีวิวครั้งนี้เราก็มีทั้ง iPhone 5 สีดำและสีขาวมาให้ชมกันอย่างครบถ้วนเลย
โดยใครที่ต้องการรับชมวิดีโอ สามารถคลิกชมได้จากด้านล่างนี้ครับ
สเปกคร่าวๆ
- ในชิปประมวลผล Apple A6 ประกอบด้วย CPU ความเร็ว 1 GHz เป็น CPU แบบ dual-core และ…
- ชิปกราฟิก PowerVR SGX543MP3 (เป็นชิป 3 คอร์)
- RAM 1 GB
- หน่วยความจำในตัว 16/32/64 GB
- จอขนาดประมาณ 4 นิ้ว ความละเอียด 1136 x 640 ความหนาแน่นเม็ดพิกเซล 326 ppi
- รองรับ 4G และ 3G ทุกเครือข่าย
- กล้องหลังความละเอียด 8 MP กล้องหน้าความละเอียด 1.2 MP
- มีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาว
- สเปก iPhone 5 โดยละเอียด SPEC
โดยถ้าให้พูดถึงเรื่องสเปกเครื่องแล้ว ก็ถือว่าสเปกของ iPhone 5 ล้ำกว่าสมาร์ทโฟนทุกรุ่นในขณะนี้ไปหนึ่งรุ่น โดยถ้าให้ดูจากประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับตัวท็อปของฝั่ง Android คือ Samsung Galaxy S III พบว่าผลการทดสอบส่วนใหญ่ใกล้เคียงกันมาก ทั้งๆ ที่ CPU ของ iPhone 5 เป็นแบบ dual-core ส่วนใน S III เป็นแบบ quad-core รวมไปถึง GPU ด้วยเช่นกัน ประกอบกับข้อมูลก่อนหน้านี้ที่มีออกมาว่าชิป Apple A6 ? เป็นชิปที่ Apple ดัดแปลงพิเศษ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นชิปในตระกูล Cortex-A15 ที่ได้รับการดัดแปลงมา ซึ่งถ้าเป็นไปตามคาดจริงๆ ก็ต้องนับว่าสเปกของ iPhone 5 เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดที่ผ่านมาหรือที่จะออกมาในปีนี้ไปมากทีเดียว
ส่วนของ GPU นั้น PowerVR SGX543MP3 ก็ถือว่าเป็น GPU รุ่นใหม่ในตลาด ซึ่งในขณะนี้มีแต่ The new iPad, iPhone 5 และ PS VITA ที่เป็นเครื่องเล่นเกมเท่านั้น ที่ใช้ชิปในตระกูล SGX543 ส่วนความแรงของการประมวลผลกราฟิกนั้นก็เทียบได้กับ Samsung Galaxy S III ซึ่งใช้ GPU 4 คอร์ ทั้งๆ ที่ iPhone 5 ใช้ GPU เพียงแค่ 3 คอร์เท่านั้น ทำให้มองได้ว่าการอัพเกรดสเปกของ iPhone 5 ในครั้งนี้ไม่ถือว่าน่าเกลียดนัก
การดีไซน์โดยรวม
iPhone 5 นั้น เมื่อมองส่วนของการออกแบบโดยรวมแล้วจะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับ iPhone 4S อยู่พอสมควร ที่เห็นได้ชัดก็เช่นเรื่องของปุ่มกดควบคุมเสียงด้านข้างตัวเครื่องซึ่งยังคงสไตล์เดิมที่ใช้งานได้ดีเอาไว้
ทีนี้เรามาดูด้านกายภาพของตัวเครื่องกันบ้าง iPhone 5 เป็น iPhone ที่ Apple บอกว่าเป็น iPhone ที่บางและเบาที่สุดเท่าที่เคยทำมา โดยมีความหนาของเครื่องอยู่ที่ 7.6 มิลลิเมตรและมีน้ำหนักเพียง 112 กรัมเท่านั้น ในขณะที่สมาร์ทโฟนตัวเด่นๆ ในตลาดมีความหนาและน้ำหนักอยู่ที่
- iPhone 4S หนา 9.3 มิลลิเมตร หนัก 140 กรัม
- iPhone 3GS หนา 12.3 มิลลิเมตร หนัก 135 กรัม
- Samsung Galaxy S III หนา 8.6 มิลลิเมตร หนัก 133 กรัม
- Oppo Finder หนา 6.65 มิลลิเมตร หนัก 125 กรัม
จึงทำให้ iPhone 5 กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในขณะนี้ ส่วนความหนาก็ถือว่าติดเป็นอันดับต้นๆ ในวงการเลย โดยเมื่อลองจับเทียบกับ iPhone 4S จะพบว่าบางกว่าจริงๆ ขนาดที่วางเหรียญบาทเสริมไปอีกหนึ่งเหรียญก็ยังมีความหนาไม่เท่า iPhone 4S เมื่อมองด้วยตาเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการแสดงความสามารถของทาง Apple ในระดับหนึ่ง เพราะในวิดีโอแนะนำ iPhone 5 ได้มีการกล่าวถึงขั้นตอนการพัฒนาด้วยว่า วิศวกรจะต้องออกแบบ iPhone 5 ขึ้นมาให้บางกว่าเดิม แต่ต้องสามารถบรรจุทุกฟีเจอร์ ทุกฟังก์ชันที่มีมาใน iPhone รุ่นก่อนหน้าลงไปในเครื่องให้ได้ ซึ่งก็ยอมรับว่า Apple ทำตรงนี้ออกมาได้ดีทีเดียว
หน้าจอ
เป็นจุดที่มีการพูดถึงกันมากที่สุดของ iPhone 5 เลยครับ สำหรับเรื่องหน้าจอที่ยาวขึ้นเป็นขนาด 4 นิ้วโดยประมาณ ซึ่งเป็นการเพิ่มความยาวในแนวตั้ง ทำให้มีความละเอียดพิกเซลเป็น 1136 x 640 ซึ่งยังคงความเป็นจอที่มีความละเอียดสูงในระดับ Retina Display อยู่เช่นเดิม ส่วนอัตราส่วนจอก็เปลี่ยนไปเป็น 16:9 จากเดิมที่เป็น 3:2 บนขนาดจอ 3.5 นิ้ว ความละเอียด 960 x 640 ใน iPhone รุ่นก่อนหน้า ซึ่งทำให้สามารถแสดงผลวิดีโอที่ถ่ายด้วยกล้องของ iPhone เอง หรือจะเป็นกล้องสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ และกล้องถ่ายวิดีโอส่วนใหญ่ สามารถแสดงผลได้เต็มจอ iPhone 5 พอดี ก็เรียกได้ว่าเป็นการแก้จุดบอดของ iPhone ด้านอัตราส่วนจอที่ตามหลังชาวบ้านมาตลอด โดยในเรื่องของความยาวที่เพิ่มขึ้นนั้น จะเห็นผลชัดสุดก็คือเรื่องการอ่านเนื้อหาที่ต้องใช้การเลื่อนหน้าลงมาอ่านเรื่อยๆ เช่นการอ่าน Feed ของ Facebook หรือ Twitter ที่จะได้รับประโยชน์จากตรงนี้มากทีเดียว
ดังที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเรื่องการแสดงไอคอนแอพในหน้าแรกที่ iPhone 5 (เครื่องซ้าย) จะสามารถแสดงได้มากสุด 5 แถวด้วยกัน และที่สำคัญ ทำให้โฟลเดอร์สามารถบรรจุแอพในแต่ละโฟลเดอร์ได้เป็น 16 แอพแล้ว จากที่ใน iPhone 4S ลงมาจะสามารถใส่ได้โฟลเดอร์ละ 12 แอพเท่านั้น เนื่องด้วยข้อจำกัดของขนาดหน้าจอ ส่วนเรื่องของความลื่นไหลของการใช้งานนับว่ายังเป็นจุดเด่นของ iPhone 5 เช่นเดิม ทั้งนี้มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าภายในมีการติดตั้งชิปที่ช่วยในควบคุมการรับสัมผัสเป็นชิปรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน MacBook Air อีกด้วย
และด้วยความที่ iPhone 5 มีหน้าจอที่ยาวขึ้น ทำให้ Apple เลือกที่จะใส่คีย์บอร์ดภาษาไทยแบบ 4 แถวมาให้จนได้ครับ เนื่องด้วยพื้นที่การแสดงผลเนื้อหาส่วนเหนือคีย์บอร์ดมีมากขึ้น ก็เป็นไปได้ที่ผู้ใช้จะไม่มีปัญหากับการกดคีย์บอร์ดพร้อมๆ กับการอ่านเนื้อหาหรือดูตัวอักษรที่พิมพ์ (แต่อยากบอกว่าปัญหาจริงๆ มันอยู่ที่ขนาดปุ่มมันเล็กไปต่างหาก)
สามภาพด้านบนนี้ก็เป็นตัวอย่างการแสดงเนื้อหาบนจอเทียบกันระหว่าง iPhone 4S และ iPhone 5 ครับ จะเห็นได้ชัดว่า iPhone 5 สามารถแสดงรูปใน Camera Roll ของ Photo ได้จำนวนภาพต่อหนึ่งหน้าจอเยอะกว่า รวมไปถึงเนื้อหาที่แสดงในแอพ Facebook ก็มากขึ้นด้วย ซึ่งจุดนี้อาจจะไม่ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบของ iPhone 5 และ iPhone รุ่นก่อนหน้ามากนัก แต่ข้อต่อไปของเรื่องจอรับรองว่ามีจุดต่างแน่นอนครับ
จากชุดภาพทั้งหมดหกภาพด้านบน เมื่อเทียบสีที่แสดงออกมาจากจอของ iPhone 5 (เครื่องสีขาว) และ iPhone 4S แล้ว พบว่าเรื่องสีสันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่นในเรื่องของความอิ่มและความสดของสีภาพในภาพที่หนึ่งกับสอง ส่วนภาพอื่นๆ ก็จะเห็นว่าจอของ iPhone 5 มีการแสดงโทนสีที่ค่อนข้างครบกว่า iPhone 4S แต่ก็ยังคงความเป็นจอที่แสดงผลสีได้เป็นธรรมชาติดีอยู่ เนื่องด้วย Apple มีการออกแบบโครงสร้างภายในส่วนของจอใหม่ ทำให้สามารถแสดงสีได้มีค่าความอิ่มตัวของสี (Saturation) ที่มากขึ้นกว่าเดิม 44% ผลก็คือเราจะเห็นภาพที่สีสดขึ้นจากจอ iPhone รุ่นก่อนหน้าอีก ประกอบกับการที่จอของ iPhone 5 เป็นจอแบบ IPS ซึ่งมีการแสดงผลของสีที่ค่อนข้างแม่นยำและให้มุมมองในการมองที่กว้างเช่นเดียวกับที่เคยเป็นจุดเด่นในจอของ iPhone 4 และ 4S มาแล้ว ทำให้จอของ iPhone 5 เป็นหนึ่งในจอสมาร์ทโฟนที่แสดงผลได้ดีที่สุดในเวลานี้ ถ้ามองในภาพที่เห็น ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องขนาดหน้าจอ
ส่วนในการใช้งานจริงนั้น จะพบว่าจอติดสีอมเหลืองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกับการใช้งานจริงมากนัก โดยทั้งนี้เมื่อใช้งานไปซักระยะหนึ่งก็คาดว่าน่าจะหายเหลืองตามปกติเหมือนกับ iPhone รุ่นก่อนหน้าที่ผ่านๆ มา แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอบอกว่าจอ iPhone 5 คือหนึ่งในจอสมาร์ทโฟนที่ดีและแสดงผลได้ธรรมชาติที่สุดในขณะนี้ตัวหนึ่งเลยครับ และนอกเหนือจะเรื่องการแสดงผลที่ดีขึ้นแล้ว จอยังมีขนาดบางลงอีกด้วย เนื่องจากการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีจอแบบ In-Cell ซึ่งเป็นการรวมส่วนเซ็นเซอร์รับการสัมผัสจากผู้ใช้มาไว้ในพาเนลจอ ส่งผลให้ตัวเครื่องโดยรวมมีขนาดที่บางลงไปอีก
ความสว่างของจอภาพก็เป็นอีกข้อที่มีการพัฒนาขึ้นมาจากเดิม ซึ่งในจุดนี้ Apple ก็จัดให้ใน iPhone 5 โดยมีการปรับให้จอสามารถแสดงผลได้สว่างกว่าเดิมเมื่อเทียบกับ iPhone 4S ในการปรับระดับความสว่างที่เท่าๆ กัน ซึ่งส่งผลให้สามารถใช้งานในที่ที่มีแสงจ้าได้ดีขึ้นด้วย ทำให้จอ iPhone 5 ไม่ได้มีดีแค่สีสันสวยสดขึ้นเท่านั้น แต่เรื่องของความสว่างจอก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องความละเอียดของภาพและเม็ดพิกเซลนั้น เป็นสิ่งที่ Apple ทำมาได้ดีอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด ดังในตัวอย่างด้านบนเป็นภาพขณะใช้งาน iPhone 5 กลางแจ้ง ซึ่งจอก็สามารถสู้แสงได้ดีพอสมควร มีเงาสะท้อนอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าสมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่นในตลาด เนื่องด้วยมีการเคลือบน้ำยาและฟิล์มบางชนิดมาจากขั้นตอนการผลิตอยู่แล้ว ซึ่งก็มีทาง DisplayMate ให้ความเห็นหลังการทดสอบจอ iPhone 5 แล้วว่าเป็นจอสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในขณะนี้ไปเรียบร้อย
อีกจุดเล็กๆ น้อยที่สังเกตได้ก็คือเรื่องอัตราส่วนของการแสดงภาพ จากในจอขนาด 3.5 นิ้วของ iPhone รุ่นก่อนหน้า การแสดงผลภาพที่ถ่ายมาจากกล้องถ่ายรูปส่วนใหญ่ที่ให้ภาพออกมาในอัตราส่วน 3:2 จะใช้การไม่แสดงผลบางส่วนของภาพ เพื่อให้แสดงภาพได้เต็มจอ ทำให้เวลาจะดูภาพทั้งหมดเต็มๆ ต้องใช้การย่อภาพลงเล็กน้อย
แต่ใน iPhone 5 ที่มีขนาดและอัตราส่วนจอเปลี่ยนแปลงไป ก็ส่งผลกับการแสดงภาพดังกล่าวด้วย โดยเวลาแสดงภาพ ระบบจะเลือกแสดงภาพแบบเต็มภาพ ซึ่งจะทำให้สามารถแสดงภาพออกมาได้ทั้งหมด แต่จะเหลือติดขอบดำอยู่ดังในภาพตัวอย่างด้านบนครับ
ฝาหลังและด้านข้าง
เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของ iPhone 5 เลยทีเดียว กับการเปลี่ยนรูปแบบของตัวเครื่องด้านหลัง จากที่ใช้เป็นแผ่นกระจกปิดมาตั้งแต่ iPhone 4 ล่าสุดใน iPhone 5 ได้เปลี่ยนไปใช้เป็นอะลูมิเนียมที่ขึ้นรูปเป็นแบบ unibody นั่นคือใช้เป็นโครงเครื่องหลักส่วนภายในด้วย ซึ่งการใช้โครงสร้างแบบ unibody นี้ช่วยทำให้ตัวเครื่องบางลงได้ เนื่องจากไม่ต้องใช้โครงสร้างภายในมากมายหลายชิ้น รวมไปถึงความง่ายในการประกอบและการประหยัดต้นทุนในการผลิตลงจากเดิม โดยเรื่องสีของตัวเครื่องนั้น รุ่นที่เป็นสีดำก็จะไม่ถึงกับดำสนิท โดยเฉพาะส่วนของแผ่นอะลูมิเนียมที่ออกจะเป็นโทนสีเทาๆ กว่าเล็กน้อยซึ่งน่าจะเกิดจากการเคลือบสี ส่วนในรุ่นสีขาวก็จะออกเป็นสีเทาๆ เหมือนกับ MacBook ที่น่าจะเป็นสีดั้งเดิมของอะลูมิเนียมที่ Apple เลือกใช้ แต่ในส่วนของแผ่นกระจกเซรามิกที่ปิดหัว/ท้ายของฝาหลังนั้นก็ยังคงเป็นสีดำ หรือขาวเหมือนเดิมครับ
ซึ่งส่วนของอะลูมิเนียมส่วนนอกนี้ ใช้เป็นอะลูมิเนียมประเภทเดียวกับที่ใช้ใน MacBook รุ่นที่ใช้โครงสร้างเป็นแบบ unibody ซึ่งก็คือพวกตระกูล MacBook Pro / MacBook Air รุ่นปัจจุบันนี้ ทำให้มีสัมผัสในการจับที่ลื่นและเนียนมือกว่าอะลูมิเนียมปกติมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เวลาจับใช้งานจริงแล้วลื่นหลุดมือแต่อย่างใด
ความรู้สึกในการใช้งานจริงนั้น เนื่องด้วยความยาวของตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่าต้องส่งผลกระทบกับเรื่องของการจับและการจะกดปุ่ม Back อยู่บ้างไม่น้อย ซึ่งอาจจะทำให้การใช้งานในระยะแรกๆ รู้สึกไม่ชินมือบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าให้เทียบกันแล้ว ก็ไม่ถือว่าต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากครับ ไม่นานก็ชินมือไปเอง แถมยังมีข้อดีกว่าด้วยคือเรื่องของน้ำหนักที่เบามือลงมาก รวมไปถึงความบางของตัวเครื่องที่ช่วยให้จับถือได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังไม่ต้องห่วงเรื่องการจับรอบเครื่องแล้วสัญญาณหายอย่างที่เกิดกับ iPhone 4 ในล็อตแรกๆ ด้วย เพราะ iPhone 5 เปลี่ยนไปใช้โมดูลเสาอากาศภายในเครื่องที่อยู่ตรงส่วนบนแทน
ส่วนการจับเครื่องในแนวนอน เช่นการใช้เล่นเกมนั้นยิ่งทำได้สะดวกกว่าเดิมมาก เพราะมีจุดที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นหน้าจอที่ยาวขึ้น ทำให้ภาพที่แสดงผลบนจอแล้วไม่ถูกมือที่ใช้ควบคุมเกมมาบดบังภาพมีมากขึ้น มองเห็นภาพในเกมได้กว้างขึ้น รวมไปถึงน้ำหนักที่เบาลง ทำให้สามารถยกขึ้นมาใช้เล่นเกมได้เป็นระยะเวลานานๆ โดยเมื่อยมือน้อยลง
ในเรื่องความร้อนของการใช้งาน ก็จัดว่าปกติครับ ไม่ได้ร้อนเกินไปอย่างที่หลายๆ คนคาดคิด โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้งานในกลุ่มโซเชียลที่หลายคนนิยมกันในขณะนี้ เช่น Facebook, Twitter หรือจะเป็น Line อะไรต่างๆ ก็สามารถใช้งานได้นานๆ ไม่มีผลเรื่องความร้อนแต่อย่างใด แต่ถ้าเปิดใช้งานแอพที่ใช้พลังในการประมวลผลหนักๆ นานๆ หน่อย เช่น YouTube, เกม หรือจะเป็นการเปิดแผนที่แล้วเลือกแสดงผลในโหมด 3D ตัวเครื่องก็จะอุ่นๆ ขึ้นมาในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะตรงฝั่งใต้กล้องหลังไปจนถึงเกือบๆ กลางเครื่องที่เป็นตำแหน่งที่ตั้งของชิปประมวลผล Apple A6 หน่วยประมวลผลหลักที่ภายในแพ็คเกจมีรวมอยู่ทั้ง CPU และ GPU ในตัว จึงไม่แปลกที่จะมีความร้อนสูงกว่าบริเวณอื่น โดยเฉพาะการใช้งานแอพแผนที่ในโหมด 3D ที่มีการใช้งานองค์ประกอบโดยรวมแทบทั้งเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล (CPU+GPU) ส่วนรับสัญญาณอินเตอร์เน็ต (WiFi หรือโมดูลรับสัญญาณโทรศัพท์ GSM/4G LTE) แต่ในการจับใช้งานจริงก็ไม่ถึงกับร้อนจนไม่สามารถจับเครื่องได้ ยิ่งใส่เคสครอบด้วยอีก ก็คงจะไม่มีปัญหาความร้อนส่งมาถึงมือมากนัก
แต่ทั้งนี้ ในสื่อต่างประเทศหลายๆ แห่งได้ทดสอบในส่วนของอะลูมิเนียมในด้านความคงทนทั้งส่วนของฝาหลังและขอบข้างของตัวเครื่อง พบว่าสามารถเป็นรอย ลอก ถลอก และบิ่นได้ง่ายกว่า iPhone 4/4S มากจริงๆ โดยเฉพาะในรุ่นสีดำที่เมื่อมีรอยขีดข่วนจะพบว่าผิวที่เป็นสีดำลอกออกมาเห็นเป็นเนื้อสีเทาของอะลูมิเนียมภายใน จึงนับว่าน่าจะเป็นข้อด้อยหลักของ iPhone 5 เลยทีเดียว จึงเป็นไปได้ว่าหลัง iPhone 5 วางจำหน่ายเยอะกว่านี้ เคส, ฟิล์มกันรอยและอุปกรณ์ป้องกันตัวเครื่องวิธีต่างๆ คงจะขายดีแน่นอน สำหรับผู้ที่ซื้อ iPhone 5 มาใช้งาน หรือในอีกทางหนึ่งก็เป็นไปได้ว่า iPhone 5 สีขาวอาจจะขายดีกว่า iPhone 5 สีดำก็เป็นไปได้
มาดูที่ส่วนบน/ล่างกันบ้าง ส่วนนี้จะใช้เป็นกระจกเซรามิกในการปิดทับโครงสร้างเครื่องภายใน โดยสาเหตุที่ต้องใช้เป็นกระจกเซรามิกนั้นก็เพราะว่าตรงส่วนบนของ iPhone 5 มีการติดตั้งเสาอากาศเพื่อรับสัญญาณมาไว้ด้านบนแทน จากที่เคยจัดไว้ตรงส่วนขอบด้านข้างที่เป็นโลหะของ iPhone 4/4S แล้วเกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เช่นเมื่อจับรอบเครื่องแล้วสัญญาณหาย ทำให้ใน iPhone 5 นี้ Apple ทำการเปลี่ยนเสาอากาศรับคลื่นมือถือมาไว้ด้านบนเครื่องเสียเลย แล้วทีนี้การจะใช้กระจกปิดเฉพาะส่วนบนอย่างเดียวก็คงดูไม่งามเท่าไร จึงเปลี่ยนให้ด้านล่างเป็นกระจกด้วยเช่นเดียวกัน และนอกจากเหตุผลเรื่องความสวยงามแล้ว ยังมีเหตุผลที่เป็นเชิงเทคนิคอีกด้วย นั่นคือส่วนด้านล่างของเครื่องก็เป็นจุดที่มีเสารับคลื่น WiFi อยู่ด้วย ทำให้ส่วนล่างของ iPhone 5 ใช้กระจกเซรามิกในการปิดเอาไว้ เพื่อจะได้ประสิทธิภาพของการรับสัญญาณไม่ตกหายไปมากนัก โดย iPhone 5 นี้ เป็น iPhone รุ่นแรกที่รองรับ WiFi ที่ใช้ความถี่คลื่น 5 GHz อีกด้วย นอกเหนือจากความถี่ 2.4 GHz ที่เราใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน ซึ่งตัวของ WiFi 5 GHz นี้เองครับ ที่จะช่วยให้เราสามารถใช้งานเร้าเตอร์ที่รองรับการกระจายคลื่น Wireless N ที่ความเร็วสูงสุด 300 Mbps ได้ด้วย (ทั้งนี้เร้าท์เตอร์หรือ AP ต้องรองรับด้วย)
เมื่อทดลองชั่งน้ำหนักตัวเครื่อง iPhone 5 พบว่ามีน้ำหนักราวๆ 113 กรัม ใกล้เคียงกับที่ Apple ให้ข้อมูลคือ 112 กรัม โดย 1 กรัมที่เพิ่มขึ้นมานั้น เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดของเครื่องชั่ง
Lightning
เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อใน iPhone 5 ก็มีการปรับเปลี่ยนไปไม่น้อย โดยเปลี่ยนไปใช้พอร์ตที่มีชื่อว่า Lightning ซึ่งมีขนาดของช่องและหัวที่ใช้เสียบเล็กลงจาก Dock แบบเดิมมาก และลดจำนวนพินในการเชื่อมต่อจาก 30 ลงมาเหลือเพียง 8 พิน ดังในรูปเปรียบเทียบด้านบน ซึ่งมีความยาวที่น้อยกว่า Dock เดิมประมาณ 3 เท่า ทำให้สามารถปรับเปลี่ยน layout ส่วนสันด้านล่างตัวเครื่องได้ด้วย
จากเรื่องพอร์ตก็มาเป็นเรื่องสาย Lightning กันบ้าง ซึ่งสาย Lightning นี้จะเริ่มใช้เป็นครั้งแรกใน iPhone 5, iPod Touch 5th Generation และ iPod Nano 7th Generation เป็นลำดับแรก จากนั้นสินค้าในไลน์อื่นเช่น iPad ก็คงเปลี่ยนมาใช้ Lightning ในอนาคตเช่นเดียวกัน
โดยตัวสาย Lightning นั้นจะเป็นสีขาวทั้งเส้น หัวเชื่อมต่อมีขนาดเล็กมาก เทียบขนาดได้ราวๆ กับหัวเชื่อมต่อแบบ micro USB ทั้งด้านความกว้างและความหนาของหัวเชื่อมต่อ ส่วนความยาวของหัวเชื่อมต่อจะดูยาวกว่าเล็กน้อย พินเชื่อมต่อแนบลงไปกับเนื้อพลาสติก ทำให้เวลาลูบจะไม่รู้สึกสะดุดนิ้วมากนัก ?ส่วนด้่านข้างของหัวเชื่อมต่อ Lightning นั้นจะมีการทำร่องเว้าลึกลงไปอย่างในรูปทั้งสองฝั่ง ซึ่งร่องทั้งสองนี้จะมีส่วนช่วยในการยึดหัวเชื่อมต่อเอาไว้กับพอร์ตด้านในครับ โดยคาดว่าภายในน่าจะใช้กลไกตัวยึดแบบเขี้ยวสปริงในการล็อกเอาไว้ ไม่ได้ใช้เป็นการยึดด้วยแม่เหล็กเหมือนกับเทคโนโลยี MagSafe ที่ใช้ใน MacBook อย่างที่มีข่าวลือมาก่อนการเปิดตัว iPhone 5
ส่วนใครที่สงสัยในเรื่องความแข็งแรงของการยึดระหว่างสายและพอร์ต Lightning ก็ขอบอกว่าไม่ต้องห่วงเลยครับ สามารถเสียบสายแล้วจับห้อยหัวได้สบายๆ การถอดออกก็ไม่ง่ายเลย ต้องอาศัยแรงพอสมควร เผลอๆ ยังจะแน่นกว่าสาย Dock ที่ใช้กันมาเสียอีก
นาโนซิม
เนื่องด้วยความบางของตัวเครื่อง ทำให้การออกแบบภายในต้องใช้พื้นที่ให้มีประโยชน์มากที่สุด ประกอบกับนาโนซิมได้รับการอนุมัติให้สามารถใช้งานได้ เราจึงได้เห็นการเปลี่ยนมาใช้ซิมการ์ดแบบนาโนซิมใน iPhone 5 เป็นครั้งแรก และเป็นเครื่องแรกของโลกด้วย โดยพื้นที่โดยรวมของนาโนซิมนั้นเล็กกว่าไมโครซิมราวๆ 40% ทั้งในส่วนของขนาดกว้างยาว และความหนาของตัวนาโนซิมที่บางลงกว่าไมโครซิมพอสมควร ดังเทียบง่ายๆ จากในรูปของถาดซิม iPhone 5 (อันสีดำ) กับถาดซิมของไมโครซิม ทำให้ผู้ที่จะใช้งาน iPhone 5 ต้องขอเปลี่ยนเป็นนาโนซิม ซึ่งล่าสุดตอนนี้ก็มีอยู่ 3 ทางเลือก คือ
- ซื้อนาโนซิมใหม่ เปิดเบอร์ใหม่
- ซื้อนาโนซิมใหม่ แต่ขอใช้เบอร์เดิม
- ใช้ไมโครซิมอันเดิม แต่ต้องตัดกรอบด้านข้างออกให้ได้ขนาด และเหลาตัวซิมให้บางลงกว่าเดิม
ซึ่งการขอนาโนซิมนั้น ล่าสุดก็สามารถขอจากผู้ให้บริการเครือข่ายบางส่วนได้แล้ว (รายละเอียดเพิ่มเติม) เรียกได้ว่าเมื่อซื้อ iPhone 5 เมื่อไร ก็แทบจะสามารถใช้งานได้ทันทีเลย ไม่ว่าจะเครื่องหิ้วหรือเครื่องศูนย์ที่เป็นไปได้ว่าอาจจะมาเปิดขายที่ไทยอย่างเป็นทางการในอีกไม่นานนี้
ส่วนเข็มจิ้มที่ใช้จิ้มเพื่อดึงถาดซิมออกมา ก็คือเข็มที่ทำจาก Liquid Metal เช่นเดียวกับของ iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ ทำให้ไม่มีปัญหาในการใช้งานเข็มจากเครื่องเดิม หรือจะใช้ลวดหนีบกระดาษก็สามารถใช้แทนได้เช่นกันอย่างไม่มีปัญหา
แถบด้านข้าง iPhone 5
ส่วนบนของ iPhone 5 นั้นมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของช่องเสียบหูฟังไปอยู่ด้านล่างแทน ทำให้คงเหลือแต่ปุ่มเปิด/ปิดเครื่องเท่านั้น ซึ่งขนาดของปุ่มก็เท่าๆ เดิม ไม่ได้กดยากแต่อย่างใด แต่ในการใช้งานจริงเมื่อลองสัมผัสจะพบว่าเนื้อของวัสดุมีความแตกต่างไปจาก iPhone 4/4S เล็กน้อย คือจะรู้สึกลื่นมือกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการใช้งานครับ
ทางฝั่งขวาของเครื่องก็เป็นส่วนของถาดใส่ซิมการ์ดที่ยังวางอยู่ในตำแหน่งเดิมกับของ iPhone 4/4S นั่นคือส่วนตรงกลางของสันด้านข้างเครื่อง ส่วนที่เป็นขีดตรงหัวและท้ายนั้น ก็คือส่วนที่ต่อเนื่องมาจากแผ่นอะลูมิเนียมที่เป็นฝาหลังครับ
ฝั่งขวาเป็นส่วนของปุ่มควบคุมเสียงของ iPhone 5 ได้แก่ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และสวิตช์เปิดปิดเสียง/ระบบสั่นที่ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมกับ iPhone รุ่นก่อนหน้า แต่ถ้าให้เทียบกันเมื่อวางในมือก็แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องด้วยอัตราส่วนเครื่องที่ยาวขึ้น
ด้านของพอร์ตเชื่อมต่อที่อยู่ด้านล่างที่ใช้เป็นพอร์ต Lightning นั้น เบ้าภายในที่เป็นพลาสติกจะมีความแตกต่างกันระหว่างรุ่นที่เป็นสีขาวและสีดำ โดยรุ่นสีดำก็จะใช้พลาสติกสีดำเช่นเดียวกับตัวเครื่อง ส่วน iPhone 5 เครื่องสีขาวนั้นก็จะใช้เป็นสีเทาๆ เข้ากับฝาหลังและโดยรวมของตัวเครื่องดี สอดคล้องไปกับเบ้าของช่องหูฟังด้วย
ส่วนช่องตะแกรงลำโพงนั้น พูดจริงๆ แล้วมีแต่เพียงฝั่งซ้าย (ฝั่งที่มีช่องตะแกรงมากกว่า) เท่านั้นที่เป็นลำโพง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วของลำโพง iPhone ที่เป็นลำโพงระบบเสียงแบบโมโน ส่วนฝั่งที่มีช่องน้อยกว่านั้นคือช่องรับเสียงของไมค์สนทนาครับ ด้านเสียงที่ได้ออกมาจากลำโพงนั้น เสียงลำโพงของ iPhone 5 ให้เสียงที่ดังกว่าและมีน้ำหนักมากกว่า iPhone 4 และ 4S อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเสียงกลางและเสียงโทนสูง แต่เรื่องการแยกชิ้นเครื่องดนตรียังทำได้ไม่หนีไปจากลำโพงมือถือปกติมากนัก คงเนื่องด้วยความที่เป็นระบบเสียงแบบโมโนด้วย ดังนั้นใครหวังจะใช้ลำโพง iPhone 5 เป็นลำโพงหลักภายในบ้าน ก็คงจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร
เรื่องระบบของไมโครโฟนรับเสียงใน iPhone 5 ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นเดียวกัน โดยมีการเพิ่มไมค์ในเครื่องให้มีด้วยกัน 3 จุด เพื่อทำให้สามารถรับเสียงได้ดีและตัดเสียงรบกวนภายนอกให้ดีขึ้นจาก iPhone 4S โดยไมค์ทั้งสามจุดกระจายอยู่ตามตำแหน่งดังนี้
- อยู่ในจุดเดียวกับลำโพงสนทนา ใกล้กับกล้อง FaceTime (กล้องหน้า)
- อยู่ในตะแกรงด้านล่างเครื่อง ฝั่งเดียวกับช่องเสียบแจ็คหูฟัง
- อยู่ในเครื่อง ใกล้กับกล้อง iSight (กล้องหลัง)
ส่วนขอบขอบเงาๆ ด้านข้างนั้น เป็นขอบที่เกิดจากการตัดอะลูมิเนียมด้วยเพชร ทำให้ได้ขอบมุมที่เป็นเงางาม โดยเฉพาะในเครื่องสีขาวที่ดูสวยงามกว่าสีดำที่ออกจะกลืนๆ ไปกับตัวเครื่องซะมากกว่า
กล้องถ่ายรูป
กล้อง iSight (กล้องหลัง) ของ iPhone 5 เป็นจุดที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากว่ามีอะไรต่างไปจาก iPhone 4S หรือไม่ เนื่องด้วยถ้ามองสเปกคร่าวๆ แล้วจะพบว่าไม่มีความแตกต่างจากเดิมมากนัก เช่นในเรื่องของขนาดพิกเซลที่ยังคงไว้สูงสุดที่ 8 MP เท่าเดิม แต่ที่น่าสนใจในจุดที่ยังคงความสามารถเดิมไว้ได้ก็คือ บอดี้ของเครื่องก็มีขนาดเท่าเดิมด้วย เนื่องจากขนาดของตัวเครื่องก็ส่งผลกับชุดของกล้องถ่ายรูปด้วยเช่นกัน ทำให้น่าสนใจว่า วิศวกรของ Apple สามารถออกแบบโครงสร้างภายในได้อย่างไร ถึงทำให้ชุดกล้องที่คล้ายคลึงของเดิมสามารถบีบอัดมาอยู่ในตัวเครื่องที่บางกว่าเดิมได้?โดยจากการค้นหาข้อมูล ก็พบว่าภายในของชุดกล้องมีความเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการออกแบบชุดเลนส์ใหม่ รวมไปถึงเซ็นเซอร์รับภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ทำให้สามารถคงคุณภาพของการถ่ายภาพเอาไว้ได้ แม้ชุดกล้องจะมีขนาดที่เล็กลงกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของซอฟต์แวร์การประมวลผลภาพที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น สืบเนื่องมาจากการใช้ชิปประมวลผลตัวใหม่ก็คือ Apple A6 ที่มีพลังในการประมวลผลมากกว่าเดิม 2 เท่า จึงทำให้สามารถประมวลผลภาพได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนด้านล่างนี้ เป็นตัวอย่างภาพที่ถ่ายจากกล้องหลังของ iPhone 5 ครับ โดยใครที่ต้องการดูภาพขนาดเต็มๆ สามารถกดดาวน์โหลดภาพทั้งหมดได้ที่ลิ้งค์นี้เลย (Download)
ซึ่งจากการทดลองถ่ายภาพจริงๆ ตามตัวอย่างภาพด้านบนจะพบว่าสีสันของภาพที่ได้จาก iPhone 5 จะดูสดใสกว่า iPhone 4S อยู่เล็กน้อย ความชัดตื้นของภาพก็เห็นได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม (หน้าชัดหลังเบลอได้ดีขึ้น) การเก็บรายละเอียดภายในภาพก็ทำได้ดีกว่า iPhone ทุกรุ่นก่อนหน้านี้พอสมควร ส่วนใครที่ต้องการชมภาพเปรียบเทียบกันระหว่างกล้อง iPhone 5 กับ iPhone 4S สามารถเปิดไปชมได้ที่หน้า 4 ของรีวิวครับ
ทั้งนี้เมื่อลองดูรายละเอียดของแต่ละภาพแล้ว ก็พบว่าขนาดของไฟล์ภาพมีขนาดที่ใกล้เคียงกับ iPhone 4S แต่เรื่องเกี่ยวกับรูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ และค่าความไวแสง (ISO) มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย โดยทุกภาพจะล็อกค่าความกว้างรูรับแสงอยู่ที่ f/2.4 ในทุกๆ ภาพ ส่วนค่า ISO นั้นจะพบว่าในสภาพแสงต่างๆ ตัวระบบจะพยายามใช้ค่า ISO ที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และถ้าเทียบกับ iPhone 4S แล้ว จะพบว่าในสภาพองค์ประกอบและแสงที่เท่าๆ กัน iPhone 5 จะใช้ค่า ISO ที่ต่ำกว่า ส่งผลให้คุณภาพของไฟล์ออกมาดีกว่า (ยิ่ง ISO น้อย noise ที่เกิดในภาพก็จะน้อยกว่า) แล้วไปเน้นปรับส่วนของความเร็วชัตเตอร์แทน โดยค่าสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ในกรณีที่ไม่ได้เปิดแฟลชและถ่ายในที่มืดสนิทจะเป็นดังนี้
?
- ความเร็วชัตเตอร์อยู่ที่ 1/15 วินาที
- ISO สูงสุดอยู่ที่ 3200
โดยเมื่อวิเคราะห์จากไฟล์ภาพที่ออกมาแล้ว พบว่าระบบให้ความสำคัญกับ ISO มาก่อน จากนั้นจึงมาปล่อยเรื่องของความเร็วชัตเตอร์ให้ได้ค่าที่เหมาะสมโดยที่จะทำให้ภาพไม่สั่นเนื่องจากการจับของผู้ถ่าย แต่ถ้าไม่สามารถคงค่าความเร็วชัตเตอร์ไวที่ 1/15 วินาทีได้จริงๆ ก็จะหันกลับไปปรับค่า ISO ให้้เพิ่มขึ้นแทน ซึ่งถ้ามีการปรับค่า ISO ขึ้นจริง ที่เหลือก็จะเป็นหน้าที่ของหน่วยประมวลผลภาพในชิป Apple A6 แล้ว ที่จะประมวลผลภาพออกมาให้ได้ไฟล์คุณภาพดีเสมือนกับไม่ได้ใช้ ISO ที่สูงมากนัก ซึ่งตรงนี้ Apple ก็คงต้องมั่นใจในประสิทธิภาพของชิปตนเองระดับหนึ่งว่าสามารถทำงานได้ดีและได้เร็วมากพอที่จะประมวลผลภาพดังกรณีข้างต้น นอกจากนี้ พลังประมวลผลของชิป Apple A6 ยังส่งผลให้การตอบสนองการเปิดแอพกล้องทำได้ดีขึ้นมาก เรียกได้ว่าเปิดแอพกล้อง ก็แทบจะสามารถถ่ายรูปได้ทันที ต่างจาก iPhone 4S ที่ต้องรอนานกว่าเล็กน้อย
โหลดไฟล์ภาพแบบเต็มๆ (Download)
?
โหลดไฟล์ภาพแบบเต็มๆ (Download)
ส่วนภาพพาโนรามาที่เปิดเป็นฟีเจอร์อย่างเป็นทางการของ iOS 6 พร้อมๆ กับ iPhone 5 นั้น เมื่อทดลองถ่ายจริงพบว่าระบบมีส่วนช่วยได้มากพอสมควร โดยในระหว่างการถ่ายนั้น จะมีลูกศรช่วยชี้ทิศทางให้ โดยค่าเริ่มต้นคือจะเป็นการถ่ายจากซ้ายไปขวา แต่สามารถสลับเป็นจากขวาไปซ้ายได้ด้วยการจิ้มไปที่บริเวณลูกศรหนึ่งครั้ง จากนั้นเมื่อกดถ่ายไปแล้ว ระบบก็จะเริ่มเก็บภาพและคอยรายงานให้เราตลอดว่าแนวการถือเครื่องของเราเป็นอย่างไร ถ้าต่ำไป ลูกศรก็จะตกลงมาจากแนวกลาง และมีข้อความบอกให้ยกตัวเครื่องสูงขึ้น หรือถ้าเราหันกล้องเร็วไป ก็จะมีข้อความเตือนให้หันตัวช้าลงหน่อย เพื่อจะได้ภาพที่สมบูรณ์ที่สุดในการถ่ายภาพพาโนรามา ทั้งนี้ก่อนถ่ายคงต้องระวังซักเล็กน้อยนะครับ เพราะเซ็นเซอร์จะวัดแสงจากจุดแรกที่เราเริ่มถ่าย และใช้ค่านี้ไปตลอดทั้งภาพ แต่ถ้าเป็นการถ่ายวิวไกลๆ กลางแจ้งแบบนี้คงไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว
?
โหลดไฟล์ภาพแบบเต็มๆ (Download)
และถ้าเราอยากจะหยุดถ่ายกลางคัน ก็เพียงหันกล้องย้อนกลับไปทิศทางเดิมที่เราถ่ายมา เพียงเท่านี้ระบบก็จะหยุดการถ่ายภาพให้แล้ว ส่วนไฟล์ที่ได้จากการถ่ายในโหมดพาโนรามา (ถ่ายแบบเต็มๆ ไม่มีตัด) นั้นจะเป็นภาพที่มีความละเอียดประมาณ 26 MP ด้วยกัน ขนาดไฟล์ละประมาณ 17 MB ด้วยกัน ถึงแม้ว่าไฟล์จะดูใหญ่ก็จริง แต่ในการใช้งานจริงพบว่าระบบสามารถประมวลผลได้เร็วมาก ถ่ายเสร็จก็สามารถใช้งานต่อได้ทันที ไม่มีการหน่วงเพื่อรอการประมวลผลให้เห็นเลย
ส่วนเรื่องของแฟลชที่ใช้ในการถ่ายรูปนั้น ก็ยังคงเป็นแฟลชแบบ LED เหมือนกับใน iPhone 4S อยู่ โดยในเรื่องของประสิทธิภาพแฟลชที่ใช้ในการถ่ายรูป เดี๋ยวจะมีการทดสอบอีกครั้งครับ เช่นเดียวกับการถ่ายวิดีโอที่อดใจรออีกหน่อยก็น่าจะได้เห็นผลการทดสอบกันว่าสามารถทำออกมาได้ดีขนาดไหน
ตัวอย่างหน้าจอการถ่ายภาพในโหมดพาโนรามา ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ว่าจะแพนกล้องไปทางซ้ายหรือขวาของเรา
ภาพด้านบนนี้เป็นการถ่ายจากกล้อง FaceTime ที่มีความสามารถในการถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 1.2 MP ใน iPhone 5
ส่วนกล้อง FaceTime (กล้องหน้า) เท่าที่ลองทำการทดสอบด้วยการใช้งาน FaceTime ก็ทำได้ดี ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีสำหรับกล้องหน้าของสมาร์ทโฟนแล้ว
ส่วนการถ่ายวิดีโอนั้น สามารถชมคลิปตัวอย่างที่เราถ่ายจากกล้องหลังได้ตามคลิปด้านล่างนี้เลยครับ
อุปกรณ์ที่มาให้ในกล่อง หลักๆ ก็จะมีหูฟัง EarPods, อะแดปเตอร์แบบ wall charge และสายซิงค์ที่ใช้พอร์ต Lightning ซึ่งซ่อนไว้ใต้กล่องหูฟัง EarPods แต่เนื่องด้วยเป็นเครื่องที่มาจากสิงคโปร์ ทำให้อะแดปเตอร์อาจจะดูแปลกตาไปซักนิดนึง ส่วนเครื่องที่จะขายในไทยก็จะใช้เป็นอะแดปเตอร์แบบตัวสี่เหลี่ยมปกติอย่างที่เราเคยเห็นกัน?
ภายในกล่องมีการจัดวางอุปกรณ์ดูแล้วสวยงาม แบ่งเป็นสัดเป็นส่วนสวยงามดี
สาย Lightining นั้นถูกพันแล้วรัดไว้ด้วยแผ่นพลาสติกที่มีความแข็งแรงในระดับหนึ่ง ไม่มีปลอกหุ้มส่วนหัวพอร์ตเชื่อมต่อแต่อย่างใด ส่วนหูฟัง EarPods นั้นถูกบรรจุอยู่ภายในกล่องพลาสติกใสอีกชั้นหนึ่ง โดยใช้การพันสายไว้รอบกับแกนดังในรูป ซึ่งช่วยให้สามารถเก็บหูฟังได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพกพาหูฟังออกไปนอกสถานที่ ส่วนเรื่องการรีวิวแบบเจาะลึกของหูฟัง EarPods นั้น จะมีตามมาในภายหลังครับ
การใช้งานแบตเตอรี่
ในจุดนี้ เบื้องต้นเราขออ้างอิงจากการทดสอบของเว็บไซต์ในต่างประเทศก่อนครับ โดยเท่าที่รวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่งก็พบว่าสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันกับ iPhone 4S และอาจจะมากกว่าด้วย เนื่องจากการทดสอบส่วนใหญ่เป็นการใช้งานการเชื่อมต่อเครือข่าย 4G LTE ซึ่งใช้พลังงานในการเชื่อมต่อที่มากกว่า 3G ปกติ แต่ทั้งนี้ก็ยืนยันว่าสามารถใช้งานทั่วไปได้เป็นวันเทียบเท่ากับเกณฑ์ทั่วไปของสมาร์ทโฟนแน่ๆ
ส่วนการทดสอบจริงของเรานั้น อาจต้องรอซักนิดนะครับ รับรองว่ามีมาบอกเล่ากันในรีวิวนี้แน่นอน