วิธีการซื้อสินค้าจาก Apple Store แบบออนไลน์แบบไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิต

Screen Shot 2557-10-31 at 8.21.22 AM

ในการซื้อสินค้าจากเว็บของ Apple เองในระบบ Apple Store Online กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากสามารถกดซื้อได้ง่าย สะดวก ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาดูกันครับ ว่าถ้าไม่ใช้งานบัตรเครดิตในการจ่ายเงินกับ Apple เราจะสามารถใช้งานอะไรได้บ้าง

*** ส่วนถ้าใครมีบัตรเครดิตอยู่แแล้วก็สามารถใช้งานบัตรเครดิตของตนได้เลยครับ ไม่ต้องสมัครใหม่ ***

โดยวิธีใช้บริการของธนาคารนั้น มีธนาคารที่สามารถใช้สำหรับซื้อสินค้าของ Apple ได้สองธนาคารครับ นั่นคือ ธนาคารกรุงเทพ กับ ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งจะเลือกใช้ของธนาคารใดก็ได้ โดยเบื้องต้นจะต้องมีบัญชีและบัตรของบัญชีนั้นๆ โดยของธนาคารกรุงเทพจะใช้ชื่อบริการว่า Be1st ส่วนของธนาคารกสิกรไทยจะใช้ชื่อบริการว่า K-web Shopping Card ครับ ส่วนวิธีการทำของแต่ละธนาคารนั้น แนะนำว่าลองเข้าไปอ่านจากลิ้งค์ด้านล่างนี้นะครับ เพราะมันค่อนข้างยาว

เมื่อจัดการเรื่องบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาซื้อสินค้าแบบออนไลน์แล้วครับ เรามาดูส่วนของการซื้อสินค้ากันดีกว่า

การซื้อสินค้าผ่าน Apple Store Online

สิ่งที่ควรรู้

  • ต้องมีบัญชี Apple ID (วิธีสมัคร Apple ID?แต่เปล่ี่ยนตรงขั้นตอนที่ 7 โดยให้กรอกข้อมูลที่เราได้จากบริการของธนาคารที่ทำไปข้างต้นครับ ซึ่งของกสิกรจะต้องล็อกอินเข้าไปในระบบ K-Cyber Banking แล้วดูตรงส่วน K-Web Shopping Card เพื่อดูข้อมูลบัตรเครดิตจำลองของเรา)
  • การจัดส่งสินค้าจะส่งให้กับที่อยู่ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศเดียวกันกับ Store ที่สั่งเท่านั้น เช่นเราอยู่ไทย แต่ไปสั่งที่ Store ของฮ่องกง เราก็จะสามารถเลือกส่งของได้เฉพาะภายในฮ่องกงเท่านั้น (ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับกฏของ Apple ในแต่ละประเทศด้วย แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด สั่งจาก Store ไทยเถอะครับ ไม่ยุ่งยากแน่นอน)
  • ราคาที่อยู่บนหน้าเว็บ ถ้าขึ้นว่าเป็นราคาไหน ก็คือเราต้องจ่ายราคานั้นเลย ไม่มีการบวกเพิ่มอีกแล้ว
  • ถ้าสั่งสินค้ามูลค่ารวมเกิน 2,000 บาท Apple จะจัดส่งให้ฟรี
  • การจัดส่งสินค้า Apple จะใช้บริการของ DHL จัดส่งถึงบ้าน (ถ้าอยู่ใน กทม.) ส่วนต่างจังหวัดจะฝากไปรษณีย์ไทยส่งมาทาง EMS อีกที
  • เราสามารถติดตามสถานะของสินค้าที่เราสั่งได้ทางเว็บไซต์ของ Apple?ส่วนหลังทำการจัดส่งมาแล้วจะสามารถติดตามสถานะได้จากเว็บไซต์ของ DHL ซึ่ง Apple จะแจ้งมาทางอีเมลว่าสามารถติดตามได้ทางไหนบ้าง
  • ระยะเวลาการจัดส่งสินค้า ขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้าที่มีอยู่ในสต็อก โดยถ้าเป็นสินค้าใหม่ๆ หลังเปิดวางจำหน่าย อาจจะใช้เวลารอ 2-4 สัปดาห์เป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าสินค้านั้นๆ วางจำหน่ายมาระยะหนึ่งแล้วและมีของสต็อกในไทย อย่างเร็วสุดก็ประมาณ 1 วันเท่านั้น

คราวนี้เรามาดูขั้นตอนกันดีกว่า ว่าการสั่งซื้อสินค้าผ่านทาง Apple Store Online นั้นมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

1. เข้าเว็บไซต์ก่อน

เว็บไซต์ที่ใช้สำหรับสั่งซื้อสินค้าของ Apple นั้นก็คือ store.apple.com/th เมื่อเข้าไปแล้วก็จะพบกับหน้าจอด้านล่างนี้ครับ

Screen Shot 2557-10-31 at 8.41.53 AM

ซึ่งเราสามารถคลิกเข้าไปเพื่อค้นหาสินค้าที่เราต้องการซื้อได้เลย หน่วยเงินก็เป็นหน่วยบาทของไทยเรียบร้อย เข้าใจง่ายครับ ก็เลือกหมวดหมู่สินค้าที่ต้องการกันได้เลย

2. เลือกรุ่นของสินค้าที่ตรงใจเรา

Screen Shot 2557-10-31 at 7.38.06 AM
ในกรณีนี้ผมขอยกตัวอย่างจากสถานการณ์จริงในการซื้อ iPhone 6 แล้วกันนะครับ โดยก่อนอื่นก็ให้เราเลือกรุ่น สีและความจุให้เรียบร้อย เมื่อได้ตามที่ต้องการแล้ว ก็ดูที่แถบด้านล่าง จะมีข้อมูลบอกว่าสามารถจัดส่งของได้ภายในกี่วัน ค่าจัดส่งเท่าไร ถ้าทุกอย่างโอเค ก็กดปุ่ม Select ที่เป็นสีเขียวได้เลย

3. เลือกอุปกรณ์เสริมหรือปรับแต่งเครื่องตามใจชอบ

Screen Shot 2557-10-31 at 7.37.53 AMScreen Shot 2557-10-31 at 7.38.20 AM
ส่วนนี้จะเป็นที่แต่ละอุปกรณ์จะมีไม่เหมือนกันนะครับ แต่หน้าที่หลักเลยก็คือเป็นตัวเลือกให้ผู้ซื้อสามารถซื้ออุปกรณ์เสริมของแต่ละเครื่องมาพร้อมกันเลย หรือจะเป็นปรับแต่งสเปกเครื่อง (ในกรณีของ Mac) โดยเมื่อเลือกซื้อของชิ้นใดเพิ่มเติม ราคาก็จะถูกบวกขึ้นมาในแถบด้านขวาโดยอัตโนมัติ ทำให้เราไม่ต้องมานั่งคำนวณเองว่าราคารวมอยู่ที่เท่าไร เมื่อเสร็จแล้วก็กดปุ่ม Add to Cart สีเขียวๆ ได้เลย

4. ตรวจเช็คคำสั่งซื้อ

Screen Shot 2557-10-31 at 7.38.32 AM

เมื่อเลือกอุปกรณ์อื่นๆ เสร็จแล้ว ก็จะมาถึงหน้าสรุปรายการสั่งซื้อ ซึ่งก่อนจะกด Check Out เราสามารถไปสั่งสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกครับ เพราะสินค้าชิ้นก่อนหน้านี้เราเก็บมันไว้ในตะกร้าของเราแล้ว

เมื่อคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็กดปุ่ม Check Out ที่เป็นสีเขียวได้เลย ซึ่งหลังจาก Check Out แล้วก็จะมีหน้าจอให้เราล็อกอิน Apple ID ก็ให้เรากรอก username และ password ของเราลงไป

5. จ่ายเงินและกรอกที่อยู่

Screen Shot 2557-10-31 at 7.32.57 AM

หลังจากล็อกอิน Apple ID เข้ามาแล้ว ก็จะเจอหน้าสรุปรวมให้ทราบกันอีกครั้งว่าของที่เราสั่งคืออะไร จะจัดส่งถึงภายในช่วงวันไหน ถ้าถูกต้องแล้วก็กดปุ่ม Continue สีเขียวเพื่อไปกรอกที่อยู่จัดส่งสินค้ากันได้เลย

 

 

Screen Shot 2557-10-31 at 7.33.08 AM

รูปด้านบนนี้เป็นช่องที่เราต้องกรอกสถานที่ที่จะให้ Apple จัดส่งสินค้าหาเรา ซึ่งสามารถระบุให้ได้ว่าเป็นการจัดส่งไปยังบริษัท โดยระยะเวลาในการจัดส่งจะเป็นช่วงวันจันทร์ – ศุกร์ตั้งแต่ 8:30 ถึง 17:00 น. ซึ่งก่อนส่ง ตามปกติ DHL จะโทรเข้ามาสอบถามเราก่อนครับว่าสะดวกรับสินค้าตามสถานที่ที่จ่าหน้าไว้หรือเปล่า ถ้าไม่สะดวกก็สามารถนัดแนะกันได้

หรือถ้าใครสะดวกที่จะไปรับที่ศูนย์กระจายสินค้าของ DHL มากกว่า ก็สามารถเจรจากับทางเจ้าหน้าที่ผ่านทางโทรศัพท์ได้เช่นกัน

Screen Shot 2557-10-31 at 7.34.48 AM

ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญครับ นั่นคือการกรอกข้อมูลบัตรเครดิตหรือบัตรที่เราทำไว้ในข้างต้นของบทความ รวมไปถึงการกรอกที่อยู่ที่จะให้ Apple จัดส่งสินค้า ทั้งข้อมูลส่วนตัวเจ้าของบัตรและที่อยู่ที่เราจะให้ส่งบิลไปหา ซึ่งถ้าเราต้องการจะให้ใช้ข้อมูลนี้ไปตลอด ก็ติ๊กถูกในช่อง Save as my default…… ตรงด้านล่างได้เลย

Screen Shot 2555 11 05 at 6.18.28 PM

ในช่องของรหัสบัตรนั้น ถ้าเป็นของบัตรเครดิตหรือใช้บริการ Be1st ของธนาคารกรุงเทพก็สามารถกรอกรหัสบนบัตรไปได้โดยตรงเลย แต่ถ้าเป็นบริการ K-web Shopping Card ให้เข้าไปที่ระบบ K-Cyber Banking แล้วเลือกเมนูดูรายละเอียดบัตร ดังภาพประกอบด้านบน เพื่อนำรหัสบัตรและ Security Code (CVV) ที่ธนาคารสร้างให้นำมากรอกได้เลย

Screen Shot 2557-10-31 at 7.35.22 AM

หลังจากกรอกข้อมูลการจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ก็จะเจอกลับมาที่หน้าสรุปคำสั่งซื้ออีกครั้ง ถ้าทุกอย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ก็กดปุ่ม Place Order Now เพื่อส่งคำสั่งซื้อไปได้เลยคร้บ

6. เช็ครายการสั่งซื้อ

Screen Shot 2557-10-31 at 7.35.42 AM

เมื่อการสั่งซื้อเสร็จสมบูรณ์ ก็จะมีหน้าจอแสดงคำขอบคุณจาก Apple ซึ่งในหน้าจอนี้จะมีส่วนสำคัญก็คือเลข Order Number ซึ่งถ้าเราติดต่อเรื่องการซื้อสินค้าไปยัง Apple เราจะต้องใช้เลข Order Number นี้ในการอ้างอิงคำสั่งซื้อของเราครับ (แต่โดยปกติก็ไม่ได้ใช้เป็นหลักเท่าไร เพราะการซื้อสินค้าจะถูกผูกไว้กับ Apple ID ของเราอยู่แล้ว)

หลังจากนี้ซักพัก Apple จะส่งอีเมลว่าได้รับคำสั่งซื้อเรียบร้อยแล้วกลับมา ตัวอย่างหน้าจออีเมลก็ดังภาพด้านล่างนี้

Screen Shot 2557-10-31 at 8.33.19 AM
เมื่อได้รับอีเมลยืนยันหน้าตาแบบนี้แล้ว ก็อุ่นใจได้เลยว่า Apple ได้รับคำสั่งซื้อของเราเรียบร้อย และเข้าสู่กระบวนการประมวลคำสั่งซื้อของเรา โดยสามารถคลิกดูสถานะสินค้าได้ด้วยการคลิกที่เลข Order Number ตรงมุมซ้ายบนของอีเมลครับ

ที่ตัวสินค้าแต่ละชิ้นนั้นจะบอกข้อมูลคร่าวๆ ระยะเวลาในการจัดส่งจนกว่าจะถึงมือเรา และกำหนดวันที่สินค้าจะจัดส่งถึงให้เรียบร้อยเลย ซึ่งรับรองได้เลยว่าไม่มีทางเกินไปจากวันที่ Apple แจ้งไว้แน่นอน มีแต่ที่แบบว่าอาจจะถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อยซะเป็นส่วนใหญ่ครับ

Screen Shot 2557-10-31 at 8.35.37 AM

เมื่อคลิกที่เลข Order Number ระบบก็จะให้ล็อกอิน Apple ID เพื่อเข้าใช้งานในระบบ Apple ID ของเรา เมื่อเข้ามาแล้วก็จะเห็นรายการสั่งซื้อที่เราสั่งซื้อไปล่าสุดอยู่ข้างบนสุด ซึ่งเราสามารถไล่ดูประวัติการสั่งซื้อทั้งหมดได้สบายๆ ไม่ว่าทั้งสินค้าที่ถึงมือเราแล้ว หรือสินค้าที่ยกเลิกคำสั่งซื้อไปก็จะขึ้นมาอยู่ในรายการด้วย อย่างกรณีของ iPod Touch Gen 5 สีแดงข้างล่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสินค้าถูกส่งมาจากโรงงานแล้ว โดยสถานะที่จะขึ้นในหน้านี้มีด้วยกัน 5 ขั้นตอนด้วยกัน คือ

  • We?ve received your order: แสดงให้เห็นว่า Apple ได้รับคำสั่งซื้อแล้ว (ยังสามารถเปลี่ยนแปลงและยกเลิกได้โดยการโทรไปที่เบอร์ 001-800-441-2904 แล้วคุยกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเราสามารถขอพูดกับพนักงานที่เป็นคนไทยได้ครับ)
  • Processing Items: Apple กำลังจัดการผลิตสินค้าให้อยู่
  • Preparing for Shipment: สินค้าผลิตเสร็จแล้ว กำลังเตรียมการจัดส่ง
  • Shipped: สินค้าถูกส่งออกมาแล้ว
  • Complete: สินค้าถูกส่งถึงมือผู้ซื้อสมบูรณ์แล้ว

ส่วนในหน้าแสดงสถานะของ DHL นั้น จะใช้การติดตามจากเลข Airwaybill ของพัสดุแต่ละชิ้น ซึ่งเราสามารถกดมาดูสถานะได้จากปุ่ม Track Shipment ในรูปด้านบนในช่องของสินค้าที่เราสั่งครับ ซึ่งเมื่อเข้ามาดูในหน้าของ DHL แล้ว จะมีการแสดงรายละเอียดของพัสดุสินค้าของเราตั้งแต่ขั้นตอนการรับพัสดุจากโรงงาน การขนส่งจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง การเข้าตรวจที่ด่านศุลกากร มาจนถึงพัสดุถูกส่งถึงมือเราเลยทีเดียว ดังตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ

Screen Shot 2555 11 05 at 12.20.09 PM

ภาพเก่า

ในภาพด้านบนนี้เป็นการติดตามขั้นตอนการส่ง iPod Touch Gen 5 ตั้งแต่โรงงานในจีนมาจนถึงมือ จะเห็นว่าละเอียดมากทีเดียว ดังนั้นสามารถติดตามได้อย่างค่อนข้างอุ่นใจเลย แต่ในขั้นของการเข้าตรวจที่ด่านศุลกากร (สถานะ Processed for clearance) ส่วนนี้มักจะเป็นส่วนที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน บางครั้งตรวจไม่ผ่านในครั้งแรก ทำให้ต้องรอออกไปอีกนิดหน่อย แต่ยืนยันได้ 100% เลยว่าสินค้ามาถึงมือเราตรงเวลาแน่นอน ไม่แน่อาจจะก่อนเวลาด้วยซ้ำ

ส่วนขั้นตอน Arrived at delivery facility – Bkk – BKK นี้แสดงว่าสินค้าลงจากเครื่องและไปอยู่ที่ศูนย์คัดแยกสินค้าของ DHL แล้ว (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะแถวๆ ดอนเมืองนะครับ) ซึ่งเมื่อถึงขั้นตอนนี้เราก็พอจะโทรไปสอบถาม DHL ได้แล้วว่าสินค้าอยู่ไหนแล้ว จะมาส่งภายในวันนั้นทันหรือเปล่า ส่วนสถานะ With delivery courier นี้ เป็นสถานะที่บอกว่าสินค้ามาถึงศูนย์กระจายสินค้าของ DHL แล้ว ซึ่งศูนย์ก็มีกระจายอยู่หลายเขตในกรุงเทพ ซึ่งเราก็สามารถโทรไปที่ศูนย์เพื่อติดต่อขอไปรับสินค้าด้วยตนเองที่ศูนย์กระจายสินค้าก็ได้ โดยหลักฐานที่ต้องนำไปก็แค่บัตรประชาชนของผู้สั่ง (เจ้าตัวไปรับเองจะดีมาก) และหมายเลข Airwaybill เท่านั้น รอเซ็นชื่อเล็กน้อยก็รับของได้เลย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ แน่นอนครับ

ถ้าเครื่องมีปัญหา

คราวนี้ถ้าสินค้าเกิดมีปัญหาหรือเราไม่พอใจในตัวสินค้า เช่นจอเหลือง เครื่องมีรอยขีดข่วน หรือมีการทำงานผิดปกติภายในช่วง 14 วันหลังได้รับสินค้า ผู้ซื้อสามารถโทรไปฝ่าย support ของ Apple ได้ที่เบอร์?001-800-441-2904 เช่นเดียวกัน และทำการแจ้งข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งในอีกไม่กี่วันก็จะมี DHL นำอุปกรณ์รุ่นเดียวกับเครื่องที่เราซื้อมาเปลี่ยนให้ใหม่ฟรีถึงบ้าน และรับเครื่องเก่าคืนไป เรียกว่าแค่โทรแจ้ง แพ็คของกลับเป็นอย่างเดิม แล้วก็รอเท่านั้นครับ ไม่ต้องแบกเครื่องไปศูนย์ที่ไหนเลย รวมไปถึงกรณีเคลมเครื่องก็เช่นเดียวกัน

การเคลมเครื่องนั้นสามารถติดต่อกับทาง Apple Support ด้วยเบอร์โทรข้างต้นก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี และมีการติดตามอาการด้วยสำหรับบางกรณีที่ไม่สามารถแก้ให้หายได้ในครั้งเดียว ส่วนใครที่ต้องการนำเครื่องไปเข้าศูนย์นั้น สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ว่าศูนย์บริการที่เป็นตัวแทนของ Apple มีอยู่ที่ไหนได้จากลิ้งค์นี้?จากนั้นก็ใส่จังหวัดที่อยู่ลงไปครับ อย่างในกรุงเทพก็ได้ผลออกมาดังนี้

Screen Shot 2555 11 06 at 1.34.05 AMซึ่งเท่าที่พบความเห็นส่วนใหญ่ มักจะแนะนำให้ไปที่ศูนย์ Macintosh Center และ MCC Center กันครับ โดยนโยบายการเคลมสินค้าของ Apple นั้นไม่ยุ่งยากและแทบไม่ตรวจสอบอะไรมากนัก โดยในปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายเป็นการส่งซ่อมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ภายในแทน ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนเครื่องทันทีแบบเมื่อก่อนแล้ว อาจจะมีบางกรณีที่อาจจะถึงขั้นได้เปลี่ยนเครื่อง แต่เครื่องที่เปลี่ยนให้ใหม่จะเป็นเครื่องโมเดลที่ผลิตมาสำหรับการเคลมเท่านั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทางศูนย์บริการหรือทาง Apple ครับ

อย่างตัวผู้เขียนเองก็เคยนำ iPod Touch ที่ซื้อจากต่างประเทศไปเคลม เนื่องจากไม่สามารถเปิดใช้งานเครื่องได้ (แต่ผมไม่ได้บอกไปว่าเครื่องยัง jailbreak อยู่) การรับเคลมก็ไม่มีปัญหามากนัก มีการตรวจสอบเครื่องในระดับหนึ่งและพบว่ามีปัญหาจริง เจ้าหน้าที่จึงรับเครื่องไว้และออกเอกสารให้ และนัดวันมารับของคืน พอถึงวันผมก็มารับคืน และพบว่าเครื่องที่เอามาเคลมให้ใหม่มีปัญหาเล็กน้อย ผมเลยเลือกที่จะไม่รับคืนและขอเคลมต่อ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร เจ้าหน้าที่รับเรื่องต่อให้โดยดี สัปดาห์ต่อมาก็มารับเครื่องอีกรอบ คราวนี้ผมพอใจตัวเครื่องก็เลยจบกรณีกันไปอย่างชื่นมื่น แม้จะกินเวลาถึง 2 สัปดาห์ก็ตาม (เพราะ iPod ของผมเป็นรุ่นเก่า เครื่องเคลมไม่ค่อยมีในสต็อกตอนนั้นเท่าไร)

เกร็ดการสังเกตง่ายๆ ว่าเครื่องที่ได้มาเป็นเครื่องโมเดลสำหรับเปลี่ยนโดยเฉพาะหรือไม่ ให้ดูที่ Model ในหัวข้อ About ครับ ถ้าสองตัวท้ายเป็น LL หรือ ZP ก็แสดงว่าเป็นเครื่องโมเดลที่ผลิตมาเพื่อใช้เปลี่ยนโดยเฉพาะ ส่วนเครื่องที่ซื้อเป็นมือหนึ่งมา อย่างของ iPhone ควรจะต้องเป็นโมเดล TH เท่านั้นครับ

ด้วยบริการต่างๆ ตั้งแต่ระหว่างการซื้อ รวมไปถึงหลังได้รับสินค้าแล้วของ Apple ทำให้หลายๆ คนติดใจและหันมาใช้บริการจาก Apple โดยตรงมากยิ่งขึ้น เพราะมาตรฐานการบริการที่เท่ากันกับ Apple Store ทั่วโลก ทำให้หลายๆ คนอุ่นใจเหมือนได้ซื้อของในร้าน Apple Store เองโดยตรง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีการบอกต่อกันพอสมควรในกลุ่มผู้ที่เคยซื้อสินค้า Apple มาก่อน ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นอีกหนึ่งเสียงในการบอกต่อและช่วยให้หลายๆ ท่านอุ่นใจในการตัดสินใจซื้อสินค้าจากทาง Apple Store Online โดยตรงได้นะครับ :)

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก