iPad Air ได้เริ่มมีวางจำหน่ายมาได้เกือบ 1 สัปดาห์แล้ว และก็มีการแกะดูชิ้นส่วนภายในไปแล้วด้วยเช่นกัน (ข่าว iFixit แกะ iPad Air) ล่าสุดได้มีการประเมินจากสำนักวิเคราะห์ IHS iSuppli ถึงต้นทุนการผลิต iPad Air แต่ละเครื่องว่าน่าจะเริ่มต้นที่ $274 (8,500 บาท) ถึงไม่เกิน $361 (11,000 บาท) เท่านั้น โดยถ้าเทียบกับ iPad 3 จะพบว่าต้นทุนชิ้นส่วนของ iPad Air ยังจะถูกกว่า iPad 3 อยู่ราวๆ $42 หรือประมาณ 1,200 บาทด้วยซ้ำไป
โดยจุดที่เป็นไฮไลท์ในด้านชิ้นส่วนมากที่สุดก็คือพาเนลจอแสดงผล ซึ่งมีรายงานว่าจอของ iPad Air ได้นำเทคโนโลยีพาเนลจอแบบ IGZO เข้ามาใช้งานเป็นครั้งแรก โดยผลที่ได้จากการนำเทคโนโลยีพาเนลจอแบบ IGZO มาใช้งานก็คืออัตราการกินไฟของจอต่ำลง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วคือดีขึ้นกว่า iPad 4 ราวๆ 52% และถ้าเทียบด้านอื่นๆ ก็จะเป็นดังนี้
- แสงสะท้อนที่จอน้อยลง 23%
- ความสว่างสูงสุดของจอเพิ่มขึ้น 7%
- Contrast ของสีดีขึ้น 32%
- สีสันดีขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังมีรายงานมาอีกด้วยว่า iPad Air เลือกใช้หลอดไฟ LED ด้านหลังจอลดน้อยลงจากที่ iPad 4 เคยใช้หลอดไฟ LED ให้แสงสว่างจอถึง 84 หลอด แต่ใน iPad Air กลับใช้เพียงแค่ 36 หลอดเท่านั้น โดยที่ความสว่างของจอไม่ต่างจากเดิม ซึ่งก็ช่วยลดอัตราการใช้พลังงานลงไปได้พอสมควร ส่งผลให้ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ทำได้ดีขึ้น
ปิดท้ายด้วยต้นทุนชิ้นส่วนอื่นๆ ใน iPad Air กันครับ
- ต้นทุนหน้าจอ $133 (4,100 บาท) ถ้าแยกเฉพาะส่วนจะได้เป็น หน้าจอ $90 (2,700 บาท) ส่วนทัชสกรีน $43 (1,300 บาท)
- ชิปประมวลผล A7 ราคา $18 (560 บาท)
- ชิปรับสัญญาณไร้สาย $32 (1,000 บาท)
- ชิปหน่วยความจำ 16 GB ราคา $9 (270 บาท) สูงสุดคือ 128 GB ราคา $60 (1,800 บาท)
โดยถ้าคิดในแง่ของกำไรแล้ว iPad Air 16 GB WiFi จะกำไรให้ Apple คิดเป็น 45% ของราคาขาย ส่วน iPad Air 128 GB LTE ที่เป็นรุ่นท็อปสุด Apple จะได้กำไรถึง 61% จากราคาขายเลยทีเดียว ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้นทุนต่ำ ได้กำไรดี นอกจากราคาที่ตั้งมาค่อนข้างสูงอยู่แล้ว Apple ยังเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จัดการระบบสายการผลิต สายการขนส่งวัตถุดิบ (supply chain) ขนส่งผลิตภัณฑ์ได้ดีมาก จึงทำให้สามารถกดราคาต้นทุนลงได้ต่ำ (การจ้างโรงงานในจีนผลิตก็ช่วยลดต้นทุนค่าแรงลงไปได้มาก) จึงทำให้สามารถทำกำไรได้มากอย่างในปัจจุบัน
ที่มา: 9to5mac, MacRumor