แม้เครื่องรีวิวจะยังไม่ถูกส่งมายังเว็บไซต์ของเรา แต่เราก็ยังคงสรรหารีวิวมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน สำหรับ Samsung Galaxy S III ที่เราขอหยิบยกบทความรีวิวจากเว็บต่างประเทศมาแปลงเป็นพรีวิวในแบบฉบับของเรากันก่อน และรับรองว่าถ้าได้เครื่องรีวิวมาเมื่อไร เราจะจัดการรีวิวให้แน่นอน ก่อนอื่น เราไปดูสเปกของเจ้า Samsung Galaxy S III กันก่อนเลย
- ชิปประมวลผล Samsung Exynos quad-core ความเร็ว 1.4 GHz พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-400MP
- RAM 1 GB
- หน่วยความจำภายใน 16 GB พร้อมช่อง microSD ที่รองรับความจุสูงถึง 64 GB
- จอ Super AMOLED ขนาด 4.8 นิ้ว ความละเอียด 1280 x 720 พร้อมกระจกกันรอย Gorilla Glass 2.0
- รองรับการเชื่อมต่อ 3G ทุกเครือข่าย
- กล้องหลังความละเอียด 8 MP พร้อมแฟลช LED สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด 1080p @30fps
- กล้องหน้าความละเอียด 2 MP
- Android 4.0.4 + TouchWiz launcher
- รองรับ NFC
- แบตเตอรี่ความจุ 2100 mAh
ก็ต้องบอกได้ว่า Samsung Galaxy S III เป็นเครื่องที่มาพร้อมกับสเปกอันแรงเหลือเฟือแห่งปีนี้ สมกับเป็นรุ่นเรือธงของ Samsung ในปีนี้ จุดที่เป็นไฮไลท์ที่สุดก็คือตัวของชิปประมวลผล ที่เป็นชิปประมวลผลรุ่นแรกจาก Samsung ซึ่งเป็นแบบ 4 คอร์มาในตัว อันสเปกนี้น่าจะกลายมาเป็นมาตรฐานสำหรับสมาร์ทโฟนในอีกไม่นานแน่นอน โดยเฉพาะตัวจอที่มีพร้อมความละเอียดระดับ HD 720p ส่วนฟีเจอร์ต่างๆ ที่มาพร้อมกับ Samsung Galaxy S III ที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ก็ได้แก่
- S Voice : เป็นระบบสั่งการเครื่องด้วยเสียง (รูปแบบการทำงานแบบเดียวกับ Siri)
- Smart Stay : จับสายตาของผู้ใช้ว่ามองจออยู่หรือเปล่า ถ้ามองอยู่ จอก็จะปรับความสว่างให้พอดีและคงที่
- Social Tag : ช่วยในการแท็กภาพเพื่อนให้อัตโนมัติ พร้อมลิ้งค์ข้อมูลต่างๆ เช่น เบอร์โทร อีเมล ทำให้สะดวกต่อการติดต่อหาบุคคลในภาพ
- S Beam : ทำให้การรับส่งไฟล์ระหว่างสมาร์ทโฟนสองเครื่องทำได้ง่ายขึ้น โดยเพียงแค่หันเอาด้านหลังเครื่องเข้าหากันเท่านั้น
- AllShare Cast : ทำให้สามารถส่งภาพ วิดีโอ รวมไปถึงเกมที่กำลังเล่นอยู่ให้ภาพไปแสดงบนจอใหญ่ที่รองรับได้ โดยจะใช้ตัวเครื่องมือถือเป็นจอยควบคุมการทำงาน
- Pop up play : สามารถเล่นวิดีโอเป็นจอเล็กในขณะที่ทำงานอื่นได้ ยกตัวอย่างก็เช่นสามารถรับชมวิดีโอไปพร้อมๆ กับการอ่านข้อมูลในหน้าเว็บ
ต่อมาเรามาดูหน้าตาของตัวเครื่องกันบ้าง
ตัวเครื่องของ Samsung Galaxy S III มาในรูปลักษณ์ที่ทาง Samsung บอกว่าเป็นการดีไซน์ออกมาเพื่อเน้นการใช้งานจริงๆ โดยยึดหลักเพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้เป็นสำคัญ แถมยังเน้นการออกแบบให้ดูเรียบง่ายแบบ minimalist อันสะท้อนความหรูหราในระดับนึง เน้นความกลมมนของตัวเครื่อง ทำให้ดูน่าใช้งาน
วัสดุที่ใช้เป็นหลักของ Samsung Galaxy S III จะเป็นโพลีคาร์บอเนตที่เคลือบด้วย Hyperglaze ทำให้มีจุดเด่นในด้านของความแข็งแรงที่สูงกว่าโพลีคาร์บอเนตธรรมดา แถมยังมีความสามารถในการป้องกันรอยนิ้วมือได้ดีกว่าด้วย โทนสีของตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกันสองสี นั่นคือสีขาว marble white และสีน้ำเงินอมเทา pebble blue ดังในภาพด้านบน
ขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 136.6 x 70.6 x 8.6 มิลลิเมตร ซึ่งเรียกได้ว่าบางกว่าสมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน แม้ว่าจะหนากว่าตัวของ Samsung Galaxy S II อยู่เล็กน้อย แต่ก็เพียงแค่ 0.1 มิลลิเมตรเท่านั้น และถ้าดูว่าปริมาณความจุแบตที่เพิ่มจากรุ่นเก่าค่อนข้างมาก ทำให้ลบจุดในเรื่องที่มีตัวเครื่องมีความหนามากกว่าตัวเก่าไปได้สนิทเลยทีเดียว ส่วนขนาดความกว้างและความยาวของตัวเครื่องก็เรียกได้ว่าเป็นขนาดมาตรฐานของสมาร์ทโฟนตัวระดับสูงๆ ในสมัยนี้ไปแล้ว โดยเฉพาะจอที่มาในขนาดถึง 4.8 นิ้ว ซึ่งน่าจะใหญ่ มองดูแล้วสบายตาดีเลย อีกทั้งกระจกของจอก็เป็นแบบ Gorilla Glass 2.0 ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่า Gorilla Glass รุ่นเก่า ทำให้มั่นใจได้ว่าความแข็งแรง ความคงทนจะต้องสูงกว่ารุ่นที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
ที่นี้เรามาดูกันที่รูปร่างโดยรอบของตัวเครื่อง Samsung Galaxy S III แบ่งออกเป็นด้านๆ ดังนี้
ปุ่มด้านหน้าของตัวเครื่องจะมีมาปุ่มเดียว นั้นคือปุ่ม Home ส่วนปุ่ม Back และปุ่ม Menu จะใช้เป็นแบบ capacitive ส่วนด้านบนเหนือจอนั้นจะมีจุดดำสองจุดเป็นที่ตั้งของเซ็นเซอร์รับแสงเพื่อปรับความสว่างและการทำงานของจอ ส่วนใกล้ๆ กันนั้นก็จะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้าความละเอียด 2 MP
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับเพิ่ม-ลดเสียง
ด้านขวาจะมีเพียงแค่ปุ่มเปิด/ปิดเครื่องเท่านั้น ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่น่าจะถนัดมือใครหลายๆ คนไม่น้อย
เหนือตัวเครื่องก็จะมีช่องเสียบแจ็คหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ใกล้ๆ กันนั้นเป็นช่องรับเสียงของไมโครโฟน
ส่วนด้านล่างจะมีทั้งพอร์ต microUSB ที่มีหน้าที่ทั้งใช้ชาร์จไฟ ใช้เชื่อมต่อคอมเพื่อรับส่งข้อมูล อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ MHL ที่ใช้ในการส่งภาพขึ้นสู่ TV ในความละเอียดระดับ High Definition ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องหาซื้อสายต่อเฉพาะด้วย จึงจะสามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ยังมีช่องรับเสียงของไมโครโฟนอีกหนึ่งช่อง ซึ่งการที่มีไมโครโฟนมากกว่าหนึ่งตัว จะช่วยทำให้ความสามารถในการตัดเสียงรบกวนภายนอกทำได้ดีขึ้น
ฝาหลังของตัวเครื่องจะมีส่วนที่เด่นขึ้นมาก็คือไฟแฟลช LED, กล้องหลัง และลำโพง
เมื่อเปิดฝาหลังออกก็จะพบกับแบตเตอรี่, ช่อง microSD และช่องใส่ซิมแบบ microSIM
ในด้านของจอนั้น Samsung Galaxy S III ใช้จอ Super AMOLED ที่มีการจัดเรียงเม็ดพิกเซลแบบ RGBG PenTile ซึ่งเจ้า PenTile นี้ Samsung ได้เคยนำมาใช้ใน Galaxy Nexus มาแล้ว แต่ใน S III จะมีการจัดเรียงแบบใหม่ ทำให้สีสันที่ได้คมชัด สมจริงกว่าเดิม แถมยังมีอายุการใช้งานที่ดีกว่าทั้งจอที่มีการเรียงเม็ดพิกเซลแบบ RGB และแบบ PenTile แบบเก่าด้วย โดย Samsung เคลมเลยว่าผู้ใช้จะสามารถใช้งานจอของ Samsung Galaxy S III ในประสิทธิภาพระดับสูงสุดไปได้ไม่ต่ำกว่า 2 ปีเลยทีเดียว
ซึ่งเรื่องสีสีนของจอนั้น ก็ได้มีการทดสอบแล้วพบว่าตัว Samsung Galaxy S III มีค่า contrast ratio ที่สูงถึง 3.419 ซึ่งจัดได้ว่าสูงสุดในบรรดาจอสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน สีสันที่ได้เสมือนจริง ดำเป็นดำตามลักษณะของจอ AMOLED
ต่อมาเป็นส่วนของกล้องกันบ้าง ซึ่งความสามารถของตัวกล้องก็ได้เพิ่มขึ้นมาตามพลังประมวลผลของ CPU ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือความสามารถในการถ่ายภาพแบบรัวชัตเตอร์ (burst mode)ที่สามารถทำได้ถึง 6 ภาพต่อวินาที ที่ความละเอียด 8 MP เต็มๆ หรือถ้าเป็นในโหมดถ่ายภาพทีละรูปแบบธรรมดา ก็สามารถใช้งานแบบกดปุ๊ปถ่ายปั๊ปแทบจะทันทีหรือที่เป็นภาษาอังกฤษว่า shutter lag? คุณภาพของไฟล์ที่ได้จาก Samsung Galaxy S III จัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ดี เผลอๆ อาจจะดีกว่ากล้องจาก HTC One X ซะอีกด้วย นอกจากนี้ยังรองรับโหมดการถ่ายภาพต่างๆ เช่น HDR และ panorama ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากความสามารถของ CPU ระดับ quad-core ในตัว Samsung Galaxy S III
เมื่อจับภาพที่ได้มาเทียบกับ iPhone 4 ดังในสองภาพด้านบน จะพบว่าภาพที่ได้จาก Samsung Galaxy S III ค่อนข้างจะสว่างเกินไปเล็กน้อย (over expose) อีกทั้งความชัดลึกไม่ชัดเจนเท่ากับภาพที่ได้จาก iPhone 4 แต่ทั้งนี้ก็ยังมีจุดที่เหนือกว่าคือความคมชัดของภาพ ความเที่ยงตรง และความสามารถในการเลือกเก็บภาพทั้งในจุดที่สว่างและจุดที่มืดของภาพได้ดีกว่าอย่างชัดเจน ทำให้เห็นรายละเอียดของภาพได้มากกว่าไม่ว่าจะทั้งในส่วนที่มืดหรือสว่างของภาพ
——-
ส่วนของการถ่ายวิดีโอนั้น จุดเด่นที่เหนือกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นก็คือความสามารถในการจับโฟกัสอัตโนมัติระหว่างถ่ายภาพที่ทำได้อย่างไหลลื่นกว่ารุ่นอื่นๆ ที่ผ่านมา รวมไปถึงการปรับความสว่างและความมืดของภาพแบบอัตโนมัติก็สามารถทำได้ค่อนข้างดี อีกทั้งแม้จะถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดคือระดับ 1080p ก็ยังได้ไฟล์วิดีโอที่คุณภาพจัดได้ว่าดีสำหรับกล้องมือถือเลยทีเดียว ดังตัวอย่างในคลิปด้านบน
ส่วนที่ต้องได้รับการพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งเลยก็คือประสิทธิภาพของเจ้า Samsung Galaxy S III โดยผลจากการทดสอบของเว็บไซต์ต่างประเทศก็ได้ออกมาดังภาพด้านล่างนี้
จะเห็นได้ว่าความแรงในส่วนของการประมวลผลด้วย CPU และองค์ประกอบของเครื่องโดยรวมอย่าง AnTuTu จะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy S III กินขาด HTC One X ที่ใช้ชิปประมวลผลเป็น NVIDIA Tegra 3 แต่ในการทดสอบที่เน้นไปด้านใดด้านหนึ่งอย่าง Quadrant ที่เน้นทดสอบ GPU โดยตรง จะพบว่า HTC One X สามารถทำได้ดีกว่า ทั้งนี้ก็เนื่องจากประสิทธิภาพที่ดีกว่าของตัว GPU ภายใน แต่ถ้ามาดูผลจากการเทสด้วย CF-Bench ซึ่งเป็นโปรแกรมทดสอบที่ทดสอบประสิทธิภาพของทั้งหน่วยความจำและ CPU แบบ multi-core จะพบว่า Samsung Galaxy S III สามารถทำได้ดีกว่า HTC One X พอตัวเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ผลทดสอบจากอีกเว็บปรากฎว่าผลการทดสอบส่วนใหญ่ Samsung Galaxy S III จะให้ผลทดสอบที่ดีกว่าเครื่องอื่นๆ จะมีแพ้บ้างก็ในเรื่องของกราฟิกที่อาจจะยังสู้ NVIDIA Tegra 3 ได้ไม่เต็มที่นัก
คราวนี้มาเทียบประสิทธิภาพกับชิปใหม่ล่าสุดอีกตัวอย่าง Qualcomm Snapdragon S4 ใน HTC One S จะพบว่าความสามารถโดยรวมของ S III ที่ใช้ Exynos ยังน้อยกว่า Snapdragon S4 อยู่ค่อนข้างมาก โดยพลังในการประมวลผล พบว่าสามารถประมวลผลได้จำนวน MFLOPS ที่น้อยกว่าถึงร่วม 2 เท่าในทุกการทดสอบ
คราวนี้มาดูเรื่องของแบตเตอรี่กันบ้าง อย่างที่ทราบๆ กันแล้วว่า Samsung Galaxy S III มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุถึง 2100 mAh ซึ่งถ้าใช้งานทั่วไปก็สามารถใช้ได้จนหมดวัน ในสภาพการใช้งานพื้นฐานเช่นการซิงค์อีเมล, เล่นทวิตเตอร์ และใช้งาน Flipboard แต่ถ้าใช้งานฟีเจอร์การปรับความสว่างจอแบบอัตโนมัติ จะพบว่าระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่จะสั้นลงไปนิดหน่อย ซึ่งถ้าดูองค์ประกอบโดยรวมของเครื่องไม่ว่าจะทั้งชิปประมวลผล สเปกภายใน และที่สำคัญคือขนาดและความละเอียดของหน้าจอแล้ว ก็ต้องนับว่าสามารถใช้งานได้ค่อนข้างยาวนานแล้ว เผลอๆ ถ้าใช้ดีๆ ก็อยู่ได้เกินวันอย่างไม่ยากนัก
และอีกอย่างหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือหน้าตาของตัวเครื่องอย่าง TouchWiz UI ที่ได้รับการพัฒนามาให้เข้ากับ Android 4.0 ซึ่งหน้าตานั้นก็ไม่ได้หนีไปจากตัว launcher เดิมๆ ของ Ice Cream Sandwich ซักเท่าไร ทำให้สามารถใช้งานและทำความเข้าใจได้ค่อนข้างง่าย แม้จะเคยจับ Ice Cream Sandwich ของสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นมาก่อนแล้ว
ปิดท้ายด้วยอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือ Siri เอ๊ย !!! S Voice ในตัว Samsung Galaxy S III โดยในการทดสอบของหลายๆ เว็บพบว่าการทำงานของ S Voice ดูไม่เป็นธรรมชาติเท่ากับ Siri ไม่ว่าจะเป็นการโต้ตอบหรือการตัดคำที่ผู้ใช้พูดเข้าไป จึงทำให้บางครั้งระบบเข้าใจความหมายที่จะสื่อผิดไป แม้ผลการตอบโต้ในบางครั้งจะดีกว่า Siri ก็ตาม
ก็เรียกได้ว่าน่าจะพอหนำใจกันเลยทีเดียวสำหรับการพรีวิว Samsung Galaxy S III ที่ทางเราได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ มาจากเว็บไซต์ในต่างประเทศ โดยถ้าให้สรุปคร่าวๆ จากตรงนี้ก็จะเห็นได้ว่ามันเป็นสมกับเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงแห่งปีนี้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะทั้งประสิทธิภาพที่กินขาดหลายๆ เครื่อง ฟีเจอร์ที่ใส่มาอย่างมากมาย นี่ยังไม่รวมถึงอีกหลายฟีเจอร์ที่ไม่ได้พูดถึงอย่างการชาร์จไฟแบบไร้สาย (ซึ่งต้องหาซื้อแท่นวางเฉพาะด้วย) เมื่อมองจากส่วนต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็จัดได้ว่า Samsung Galaxy S III เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว แถมราคาเครื่องศูนย์ยังเปิดมาในระดับที่รับได้ นั่นคือ 21,900 บาทอีกต่างหาก ดังนั้น ใครที่อยากได้มือถือแรงๆ ดีไซน์ล้ำๆ ฟีเจอร์เหลือเฟือ Samsung Galaxy S III ก็เป็นเครื่องที่น่าสนใจไม่น้อย