น่าจะเป็นมือถือเครื่องหนึ่งที่หลายคนจับตามองมากที่สุดในปี 2013 จากการผูกขาดตลาดของ Android อย่างเบ็ดเสร็จของ Samsung สาเหตุไม่ใช่เครื่องรุ่นไหน ก็๋คือตระกูล Galaxy S ที่เป็น Android ที่ขายดีที่สุด ในปีนี้่ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ 4 แล้วสำหรับตระกูลนี้ ความคาดหวังของหลายคนน่าจะอยู่ที่ว่ามันจะดีกว่าเดิมแค่ไหน หรืออะไรที่พัฒนาไปบ้างเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งจะมาเล่าในรีวิวครั้งนี้กันครับ ส่วนถ้าใครอยากอ่านสปอยล์ไวๆ ก็ลงไปอ่านสรุปกันก่อนได้ แต่ถ้าอยากอ่านแบบละเอียดก็ตามกันมาได้เลย
?สเปค Samsung Galaxy S4 😕https://specphone.com/Samsung/Galaxy-S4-[Galaxy-S-IV]/
ตัวเครื่อง : เหมือน Galaxy S III แต่บางและเรียบกว่าเดิม
มาเริ่มกันที่หน้าตาของตัวเครื่อง อย่างที่หลายๆ คนน่าจะได้เห็นกันตอนเปิดตัวไปแล้วว่าหน้าตาของมันนั้นไม่ได้ต่างกับ Galaxy S III เลย (จนบางคนอาจจะแซวว่าเป็น Galaxy S IIIs) เมื่อลองจับเทียบดูแล้ว ขนาดของ Galaxy S4 ไม่ได้ต่างกับ Galaxy S III มากนัก เพราะด้วยการใช้เนื้อที่ของตัวเครื่องที่ดีกว่าเดิม ขอบจอและพื้นที่สูญเปล่านั้นลดลง จึงทำให้ใส่หน้าจอมาเป็น 5 นิ้วได้ในขนาดพอๆ กับ Galaxy S III และอีกอย่างที่สังเกตได้คือฝาหลัง Galaxy S4 นั้นดีไซน์เป็นแบบ ?แบน? มากขึ้น เวลาวางบนพื้นที่ไม่เรียบก็ไม่ค่อยพบปัญหาเครื่องลื่นตกโต๊ะแล้ว
บริเวณบนของเครื่องนั้น จะเห็นว่ามีรูต่างๆ เพิ่มขึ้นมาจากเดิมประมาณสองรู ซึ่งเป็นเพราะเซนเซอร์ที่เพิ่มขึ้นมาสองตัวคือ Gesture Sensor ที่เอาไว้ใช้งาน Air gesture ที่จะพูดต่อไปภายหลัง และ RGB light Sensor เอาไว้ใช้กับฟีเจอร์ Adapt Display ซึ่งทาง Samsung บอกว่าจะทำการปรับความสว่าง ความอิ่มตัวของสี คอนทราสต่างๆ โดยอัตโนมัติ สารภาพตามตรงว่าหลังจากเปิดฟีเจอร์นี้ผมไม่รู้สึกว่ามันต่างเวลาใช้งาน แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะทำงานอยู่โดยผมไม่รู้ตัวก็ได้ ส่วนสุดท้ายคือช่อง LED Notification ที่ซ่อนไว้บริเวณมุมขวาบน แต่โดยรวมถือว่า Auto Brightness นั้นทำงานได้ดี ปรับแสงได้ตามความเหมาะสมกับบรรยากาศภายนอกดีกว่าของอีกหลายเจ้าเยอะ
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องจอแล้ว Galaxy S4 ถือเป็นจอ Super AMOLED ที่ดีที่สุดตั้งแต่ทำมาเลยก็ได้ อย่างแรกคือถึงแม้ว่าจะใช้การเรียงพิกเซลแบบ Pentile? หรือเรียงแบบสลับฟันปลาซึ่งจะทำให้จอภาพนั้นหยาบกว่าที่ควรจะเป็นโดยเฉพาะตัวหนังสือที่จะสังเกตได้ชัดเจนว่าหยาบกว่าปกติ แต่ด้วยจอที่มันละเอียดถึง 1080p บนขนาด 5 นิ้วนั้นเรียกว่าเข้าไปส่องใกล้ๆ ก็ไม่เห็นจุดด้อยในส่วนนี้แล้ว อีกทั้งการเพิ่มโปรไฟล์สีในหมวดของ Professional Photo ที่โทนสีซอฟลงมาในระดับที่สวยและสมจริง (ใครชอบสีแบบจัดๆ ก็ยังมี Dynamic ให้เลือก) แต่จอของ Galaxy S4 นี้จะออกสีเหลืองๆ ต่างกับบน Galaxy S III ที่ออกอมฟ้า แต่โดยรวมแล้วถือว่าจอของ Galaxy S4 นั้นจัดว่าอยู่ในคุณภาพที่ดี คอนทราสเยี่ยม และสบายตาเมื่อใช้งาน แต่ถ้าเทียบกับจอ Super LCD ของ HTC One นั้นยังด้อยกว่า โดยเฉพาะสีขาวนั้น HTC One ทำได้ขาวและคอนทราสดีกว่า Galaxy S4 เพราะใช้การเรียงพิกเซล RGB ตามปกติ? (ในเชิงเทคนิคแล้ว จอ AMOLED พิกเซลบางสีจะมีอายุการใช้งานสั้นกว่า จะต้องเรียงแบบสลับฟันปลาโดยเพิ่มพิกเซลบางสีให้มากกว่าปกติ เช่น RGBG ในขณะที่จอปกติจะเป็น RGB การที่มี G เพิ่มมานั้นทำให้การแสดงสีนั้นเพี้ยนไปจากความเป็นจริง แต่ต้องทำเพื่อให้อายุจอ AMOLED ใช้ได้นานขึ้น)
ส่วนที่เหลือนั้นหน้าตาเรียกว่าเหมือน Galaxy S III ทั้งหมด น้ำหนักและความรู้สึกในการถือจะคล้ายๆ กัน ที่เหลือเป็นเรื่องของสเปคภายใน ถ้าใครสนใจก็อ่านจากในหน้าสเปคของ Galaxy S4 ได้ครับ
TouchWiz Nature ที่ใส่ลูกเล่นมาเยอะขึ้น
นอกจากเครื่องที่หน้าตาเหมือนกับ Galaxy S III แล้ว ตัว TouchWiz Nature บน Galaxy S4 ก็มีหน้าตาคล้ายกับของเก่าเช่นกัน แต่เอฟเฟคนั้นกรุบกริบมีลูกเล่นมากขึ้น เช่นหน้าจอล็อคสกรีนนั้น สามารถเอานิ้วจ่อไว้เหนือจอก็จะมีแสงวิ่งตามปลายนิ้วของเราพร้อมกับเสียงอันล็อคแบบใหม่ที่ฟังแล้วแสนสดชื่น ใครที่ยังติดใจเสียงน้ำส้มคั้น 100% เวลาแตะจอไปมาบน Galaxy S III ก็ยังมีให้ฟังเหมือนเคย
ส่วนที่ปรับนั้นยังมีรูปแบบตัวอักษรและเลย์เอาท์ของแอพลิเคชันใหม่ตัวหลักของ Galaxy S4 บางตัวให้อ่านง่ายและสวยงามขึ้น แต่ยังไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไรนัก เช่นแอพบางตัวอย่าง Samsung Hub, S Health หน้าตาก็จะออกเรียบๆ ตามสไตล์ Android แต่แอพชุดเก่าอย่าง S Planner, S Memo เอาของเก่ามารีรันเหมือนกับบน Galaxy S III และ Note II ที่น่าผิดหวังไปหน่อยคือแอพลิเคชันหลักอย่าง Phone, Setting, Contact นั้นยังใช้เลย์เอาท์ Tab Bar ที่ต้องเอื้อมไปกดด้านบนเหมือนกับสมัย Android 2.3 ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะพบเห็นกับในมือถือปี 2013 เท่าไรนัก เพราะเจ้าอื่นๆ เขาทำให้เลื่อนซ้ายเลื่อนขวาก็เปลี่ยนแท็บให้โดยไม่ต้องเอื้อมนิ้วไปกดแล้ว
ในส่วนของ Notification นั้น Samsung ก็ยังทำให้ออกมาให้ปรับแต่งได้เยอะเหมือนเคย หลายคนอาจจะบอกว่ารก แต่สำหรับบางคนก็อาจจะสะดวกดี อันนี้ชอบส่วนตัวคือแถบปรับความสว่างหน้าจอที่เลื่อนไปได้ แต่มีอันหนึ่งที่ไม่แน่ใจว่ามีมาก่อนหรือเปล่าคือถึงแม้ว่าเราจะสั่งให้หน้าจอ Auto Brightness แล้วก็ยังคงปรับระดับความสว่างได้เพิ่มอีก +/- 5 ระดับ ซึ่งมีประโยชน์มากเพราะบางครั้งเรารู้สึกว่า Auto Brightness ยังสว่างไม่เพียงพอหรือสว่างมากไปก็เลือกที่จะปรับระดับด้วยตัวเองอีกทีก็ได้
หน้า Setting บน Galaxy S4 นั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 หมวดย่อย (แบบว่าฟีเจอร์เยอะจัด) แรกๆ อาจจะสับสนอยู่บ้าง แต่พอรู้ว่าอะไรอยู่หมวดไหนก็เข้าไปเปิดปิดค่าพวกนี้ได้ไวขึ้นครับ
หนึ่งในจุดเด่นที่ Samsung พยายามจะพรีเซนท์ไว้ใน Galaxy S4 คือ พวก Motion อย่าง Air Gesture ที่เอามือไปวาดลอยเหนือเซนเซอร์แล้วจะเป็นการเรียกใช้งานบางอย่าง เช่นรับสายเมื่อมีสายเรียกเข้า หรือเปลี่ยนเพลงได้ หรือเลื่อนหน้าจอโฮมสกรีนเมื่อกำลังจะวางช็อตคัตได้ และฟีเจอร์ Air View ใน Galaxy Note II แต่ครั้งนี้ถูกปรับมาให้ใช้กับการออกคำสั่งด้วยมือโดยนำนิ้วลอยเหนือหน้าจอจะเป็นการพรีวิวรูปหรือวีดีโอออกมาโดยที่เราไม่ต้องกดเข้าไปดู ซึ่งจากที่ลองใช้แล้วคิดว่าแม่นยำในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้น 100% แต่หลายๆ ครั้งพบว่า ที่ใช้แล้วโอเคก็จะเป็นส่วนของพวก Smart Stay หรือ Air View พวกนี้มีประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่ Air Gesture นี่ใช้ไปซักพักแล้วออกแนวเมื่อยมีอซะมากกว่า และคิดว่าคงไม่ได้ใช้ประจำถึงแม้จะอาจจะเห่อในช่วงแรกๆ อย่างที่บอกคือความแม่นยำมันไม่สูง แต่ใช้ไปซักพักอาจจะจับจุดได้ก็แล้วแต่ อาจจะเรียกว่ามีก็ดี แตกต่าง แต่ถึงเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายว่า ฟีเจอร์นี้แหละ เปลี่ยนโลกแน่ๆ ก็คงไม่ใช่นะ
ส่วนขาฟิตเนสออกกำลังกายน่าจะชอบกับ S Health ที่สามารถวัดระยะก้าวของเราได้ ซึ่งมีประโยชน์สำหรับคนออกกำลังกาย มีการคำนวณการเผาพลาญพลัีงงานจากการออกกำลังกายให้ รวมไปถึงแคลอรี่ที่เราได้จากการรับประทานอาหารต่างๆ อันนี้ใช้งานได้ดีเลยครับสำหรับคนออกกำลังกาย เป็น Tracker ที่ดีเลย มีตัววัดอุณหภูมิด้วยซึ่งน่าจะใช้บารอมิเตอร์ในการวัด
ส่วนเรื่องความเร็วนั้นไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเพราะว่า Exynos 5 Octa ถือเป็นซีพียูที่แรงในระดับต้นๆ ของปี 2013 นี้อย่างแน่นอน (อาจจะเสียแชมป์ตอน Tegra 4 ออกมา) การเปิดเว็บทำได้รวดเร็ว สลับโปรแกรมได้สะดวกสบายด้วยแรม 2 GB ทำให้ระบบไม่ต้องคิลแอพบ่อยๆ ถ้าวัดความรู้สึกจากการเปิดเว็บก็เร็วก็ถือว่าเร็วกว่าดิม โดยโหลดเว็บได้เสร็จเฉลี่ยประมาณ 4-5 วินาที ตอบสนองการใช้งานได้ทุกรูปแบบ แต่สำหรับเกมที่ใช้กราฟฟิคหนักๆ นั้นก็พบว่าเครื่องมีอาการอุ่นๆ อยู่บ้าง
ระยะใช้งานของ Galaxy S4 นั้นถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ Galaxy S III โดยสามารถใช้งานได้่ประมาณ 1 วันสำหรับการใช้งานกลางๆ ที่ไม่หนักมากเกินไปนัก แต่ถ้าเล่นใช้งานหนักแบบเล่นเกมแบบต่อเนื่องนั้นตัวเครื่องอยู่ได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถึงแม้ว่า Galaxy S4 จะมากับแบตเตอรี่ขนาด 2600 mAh ก็ตาม แต่ก็อย่าลืมว่ามากับหน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 5 นิ้วและละเอียดขึ้นด้วยเช่นกัน
ผลการทดสอบประสิทธิภาพ : กลับมาเป็นที่ 1 แบบสมศักดิ์ศรีอีกครั้ง
สำหรับผลทดสอบในส่วนของซีพียูนั้นก็ได้นำส่วนของตัวที่เป็นชุดทดสอบด้าน Browser ที่ซีพียูมีผลกระทบต่อผลการทดสอบเป็นหลัก โดยทั้ง BrowserMark และ Sunspider นั้นซีพียู Exynos 5 Octa ของ Samsung นั้นได้ผลทดสอบอันดับ 1 ไปทั้งหมด ซึ่งก็เป็นพลังของ ARM Cortex A15 ที่ Samsung เข็นผลิตออกมาได้ต่อเนื่อง สำหรับใครที่นิยมความแรงเป็นหลักแล้ว ก็รอช่วงไตรมาส 3 เพราะคงมีมือถือที่ใช้ Nvidia Tegra 4 ที่ใช้ ARM Cortex A15 ออกมาเช่นเดียวกัน แต่ผลออกมาก็คงเห็นภาพกันคร่าวๆ แล้วว่าซีพียู ARM Cortex A15 นั้นเหนือกว่า Krait 300 ที่ใช้ใน Snapdragon 600 ไปได้พอสมควร
BrowserMark
Sunspider
ส่วนของตัวประมวลผลกราฟฟิคนั้น ไม่ง่ายนักที่จะเห็น Samsung มาหยิบเอา PowerVR มาใช้ แต่หยิบมาทีก็เรียกว่าไม่ได้หยิบตัวกระจอกๆ มาให้ เพราะหยิบตัวในระดับท็อปมาให้ทีเดียว และเฉือนเอาชนะ Adreno 320 ที่ถูกใช้ในกลุ่ม Snapdragon S4 Pro ที่เป็นซีพียูกลุ่มพิมพ์นิยม ควอดคอร์จอ 5 นิ้วไปได้แบบสบายๆ ไร้ข้อกังขา การเล่นเกมนั้นส่วนใหญ่แสดงผลได้ราบลื่นดี โดยเฉพาะเกมที่กินแรงเครื่องมากอย่าง Dungeon Hunter 4 ก็เล่นได้สบายๆ โดยที่ไม่มีอาการเฟรมตกให้เห็น เพราะผลเบนช์มาร์กออกมาเป็นที่ 1 ตอนนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหากับเรื่องประสิทธิภาพแน่นอน (ยกเว้นเกมหรือแอพเขียนมาห่วยเอง)
GLBenchmark Egypt Onscreen
GLBenchmark Egypt Offscreen
แถม 3DMark มาให้เผื่ออยากดูกันด้วยครับ
กล้อง : น่าพอใจสำหรับสำหรับการถ่ายทั่วไป
กล้องของ Galaxy S4 นั้นให้สีและรายละเอียดที่ถือว่าดีทีเดียวถ้าสภาพแสงชัดเจน ด้วยจากกล้องมีความละเอียดถึง 13 ล้านพิกเซลจึงเก็บรายละเอียดต่างๆ ของภาพได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีจุดอ่อนตามกล้องของสมาร์ทโฟนทั่วไปที่ถ่ายในที่มืดได้ไม่ดีนัก ซึ่งถ้าเทียบในที่มืดแล้ว HTC One, iPhone 5 หรือ Lumia 920 จะดีกว่า แต่สำหรับการถ่ายรูปแบบ Auto Shoot ทั่วไปก็ถือว่าน่าพอใจแล้วสำหรับการถ่ายในที่กลางแจ้งหรือแสงทั่วไป แต่ถ้าแสงน้อยก็ตามสภาพครับ
อันนี้เป็นตัวอย่างรูปถ่ายในโหมด HDR ซึ่งถ่ายแล้วรู้สึกจะตายในสภาพแสงน้อยเช่นเดิม แต่ก็ช่วยลดอาการชดเชยแสงมากเกินไปบางจุด อย่างในรูปที่ 2 นั้นจะเห็นรูปตึกในฉากหลังแล้วบริเวณด้านขวามือแล้ว ส่วนรูปที่ 4 นั้นท้องฟ้าก็เห็นเป็นสีฟ้าพร้อมรายละเอียดของเสาสีขาวด้านหลัง ต่างกับรูปต้นฉบับที่ over exposure ไป
ส่วนวีดีโอนั้นเห็นชัดเจนว่าวัดแสงเพี้ยนอยู่บ้าง แต่คุณภาพก็ถือว่าโอเค ดีกว่ารุ่นที่แล้วครับ
?
สรุป : ดีขึ้นกว่าเดิมทุกด้าน กับลูกเล่นแปลกใหม่ที่หลายคนอยากลองใช้
หลังจากที่ได้ลองใช้ Galaxy S4 เป็นเครื่องหลักประมาณอาทิตย์นึงนั้น ถ้ามองในแง่ความเร็วก็รู้สึกว่าดีขึ้น แต่ไม่ถึงกับว่าต่างกับ Galaxy Note II มากเนื่องจากแรมเยอะสลับแอพไปมาได้สะดวกดี ตัวแอพลิเคชันหลักอย่างพวก Phone, Contact, Setting นั้นดูไม่สวยเท่ากับแบรนด์อื่นๆ อย่าง HTC หรือ Sony แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่าน่าเกลียด เพราะพวก Widget หรืออินเตอร์เฟซบางส่วนอย่าง Samsung Hub หรือ S Health นั้นออกแบบมาได้สวยงามน่าใช้ ส่วนตัวแล้วคิดว่า TouchWiz รุ่นหน้า (อาจจะเป็น Galaxy S5) เราน่าจะได้เห็นการออกแบบใหม่ทั้งหมดจาก Samsung เพราะความรู้สึกมันคล้ายกับ iOS ว่ามันดูล้าสมัยไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่อง Tab Bar นี้ออกอะไรที่จะขัดใจพอสมควรเพราะมือถือมันหน้าจอใหญ่ แล้วยังต้องเอื้อมไปกดด้านบนอีก แทนที่จะเลื่อนซ้ายเลื่อนขวาเปลี่ยนแท็บได้เหมือนกับอินเตอร์เฟซ Android รุ่นใหม่ๆ รวมไปถึงการกดปุ่มโฮมค้างเพื่อสลับแอพ โดยปุ่มแบบสัมผัสรุ่นใหม่ๆ นั้นมีปุ่มสลับแอพมาให้ ซึ่งมันช่วยให้สลับโปรแกรมได้สะดวกกว่ามาก อย่าง HTC One นั้นก็ใช้การแตะปุ่มโฮมสองครั้งในการเรียกหน้าสลับแอพมาซึ่งกินเวลาน้อยกว่าการกดปุ่มโฮมค้าง การใช้งานนั้นถือคล่องตัวกว่าการกดปุ่มโฮมค้างของ Galaxy S4 มาก
ขนาดเครื่องถือว่าพอๆ กับ Xperia Z ใช้งานได้ไม่ลำบากเกินไปนักพอที่จะประคองด้วยมือเดียวได้แต่ก็มีบางท่าที่คงต้องใช้สองมือจับซึ่งที่ใช้มาก็ไม่บ่อยนัก เรื่องระยะการใช้งานนั้นถือว่าพอๆ กับ Galaxy S III เนื่องจากหน้าจอที่ใหญ่และซีพียูที่ใช้พลังงานมากกว่าเดิม เมื่อรวมกับแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นด้วยก็ถือว่าถัวๆ กันไปพอดี ลูกเล่นกิมมิคหลังจากที่ลองพยายามใช้ดูนั้นพบว่าอยากลองตามประสาของใหม่ แต่ก็ไม่ได้ใช้งานได้ดีจนถึงขั้นว่าสเถียรหรือเจ๋งพอที่ใช้แทนการใช้งานแบบเดิมๆ ยกตัวอย่างให้เห็นเช่น Air Gesture ซึ่งสามารถใช้การปาดมือเหนือหน้าจอเพื่อเลื่อนเพลงหรือสลับแท็บเบราว์เซอร์ อย่างแรกคือเราต้องปาดมือให้เหนือเซนเซอร์กล้องหน้า ซึ่งถ้าไม่ถึงมันก็จะไม่เลื่อนซึ่งเมื่อใช้งานไปบางครั้งก็อาจจะพลาดกันบ้าง ซึ่งตรงนี้มันเหมือนเป็นข้อจำกัดในเรื่องเทคโนโลยีซึ่งก็เข้าใจได้ในแง่ของผู้ผลิต แต่จากที่ผมลองให้คนอื่นเล่น Air Gesture ดูโดยที่เขาไม่รู้วิธีการทำงานของระบบนี้ พบว่าใช้ซัก 10 ทีจะสำเร็จประมาณ 5-6 ที ซึ่งเป็นการใช้งานแบบตั้งใจเล่นด้วย ไม่ได้เป็นการใช้งานแบบธรรมชาติ แถมลองใช้ไปนานๆ ก็เมื่อยข้อมือซะแบบนั้น สุดท้ายก็ไปจิ้มจอเอาแบบเก่าสบายใจกว่า ตัวบอดี้เองก็ยังเป็นพลาสติกที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก อาจจะด้อยไปเมื่อจับเทียบกับ Xperia Z, HTC One หรือ iPhone 5
หลังจากเก็บเครื่องลงกล่องแล้ว ผมก็รู้สึกว่า Galaxy S4 มันมีพัฒนาการที่ดีขึ้น จอดีขึ้น กล้องดีขึ้น ซึ่งสองอย่างนี้เป็นอะไรที่รู้สึกว่าใช้ได้ไม่ขัดใจแล้วเพราะจอเที่ยวนี้ปรับสีมาค่อนข้างดีและละเอียดในระดับ 1080p แล้ว (ส่วนตัวไม่ชอบจอ AMOLED เพราะเห็นเม็ดพิกเซลหยาบจากการเรียกพิกเซลแบบ Pentile กับจอปรับสีมาสดไป) ฟีเจอร์หลายอย่างถูกเพิ่มเข้ามาโดยหวังว่าจะให้ประสบการณ์กับผู้ใช้ที่ดีขึ้น ถ้าเทียบกับ Galaxy S III ก็ถือเป็นการอัพเกรดที่ไม่มากนักแต่เป็นการพัฒนาสเปคและความน่าใช้ให้มากขึ้น
แต่ Galaxy S4 ก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์แบบเดิมๆ ของ Samsung ที่เน้นอัดฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามา (จะรู้ว่ามีหรือใช้ไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง) เหมือนคำกล่าวที่ว่าปริมาณมีคุณภาพในตัวของมันเอง เหลือดีกว่าขาดอะไรทำนองนี้ ถามว่ามันเป็นมือถือที่ดีที่สุดในตลาดไหม ผมคงตอบได้เลยว่าไม่ ถ้าถามอีกครั้งว่ามันเป็นมือถือที่ขายดีสุดในตลาดใช่หรือไม่ ผมตอบได้ว่าแน่นอน สิ่งที่ Samsung ทำได้ดีไม่ใช่ในแง่ของโปรดักส์ แต่เป็นการกระจายสินค้าไปยังช่องทางจำหน่ายต่างๆ ได้มาก การสร้างแบรนด์อิมเมจผ่าน Influencer ต่างๆ กับ Galaxy S4 ที่ผมมองว่ามันก็ไม่ได้เป็นสมาร์ทโฟน Android ที่จะทำให้ผู้ใช้สมหวังกับฟีเจอร์ที่โฆษณามาจนรู้สึกว่าเทพเหลือเกิน แต่เมื่อใช้งานจริงนั้นมันก็ไมได้ผิดหวังมากเหมือนโดนหลอกซื้อ เพราะหลายคนอาจจะชอบและสนุกกับของแปลกใหม่ (แต่อาจจะไม่ได้ใช้จริง ไว้โชว์เฉยๆ) พวกนี้ที่อาจจะหาเล่นจากแบรนด์อื่นไม่ได้เหมือนกัน
ข้อดี
- เป็นหน้าจอ Super AMOLED ที่ดีที่สุดที่ทำมา
- ชีวิตบน Android ดีขึ้นเยอะกับแรม 2 GB
- การปรับค่าต่างๆ อาจจะสับสนในช่วงแรกเพราะมีเยอะ แต่ถ้าชินแล้วก็สะดวกดี
- อินเตอร์เฟซหลายอย่างถูกปรับให้เนี้ยบขึ้น
- คุณภาพรูปถ่ายออกมาน่าพอใจ
- ซีพียู ARM Cortex A15 ตัวแรก สร้างมาตรฐานใหม่กับตัวไฮเอนด์อีกครั้งในปี 2013
- S Health น่าใช้กว่าที่คิด
ข้อสังเกต
- จอยังสวยสู้ HTC One ไม่ได้ เทียบแล้วจะอมเหลืองกว่าชัดเจน (ถ้าไม่เทียบอาจจะไม่รู้สึกอะไร)
- ตัวแอพลิเคชันหลักของ Samsung ยังใช้อินเตอร์เฟซ Tab Bar ที่ต้องเอื้อมไปกดด้านบนเหมือนเก่า หน้าจอใหญ่แล้วเอื้อมไปกดยาก ไม่ตาม Design Guidline ของ Android 4.0 ที่ลากเลื่อนซ้ายเลื่อนขวาระหว่างแท็บได้
- กล้องเปิดใช้งานได้ช้า (ประมาณ 2-3 วินาทีถึงใช้งานได้)
- เปิดกล้องแล้วบางทีเครื่องดับไปเลยก็มี (น่าจะแก้ไขด้วยเฟิร์มแวร์ได้)
- ลูกเล่นต่างๆให้มาเยอะ แต่ใช้เอาจริงมีไม่กี่อย่างหรือแทบไม่มี
- ราคา 21900 ถ้าเทียบกับ iPhone 5 หรือ HTC One แล้วได้วัสดุเป็นอลูมิเนียมที่ให้ความรู้สึกดีกว่า