เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทางทีมงานเราได้ไปร่วมงานเปิดตัวอุปกรณ์เสริม (ที่จำเป็นของแทบจะทุกคน) สำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแบรนด์ใหม่ล่าสุด นั่นคือกระจกนิรภัยและฟิล์มกันรอยจากแบรนด์ Hi-Shield?(ไฮชิลด์) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แยกธุรกิจมาจากฟิล์ม Hi-Kool ของในรถยนต์นั่นเอง ประมาณว่าธุรกิจในครอบครัว อะไรประมาณนี้ครับ โดยในงานนี้ได้มีการแนะนำทั้งส่วนของผู้บริหาร และตัวผลิตภัณฑ์เลย (อ่านได้จากข่าวนี้) สำหรับในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นของ Hi-Shield?กัน ว่ามีอะไรบ้าง แต่ละตัวมีจุดเด่นอย่างไร มาเริ่มกันเลยครับ
สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Hi-Shield จะแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือกลุ่มของกระจกนิรภัย กับกลุ่มของฟิล์มกันรอย มาดูจุดเด่นของฝั่งกระจกนิรภัยที่ถือเป็นผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ของ Hi-Shield?กันก่อนนะ
ไล่ดูทีละภาพก็แล้วกันนะครับ
ภาพ 1:?กระจกนิรภัยแบบ Tempered Glass ของ Hi-Shield?จะมีให้เลือกทั้งแบบปิดแค่จอธรรมดา และแบบคลุมกระจกส่วนหน้าของเครื่องทั้งหมด ซึ่งยังคงเป็นแบบที่หาได้ยากสำหรับผู้ใช้งาน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่ขอบหน้าจอมีความโค้งมน เนื่องจากพวกฟิล์มหรือกระจกยี่ห้ออื่นๆ ในตอนนี้ ส่วนมากมักจะคลุมไม่ทั่วด้านหน้าตัวเครื่องทั้งหมด
ภาพ 2:?สำหรับกระจกนิรภัยรุ่นที่ปิดหน้าจอ iPhone 6/6 Plus ทั้งหมดนั้น นอกจากจะมีสีขาวและสีดำแล้ว ยังมีสีอื่นๆ เป็นแบบแฟนซีให้เลือกด้วย ม่วง ทอง ชมพู กากเพชรเรืองแสงฟรุ้งฟริ้ง เชื่อว่าน่าจะถูกใจสาวๆ แน่นอนสำหรับกระจกนิรภัยกลุ่มนี้ นอกจากจะช่วยป้องกันหน้าจอแล้ว ยังได้เรื่องความสวยงามด้วย
ภาพ 3:?เรื่องความแข็งแกร่งก็หายห่วงเลยครับ เพราะแข็งแกร่งตามมาตรฐานระดับ 9H เลย
ภาพ 4:?ส่วนความหนาของตัวกระจกนิรภัยก็อยู่ที่ 0.33 มิลลิเมตรเท่านั้น ติดแล้วไม่ทำให้ตัวเครื่องหนาขึ้นจากเดิมมากนัก
ภาพ 5: ที่ผิวของกระจก มีการเคลือบสารจำพวก Oleophobic ที่ช่วยลดความมัน ป้องกันการเกิดคราบลายนิ้วมือ รวมถึงมีการเคลือบสารจำพวก Hydrophobic เพื่อป้องกันการจับตัวของหยดน้ำ ทำให้ผิวสัมผัสลื่น น้ำไม่เกาะตัวบนกระจก
ภาพ 6:?เนื้อกระจกมีความใส ทำให้สีสันของภาพจากจอไม่ลดลง ภาพยังคงคมชัด สวยงามเหมือนไม่ได้ติดกระจกเข้าไปเลย
ภาพ 7:?การติดสามารถทำได้ง่าย ทำเองที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม หรือถ้าติดแล้วไม่พอใจ ก็สามารถลอกออกมาเพื่อติดใหม่ได้ด้วย
ภาพ 8:?ในตัวเนื้อกระจกนิรภัย จะมีการแบ่งออกเป็น 6 ชั้นย่อยๆ ครับ ที่น่าสนใจก็คือส่วนของซิลิโคนที่ช่วยทำให้สามารถลอกออกมาติดใหม่ได้ง่าย ไม่ทิ้งคราบเหมือนฟิล์มกันรอยบางตัว
สำหรับในด้านราคา Hi-Shield จะเน้นปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาในช่วงราคากลางๆ แต่ให้คุณภาพผลิตภัณฑ์ในระดับที่ดี ไม่แพงเกิน ไม่ถูกเกินไป ส่วนราคาแต่ละรุ่นจะเป็นอย่างไร ก็รอชมในส่วนต่อไปได้เลย
ส่วนใครไม่อยากใช้กระจก Hi-Shield?ก็มีฟิล์มกันรอยมาให้เลือกใช้งานด้วยเช่นกัน จุดเด่นก็คงเป็นเรื่องของวัสดุที่เลือกใช้วัสดุนำเข้าจากญี่ปุ่นและไต้หวัน คุณสมบัติที่น่าสนใจก็จะเป็นเรื่องของความใสของเนื้อฟิล์ม ที่ทำให้สีสันภาพสวยงาม คมชัด การป้องกันรอยนิ้วมือบนหน้าจอ รวมถึงยังมีการป้องกันรอยขีดข่วนจากการใช้งานทั่วไปได้อีกด้วย
สำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Hi-Shield?ก็มีให้เลือกดังนี้ครับ (กระจกนิรภัยก่อนนะ)
Full Coverage Tempered Glass
- กระจกเต็มหน้าจอ
- ผิวสัมผัสลื่น
- ป้องกันรอยขีดข่วนด้วยความแข็งแกร่งระดับ 9H
- เคลือบสารป้องกันคราบรอยนิ้วมือ และป้องกันการจับตัวของหยดน้ำ
- บาง 0.33 มิลลิเมตร
- ราคา 1,090 บาท (iPhone 6) / 1,190 บาท (iPhone 6 Plus)
Colorful Frame Full Coverage Tempered Glass
- คุณสมบัติเหมือนกับตัวบนครับ แต่เป็นรุ่นมีสีสันให้เลือกหลายสี
- ราคา 1,190 บาท (iPhone 6) / 1,290 บาท (iPhone 6 Plus)
Blue Light Cut Tempered Glass
- เป็นกระจกถนอมสายตาแบบใส ช่วยตัดแสงสีฟ้าจากหน้าจอได้
- เป็นกระจกปิดเฉพาะหน้าจอ และขอบบนขอบล่างของจอ ไม่คลุมส่วนโค้งที่ขอบเครื่อง (ใน iPhone 6/6 Plus)
- สีเนื้อกระจกจะเป็นสีเทาอ่อน ติดแล้วดูเนียนกับตัวเครื่อง แม้ตัวเครื่องจะเป็นสีขาวก็ตาม
- คุณสมบัติอื่นๆ เหมือนกับตัวแรก
- ราคา 890 บาท
Tempered Glass
- คุณสมบัติเหมือนตัวแรกครับ ต่างกันที่ตัวนี้ไม่คลุมขอบโค้งข้างตัวเครื่องเท่านั้นเอง เน้นป้องกันเฉพาะส่วนผิวระนาบของหน้าจอ
- ราคา 690 บาท
ส่วนของฟิล์มกันรอย ก็มีดังนี้จ้า
Blue Light Cut Screen Protector
- คุณสมบัติเหมือนกับกระจกนิรภัยตัดแสงสีฟ้าเลย ต่างกันแค่ตัวนี้เป็นฟิล์ม
- ป้องกันรอยขีดข่วนด้วยความแข็งแกร่งระดับ 4H
- ราคา 490 บาท
Ultra Clear Full Coverage Screen Protector (ฟิล์มใสเต็มหน้าจอ)
- ป้องกันรอยขีดข่วนด้วยความแข็งแกร่งระดับ 4H
- เนื้อฟิล์มใส คลุมถึงส่วนขอบโค้งของริมจอด้วย
- ผิวสัมผัสลื่น ไร้ฟองอากาศรบกวน
- ติดตั้งเองได้ง่าย
- ราคา 490 บาท
Anti Fingerprint Matte Screen Protector (ฟิล์มด้านลดรอยนิ้วมือ)
- เน้นลดคราบรอยนิ้วมือที่จะเกิดขึ้นบนหน้าจอ
- เนื้อฟิล์มเป็นแบบด้าน ปิดเฉพาะส่วนระนาบเรียบของหน้าจอเหมือนฟิล์มทั่วไปในท้องตลาด
- ป้องกันรอยขีดข่วนด้วยความแข็งแกร่งระดับ 4H
- ผิวสัมผัสลื่น ไร้ฟองอากาศรบกวน
- ติดตั้งเองได้ง่าย
- ราคา 390 บาท
Anti Fingerprint Ultra Clear Screen Protector (ฟิล์มใสลดรอยนิ้วมือ)
- คุณสมบัติเหมือนตัวฟิล์มด้านครับ ต่างกันแค่ตัวนี้เป็นฟิล์มใส
- ราคา 390 บาท
Anti Glare Screen Protector (ฟิล์มด้านลดรอยนิ้วมือ)
- คุณสมบัติคล้ายๆ ฟิล์มด้านตัวด้านบนเลยครับ แต่คุณภาพลดลงมาหน่อยนึง ลดรอยนิ้วมือได้ไม่เท่าตัวบน
- ราคา 290 บาท
Ultra Clear Screen Protector (ฟิล์มใส)
- เป็นฟิล์มใสธรรมดา คุณสมบัติคล้ายๆ ฟิล์มใสตัวด้านบนเช่นกัน แต่คุณภาพลดลงมาหน่อยนึง
- ราคา 290 บาท
สำหรับรุ่นที่มีวางจำหน่ายในช่วงแรกก็มีดังนี้ครับ
ได้แก่
- iPhone 6 Plus, iPhone 6, iPhone 5s, iPhone 5
- iPad Air, iPad mini
- Samsung Galaxy Note 4, Galaxy Note 3, Galaxy S5, Galaxy Grand Prime, Galaxy Grand 2 Galaxy Alpha, Galaxy V และ Galaxy Win
ส่วนรุ่นอื่นๆ จะมีตามมาในภายหลังครับ ในช่วงแรกนี้จะเน้นไปที่มือถือรุ่นยอดนิยม ที่ทาง Hi-Shield เล็งแล้วว่ากลุ่มผู้ซื้อน่าจะอยากหากระจกนิรภัยมาติดให้กับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตสุดรักของตน
ในงานเปิดตัวครั้งนี้ ก็มีสาธิตการติดตั้งกระจกนิรภัยให้ได้ชมกันด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าสามารถติดได้ง่าย ไม่ว่าจะทั้งแบบเต็มหน้าจอครอบส่วนโค้ง และแบบปิดหน้าจอธรรมดาอย่างเดียว
นี่คือหน้าตาของ iPhone 6 ที่ติดตั้งกระจกนิรภัย Hi-Shield แบบปิดเต็มทั้งด้านหน้าเรียบร้อยแล้วครับ จะเห็นว่าหน้าตาก็ยังคงเป็น iPhone 6 สีขาวอยู่เหมือนเดิมเลย
พอมาดูด้านข้าง ก็จะเห็นว่าแผ่นกระจกคลุมมาปิดถึงส่วนโค้งของกระจกจอ จนมาชนกับขอบอลูมิเนียมของฝาหลังเลย รับรองว่าช่วยปกป้องได้เป็นอย่างดีแน่นอน แต่ก็อาจจะมีปัญหากับเคสบางตัวอยู่เหมือนกัน เพราะเคสบางรุ่นจะมีส่วนเกยขึ้นมาบนหน้าจอด้วย อันนี้ก็คงต้องศึกษาข้อมูลของเคส หรือทดสอบก่อนซื้อเคสกันให้ดีซักหน่อยนะครับ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นเสียเงินฟรีๆ
ส่วนตัวผมเองใช้บัมเปอร์ Spigen รุ่นพลาสติกที่มียางหุ้มอยู่ภายในอีกชั้น เท่าที่ลองเอามาใส่กับ iPhone 6 เครื่องที่ติดกระจกแบบเต็มจอ ก็พบว่ายังสามารถใช้งานด้วยกันได้อยู่นะ ตัวเนื้อกระจกจะนูนขึ้นมาเสมอกับขอบริมของบัมเปอร์เลย (ปกติขอบบัมเปอร์จะนูนสูงกว่าจอเล็กน้อย) การใช้งานทั่วๆ ไปก็ยังทำได้สะดวกดีครับ สัมผัสได้ไหลลื่น ทัชติดมือ ภาพที่ได้ยังสวยเหมือนเดิม
ทีนี้ก็ลองติดเครื่องของผมเองบ้าง ทางทีมงาน Hi-Shield เลือกใช้กระจกนิรภัยแบบมีสีสัน (อันนี้เป็นสีเงินสะท้อนแสง คล้ายๆ กระจกเงา) ซึ่งขั้นตอนในการติดก็ไม่ยากเลย ดังนี้
- ลอกฟิล์มเก่าออก
- ทำความสะอาดหน้าจอ (ในแพ็คเกจมีผ้าสำหรับทำความสะอาด และมีแผ่นกาวช่วยจับฝุ่นให้ด้วย)
- เล็งตัวกระจกนิรภัยดีๆ เล็งให้ตรง
- เริ่มติดกระจกลงไปบนหน้าจอ เริ่มจากตรงกลาง แล้วก็เริ่มกดลงไปจากส่วนกลางจอ จากนั้น ตัวกระจกจะดูดติดเข้าไปกับหน้าจอเอง และทำการไล่ลมออกเองด้วย
- เสร็จเรียบร้อยจ้า
จุดที่น่าสนใจก็คือ ตัวกระจกจะทำการไล่ลมเองระหว่างติดครับ จากที่ดูการสาธิตของทางทีมงาน Hi-Shield สามสี่รอบ ก็เห็นชัดๆ เลยว่าตัวกระจกดูดติดเข้าไปเอง ลมก็ถูกไล่ออกมาเองโดยไม่ต้องใช้นิ้วนั่งไล่ฟองอากาศเลย ดูแล้วติดง่ายมากๆ แถมถ้าไม่พอใจ ก็สามารถใช้เล็บค่อยๆ แงะตรงขอบกระจกเพื่อดึงขึ้นมาติดใหม่ได้ง่ายอีกต่างหาก
รอบนี้เปลี่ยนไปติดกระจกนิรภัยแบบคลุมเฉพาะส่วนเรียบบนจอ ไม่คลุมขอบโค้งของกระจกจอกันบ้าง วิธีการติดก็เหมือนกันเลยครับ อากาศก็ถูกไล่ออกเองอีกเหมือนกัน ใช้เวลาติดไม่ถึง 2 นาทีก็เสร็จแล้ว (แต่ตอนเช็ดทำความสะอาดอาจจะนานหน่อย) ตัวกระจกเองก็ได้รับการเจาะ ตัดคัตติ้งออกมาได้พอดีกับตัวเครื่องและช่องต่างๆ มาก งานตัดทำได้เนียน ไม่มีเศษๆ หรือขั้วอะไรเกินออกมาเลย ถือว่างานดีเลยนะตัวนี้
ติดเสร็จแล้ว มาดูความหนาของกระจกแบบใกล้ๆ กันครับ ออกตัวก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใช้กระจกกันรอย กระจกนิรภัยมาก่อนเลย ปกติก็ติดแค่ฟิล์มเท่านั้น จากเท่าที่ผมลองใช้กระจกนิรภัย Hi-Shield ตัวนี้มา พบว่าภาพที่ได้จากจอดูใสขึ้นกว่าตอนใช้ฟิล์มเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะมันใหม่กว่าด้วยล่ะนะ (ฟิล์มเก่าผมใช้ของ Spigen ที่แถมมากับบัมเปอร์) การทัช การลากนิ้วเหมือนจะลื่นกว่าฟิล์มนิดหน่อย สัมผัสเนียน มุมมองภาพยังดีเหมือนไม่ได้ติดฟิล์มหรือกระจกใดๆ เลย
ส่วนจุดที่ต่างจากฟิล์มอย่างชัดเจนก็คือความหนา ซึ่งสังเกตได้ชัดมากๆ จากการกดปุ่มโฮม เพราะความต่างความสูงของผิวกระจกกับผิวปุ่มโฮมเพิ่มขึ้น การใช้งานช่วงแรกๆ นี้เลยอาจจะยังไม่ชินซักเท่าไร ส่วนการลากนิ้วจากขอบเครื่องเข้ามาตรงกลางๆ จอ เช่นเวลาจะเลื่อนหน้าจอกลับไปหน้าก่อนหน้านี้ ซึ่งปกติจะต้องเลื่อนผ่านขอบฟิล์มเข้ามา แต่คราวนี้เปลี่ยนเป็นกระจกแทน ซึ่งก็บอกว่าแทบไม่ต่างกันเลย เพราะขอบของกระจกไม่ถึงกับคมจนบาดมือ เผลอๆ ส่วนตัวผมคิดว่าขอบฟิล์มที่เคยใช้ยังจะคมกว่าด้วยซ้ำไป
สำหรับใครที่สนใจกระจกนิรภัยหรือฟิล์มกันรอย Hi-Shield ก็สามารถหาซื้อได้แล้วตามร้านต่างๆ เช่น iStudio, iBeat, .Life รวมถึงตัวแทนจำหน่ายตามโซนมือถือชั้นนำในห้างสรรพสินค้าครับ โดยจะเริ่มกระจายสินค้าไปเรื่อยๆ ส่วนในงาน Thailand Mobile Expo 2015 ที่จะมีขึ้นในวันพฤหัสที่ 12 ถึงวันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ Hi-Shield ก็จะไปออกบูทในงานด้วยเช่นกันครับ ไปลองชม หรือซื้อหามาติดกันได้เลย รู้สึกว่าจะมีโปรโมชันลดราคาพิเศษเฉพาะในงานด้วยนะ อาจจะติดตรงที่ยังมีรุ่นของมือถือที่ใช้งานได้น้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง
ปิดท้ายด้วยภาพบรรยากาศในงานและภาพผู้บริหาร Hi-Shield เล็กๆ น้อยๆ ครับ