กระแสของมือถือจากจีนก็ดูเหมือนจะค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ เพราะสามารถหาซื้อได้ง่ายกว่าแต่ก่อน คนรับหิ้วก็มีเยอะ แถมเริ่มมีผู้นำเข้าบางรายนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เลยทำให้การหาซื้อมือถือจีนอย่างพวก Xiaomi, Meizu ทำได้ง่ายขึ้น มารอบนี้ทางทีมงานเราก็ได้ Meizu M1 Note มาลองเล่นดูครับ เลยขอจัดมินิรีวิวซักหน่อย เผื่อว่ามีคนสนใจตัวนี้กันอยู่ จะได้ทราบคร่าวๆ ว่าสเปค ความแรง และการใช้งานมันเป็นอย่างไรบ้าง
เริ่มกันจากสเปค Meizu M1 Note ก่อนแล้วกันครับ
- ชิปประมวลผล MediaTek MT6752 (8 คอร์) ความเร็ว 1.7 GHz ชิปกราฟิก Mali-T760
- แรม 3 GB
- หน้าจอ IGZO ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080)
- รอม 32 GB ไม่มีช่องใส่ MicroSD
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล ไฟแฟลชคู่ เซ็นเซอร์ขนาด 1/3.06″
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ 3140 mAh
- Android 4.4.4 ครอบทับด้วยอินเตอร์เฟส Flyme OS
- ใส่ไมโครซิมได้ 2 ซิม (ต้องใช้เป็นไมโครซิมเท่านั้น ใช้เป็นนาโนซิม+ตัวแปลงไม่ได้)
- รองรับ 4G LTE ในไทย ใช้งาน 3G ได้แค่กับความถี่ 900 กับ 2100 MHz เท่านั้น
- ราคาในต่างประเทศอยู่ที่ไม่เกิน 7,000 บาท
ไล่จากสเปคกับราคาแล้ว ก็จัดว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเลยครับ กับราคาประมาณนี้ แต่ได้มือถือชิป 8 คอร์ หน้าจอ IGZO ขนาด 5.5 นิ้ว Full HD แรม 3 GB ซึ่งสเปคพวกนี้ จับเอาไปชนกับพวกมือถือระดับท็อปได้อยู่เหมือนกันนะ ถ้าเข้ามาขายในไทยแบบเป็นทางการได้ ดูแล้วน่าจะขายดีเอาเรื่องเลย
แรกสัมผัสแรกที่เห็นและจับเครื่อง ผมรู้สึกว่ามันออกเป็นแนว iPhone 5c ที่เครื่องใหญ่ขึ้นนะ ด้วยเนื้อพลาสติกด้านนอกที่ให้ผิวสัมผัสแบบเดียวกัน สีสันก็สดใสเหมือนกันอีก จะว่าเป็นร่างโคลนของ iPhone 5c ก็ได้อยู่ แต่ก็มีออกความเป็น Lumia อยู่นิดๆ นะ ส่วนเรื่องงานประกอบ ความแข็งแรง ผมว่าทำมาได้ดีเลย ต้องบอกว่าตอนนี้มันหมดยุคที่ว่ามือถือจีนมักจะมาแบบก๊องแก๊งๆ ไปแล้วแหละครับ โดยเฉพาะพวกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหน่อย อย่างพวก Meizu, Xiaomi หรือแม้กระทั่ง OnePlus จากที่เมื่อก่อนเน้นอัดสเปคแรง ลดต้นทุนเรื่องวัสดุเพื่อจะได้ทำราคาขายถูกๆ ตอนนี้แต่ละรายก็เริ่มหันมาเน้นเรื่องวัสดุ คุณภาพงานประกอบกันมากขึ้น เลยทำให้ช่วยลบภาพมือถือจีนแบบเก่าๆ ไปได้เยอะเลย (แต่พวกรุ่นราคาถูกมากๆ ที่เน้นก๊อปดีไซน์เครื่องรุ่นแพง อันนี้บางตัวก็ยังก๊องแก๊งอยู่นะ แต่งานดีขึ้นเยอะ)
หน้าจอของ Meizu M1 Note ก็ให้มาถึงขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดก็ Full HD แน่นอนว่าภาพย่อมออกมาคมชัด สีสันก็จัดว่าค่อนข้างโอเคครับ ติดซีดเล็กน้อย ใครที่ชอบสีโทนจัดๆ อาจจะมีขัดใจเล็กน้อย มุมมองของภาพก็ทำออกมาได้ดี
สำหรับปุ่มกดสั่งงาน จะมีแค่ปุ่มเดียวเท่านั้นคือปุ่มโฮมแบบสัมผัสที่เป็นวงกลมตรงกลาง ซึ่งเจ้าวงกลมนี้จะมีไฟ LED ซ่อนอยู่ด้านล่าง สำหรับใช้เป็นไฟแจ้งเตือน notifications ด้วยนะ เรียกว่าจับรวมกันได้ลงตัวดีเลยแหละ
ส่วนปุ่มอื่นๆ นั้น จะแปลกไปจากเครื่องอื่นนิดหน่อยครับ อย่างปุ่มย้อนกลับกับปุ่มเมนู อันนี้จะขึ้นมาเป็นแบบซอฟท์แวร์ โดยจะขึ้นเฉพาะในหน้าแอพเท่านั้น ถ้าเป็นหน้าโฮมสกรีน หน้าแถบแจ้งเตือน พวกนี้จะไม่ขึ้นนะ เพราะไม่มีอะไรให้ต้องย้อนกลับ ส่วนการเรียกดูแอพที่ใช้งานล่าสุด (recent apps) ก็ไม่มีปุ่มเฉพาะให้เหมือนกันครับ แต่จะใช้การปัดจากขอบจอด้านล่างขึ้นไปด้านบน (สูงกว่าขอบจอล่างนิดหน่อยก็พอ) แล้วแถบแสดงไอคอนแอพที่ใช้งานล่าสุดก็จะขึ้นมาอย่างในภาพด้านล่างแล้ว การสั่งปิดแอพก็ใช้การลากไอคอนแอพนั้นขึ้นไปด้านบนได้เลย
พลิกมาดูด้านหลังของตัวเครื่อง ก็จะพบว่าหน้าตามันออกแนว iPhone 5c ผสมกับพวกตระกูล Lumia อยู่เหมือนกันอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่เนื้องานนี่ออกมาดีนะครับ ผิวพลาสติกไม่ลื่นมือมากนัก แต่ก็ติดรอยนิ้วมือง่ายเหมือนกัน ยังดีที่มันเป็นสีสว่างสะท้อนแสง เลยสังเกตรอยนิ้วมือได้ยาก
กล้องหลังของ Meizu M1 Note ก็ทำออกมาได้แบบไม่นูนขึ้นมาจากฝาหลังนะครับ ทำให้เวลาใช้งานหรือพกพา ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไปขูดอะไรง่ายๆ ส่วนไฟแฟลชก็ให้มาสองดวงแบบคนละสีกัน ช่วยทำให้สามารถคำนวณและปรับอุณหภูมิแสงสีให้เหมาะสมกับวัตถุที่ถ่ายได้ด้วย เรียกว่าเป็นเทคโนโลยีแฟลชกล้องมือถือที่เรามักจะได้เห็นในพวกมือถือรุ่นราคาสูงหน่อย ส่วนพวกมือถือรุ่นราคาไม่แพงที่มีไฟแฟลชคู่ ก็ส่วนมากมักจะเป็นไฟขาวแบบเดียวกันมาสองดวงเลย ซึ่งก็ช่วยเพิ่มแสงสว่างได้นิดหน่อยครับ แต่ไม่ได้สามารถปรับอุณหภูมิสีของแสงไฟได้เหมือนแบบนี้
ทีนี้มาดูส่วนข้างๆ เครื่องกันบ้าง เริ่มจากด้านบน ก็จะมีเพียงช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรปกติ ใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นช่องรับเสียงของไมค์ตัดเสียงรบกวน ริมๆ ก็มีปุ่ม Power ซึ่งจะเยื้องไปทางขวา ลงมาด้านล่างก็จะพบกับช่องลำโพง ที่ให้เสียงได้ดีประมาณหนึ่ง ตรงกลางมีช่อง Micro USB แล้วก็ช่องรับเสียงของไมค์สนทนา เท่าที่ลองใช้คุยโทรศัพท์ดู ก็ให้เสียงที่ค่อนข้างคมชัด เคลียร์ดีเลยนะ
ฝั่งซ้ายของเครื่องจะมีปุ่มเพิ่ม ลดเสียงเยื้องไปด้านบนๆ ซึ่งถ้าใช้มือขวาจับเครื่อง ปุ่มก็จะอยู่ตรงปลายนิ้วชี้พอดี ส่วนฝั่งขวาก็มีถาดใส่ซิมอยู่ครับ ซึ่งต้องใช้เข็มจิ้มถาดซิมจิ้มไปก่อนนะ ถาดถึงจะเด้งออกมา
สำหรับเรื่องซิมนั้น Meizu M1 Note รองรับไมโครซิมได้สองซิมนะครับ แต่มีข้อแม้ว่า ซิมที่ใช้ต้องเป็นไมโครซิมจริงๆ เท่านั้น ไม่สามารถใช้นาโนซิมแล้วใช้ตัวแปลงได้ เท่าที่ผมลองจากหลายๆ ซิมแล้ว ก็พบว่าเป็นตามนั้นเลยครับ ขนาดใช้ซิมที่ใช้ประจำที่เป็นนาโนซิมแล้วมาใส่ตัวแปลงเป็นไมโครซิมมาใช้งานกับ M1 Note ก็ยังจับสัญญาณไม่ได้เลย แต่พอเอาไมโครซิมธรรมดาๆ มาใช้ กลับเป็นว่าใช้งานได้เฉยเลย อันนี้ผมว่าอาจจะเป็นเรื่องของตำแหน่งขั้วทองเหลืองที่มันไม่ค่อยยืดหยุ่นเหมือนกับมือถือทั่วๆ ไปครับ เลยจำเป็นต้องใช้ไมโครซิมเท่านั้น
ส่วนเรื่องการรับสัญญาณ ก็ทำได้ดีอยู่ จับสัญญาณทั้ง 4G LTE, 3G หรือจะ 2G ก็ทำได้หมด แต่สำหรับ 3G จะใช้ได้เฉพาะคลื่นความถี่ 900 กับ 2100 MHz เท่านั้นนะ ซึ่งถ้าใช้งาน 3G ในเมืองใหญ่ๆ คงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ (เผลอๆ จะไปจับ 4G LTE ด้วยซ้ำ) แต่สำหรับใครที่ใช้ซิม 3G ความถี่ 850 MHz ก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เช่นซิม My, 168 อะไรประมาณนนี้ เพราะจับคลื่นไม่ได้เลยจ้า
ตัว Meizu M1 Note เองนั้น มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 Kitkat นี่ล่ะครับ ยังไม่ขึ้นเป็น Lollipop แต่ครอบมาด้วย Flyme OS จึงทำให้หน้าตา เมนูต่างๆ ดูแปลกไปจาก Android ปกตินิดหน่อย เริ่มตั้งแต่หน้าโฮมสกรีนก็จะมีไอคอนแอพเรียงๆ มาเลย ไม่มีหน้ารวมแอพอีกชั้น แต่ที่ค่อนข้างแปลกสุดก็คือหน้าการตั้งค่า (Settings) ที่หดเหลือแต่ไอคอนของเมนูต่างๆ ทางฝั่งซ้าย ซึ่งสามารถ swipe ไปทางขวาเพื่อดูได้ว่าไอคอนไหนสื่อถึงเมนูอะไรบ้าง เมื่อเลือกหัวข้อแล้ว หน้าจอทางขวาก็จะเลื่อนเข้ามาตรงกลางเพื่อให้สามารถปรับแต่งค่าต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ตอนใช้งานครั้งแรกก็อาจจะสับสนกันหน่อยนะครับ เพราะมันมีรูปแบบการจัดเรียงเมนู และมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของการตั้งค่าหลายๆ อย่างอยู่เหมือนกัน อย่างผมเองตอนแรกก็หาเมนู reset เครื่องไม่เจอเหมือนกัน ปรากฏว่ามันมาอยู่ในหัวข้อ Storage ที่เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล จากที่ใน Android ปกติมักจะอยู่ในเมนู Backup & Reset ซะมากกว่า
สำหรับเรื่องพื้นที่จัดเก็บข้อมูลนั้น จากพื้นที่ของเครื่องที่ได้มาลองเล่นมี 32 GB สามารถใช้งานได้จริง 29.12 GB เหลือพื้นที่ให้ใช้งานได้ก็ประมาณ 26 GB ครับ ถือว่าตัว OS และแอพติดเครื่องกินพื้นที่ค่อนข้างน้อยนะครับ ประมาณ 3 GB นิดๆ เอง
ในแง่ของการทดสอบประสิทธิภาพ Meizu M1 Note ก็ทำได้ในระดับกลางๆ ครับ ไม่แรงมากนัก ทั้งในส่วนของการประมวลผลหลัก และการประมวลผลกราฟิก แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้ทำงาน ใช้เล่นเกมได้ดีอยู่นะ การใช้งานโดยทั่วไปก็ทำได้ไหลลื่นดีครับ ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ก็อยู่ในระดับปกติสมกับมือถือแบตระดับเกิน 3,000 mAh นะ คือใช้งานได้เกิน 1 วันสบายๆ
ส่วนด้านล่างนี้ก็เป็นตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Meizu M1 Note ครับ เท่าที่ลองใช้ดู การโฟกัสก็ทำได้เร็วพอสมควร โฟกัสอัตโนมัติค่อนข้างแม่น แต่ภาพที่ออกมา สีออกจะซีดไปซักนิดนึง ไม่สดเหมือนกับวัตถุจริงๆ นะครับ ก็เผื่อใจไว้นิดนึง ว่าอาจจะต้องแต่งรูปเพิ่มความสดของสี (saturation กับ vibrance) เพิ่มซักหน่อยนึง