ปีนี้ ผลิตภัณฑ์กลุ่มของ iPad นับว่าเป็นส่วนที่ได้รับความสนใจมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยมีการปรับเปลี่ยนบางจุดที่เรียกได้ว่าเป็นจุดตรงใจผู้บริโภค ซึ่งเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Apple ก็ได้เปิดวางจำหน่าย?iPad Air ที่เป็นรุ่นต่อยอดมาจาก iPad 4 เป็นครั้งแรก ทางเราก็ไม่พลาดที่จะเสาะหา iPad Air เครื่องหิ้วมารีวิวให้ได้ชมกันก่อนที่เครื่องไทยจะเปิดจำหน่ายช่วงกลางเดือนนี้ ซึ่งในรีวืว iPad Air ครั้งนี้เราจะมาดูกันครับว่ามันมีหน้าตาเป็นยังไง ต่างไปจากเดิมอย่างไรบ้าง
เกริ่นนำรีวิว iPad Air
ถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นก่อนหน้านี้มา จะพบปัญหาใหญ่เลยคือน้ำหนักตัวเครื่องที่จัดว่าหนักเกินไป ไม่เหมาะกับการถือใช้งานมือเดียวเป็นระยะเวลานานๆ เช่นถือเครื่องเพื่ออ่านหนังสือ ดูหนัง เล่นเกม และยิ่งมี iPad mini ที่น้ำหนักเบากว่ากันเกือบครึ่งออกมาในปีก่อน ก็ยิ่งทำให้หลายคนอยากให้ iPad รุ่นใหญ่ออกมาน้ำหนักเบาลงบ้าง และแล้วก็เป็นไปตามคาดครับ เมื่อ Apple เปิดตัว iPad Air ซึ่งถ้าเรียกตามเลขลำดับรุ่นก็คือ iPad 5 นั่นเอง ด้วยการพ่วงคำว่า Air ไว้ท้ายชื่อ จึงน่าจะเป็นการบอกจุดเด่นอย่างเห็นได้ชัดว่า iPad เครื่องนี้บางและเบา ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกันกับไลน์ของ MacBook ที่มีรุ่น MacBook Pro (เครื่องใหญ่กว่า) กับ MacBook Air (เครื่องรุ่นบางเบา) จึงทำให้ iPad Air น่าจะโดนใจหลายๆ คนที่ได้สัมผัสหรือตั้งใจจะซื้อ iPad รุ่นใหม่เอาไว้แล้วอย่างแน่นอน
การหาซื้อ iPad Air
จากงานเปิดตัว iPad Air ของ Apple ได้มีการประกาศชัดเจนว่าประเทศใดจะได้รับสิทธิ์วางจำหน่าย iPad Air เป็นกลุ่มแรกในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาบ้าง ซึ่งประเทศไทยก็ยังคงไม่อยู่ในรายชื่อของกลุ่มแรก แต่แน่นอนครับว่าแหล่งขายมือถือเครื่องหิ้วอย่างมาบุญครองก็คงไม่พลาดกับโอกาสนี้อย่างแน่นอน โดยช่วงก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายนก็มีหลายร้านประกาศว่าจะมี iPad Air เครื่องหิ้วมาวางจำหน่ายแน่นอน พร้อมประกาศราคาและเปิดรับจองแต่เนิ่นๆ ราคา iPad Air เครื่องหิ้ว?(เป็นราคาวันแรก และราคามีการเปลี่ยนแปลงรายวัน)
ทางเราก็เลยจัดการไปหิ้ว iPad Air มาจากมาบุญครอง 1 เครื่องเพื่อรีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกันครับ เป็นรุ่น 16 GB WiFi ได้มาในราคา 16,700 บาท ซึ่งถ้าเทียบกับราคาเริ่มต้นของ iPad 4 ช่วงก่อนหน้านี้ก็ถือว่าไม่ต่างกันมากนัก (iPad 4 ราคาเริ่มต้นเดิมอยู่ที่ 16,500 บาท) แถม iPad ยังเป็นสินค้าที่รับประกันทั่วโลก สามารถเข้าศูนย์บริการ Apple ในไทยได้สบายๆ จึงตัดสินใจซื้อเครื่องหิ้วมาแบบไม่ยากเย็นนัก
แต่สำหรับใครที่อยากซื้อเครื่องศูนย์ไทยมากกว่า ก็รอวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ได้เลยครับ เพราะบรรดาร้านตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple ที่เรารู้จักกันในชื่อ iStudio จะนำ iPad Air รุ่น WiFi มาวางจำหน่ายเป็นวันแรกอีกด้วย (ข่าวการวางจำหน่าย iPad Air ในไทย) ส่วนรุ่น WiFi+Cellular ก็ต้องรอข่าวเพิ่มเติมจากผู้ให้บริการเครือข่ายในไทยอย่าง AIS, dtac และ Truemove H อีกทีครับ แต่คาดว่าน่าจะเริ่มขาย iPad Air Cellular ได้ในช่วงต้นเดือนธันวาคมเป็นอย่างเร็วที่สุด
สเปค iPad Air
- ชิปประมวลผล Apple A7 Dual-core ความเร็ว 1.4 GHz (เร็วกว่าและโมเดลย่อยแตกต่างจากใน iPhone 5s) มาพร้อมชิปกราฟิก PowerVR G6430
- ติดตั้งชิปประมวลผลร่วม M7 มาให้ด้วย เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวลักษณะต่างๆ แบบเดียวกับ iPhone 5s
- แรม 1 GB
- หน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048 x 1536 Retina Display
- มีให้เลือก 4 ความจุ 16, 32, 64 และ 128 GB
- รุ่น 16 GB จะเหลือพื้นที่ให้ใช้งานจริง 12.8 GB
- กล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ความจุ 8827 mAh
- ตัวเครื่องหนักเพียง 469 กรัม (รุ่น WiFi) จาก iPad 4 ที่มีน้ำหนัก 652 กรัม
- หนาเพียง 7.5 มิลลิเมตร จาก iPad 4 ที่มีความหนา 9.4 มิลลิเมตร
- มีไมโครโฟน 2 จุด
- รุ่น Cellular รองรับ 4G LTE ใช้งานในไทยได้แน่นอน
- สเปค iPad Air (WiFi)
- สเปค iPad Air (WiFi+Cellular)
ด้านของสเปค เห็นได้ชัดว่าในปีนี้ Apple จัดสเปค iPad มาให้ไล่เลี่ยกับ iPhone 5s เลย โดยเฉพาะเรื่องชิปประมวลผลที่เลือกใช้ Apple A7 เหมือนกัน ต่างกันที่ความเร็วสูงสุดเพียงเล็กน้อย แต่เราก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าภายในของชิปจะแตกต่างกันหรือเปล่า เพราะเลขโมเดลของชิป A7 ใน iPad Air มีความแตกต่างกับชิปที่อยู่ใน iPhone 5s ส่วนแรมก็ยังคงไว้ที่ 1 GB เช่นเดิม แม้ว่าระบบการทำงานของตัว iOS 7 ใน iPad Air จะเป็นการทำงานที่ระดับ 64 บิทแล้วก็ตาม?ส่วนชิปประมวลผล M7 ก็ติดตั้งมาให้ใช้สำหรับช่วยประมวลผลการเคลื่อนไหว เพื่อลดการทำงานของ CPU หลักในเครื่องลงเช่นเดียวกับ iPhone 5s ครับ ซึ่งในปัจจุบันก็มีแอพรองรับยังไม่เยอะนัก
แบตเตอรี่เป็นอีกส่วนที่มีความเปลี่ยนแปลงไป แต่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่น้อยลงครับ เมื่อลดลงมาเหลือความจุแค่เกือบๆ 9,000 mAh เท่านั้น ลดจากสมัย iPad 4 ที่มีร่วม 11,000 กว่า mAh ลงมาพอสมควร แต่ทาง Apple ก็นำเสนอว่าจะยังสามารถใช้งาน iPad Air ได้ยาวนานไม่แพ้ iPad 4 เลย ก็แสดงให้เห็นว่าฮาร์ดแวร์ส่วนอื่นๆ ในเครื่อง รวมถึงซอฟต์แวร์ได้รับการพัฒนาให้กินไฟน้อยลง
แกะกล่อง iPad Air
ลักษณะกล่องของ iPad Air ก็ยังมีหน้าตาแบบเดียวกับกล่องผลิตภัณฑ์ Apple รุ่นก่อนหน้า คือพื้นกล่องสีขาว มีรูปผลิตภัณฑ์เด่นอยู่ด้านบนของกล่อง พร้อมติดช่ือไว้ด้านข้าง โดยถ้าเทียบกับกล่อง iPad 4 แล้ว พบว่ากล่อง iPad Air มีความยาวเท่ากับ iPad 4 แต่มีด้านกว้างสั้นกว่าพอสมควร รวมถึงยังหนากว่าด้วย
เมื่อเปิดกล่องออกมาก็จะพบกับตัวเครื่อง iPad Air วางอยู่ด้านบนสุด มีลิ้นเป็นแผ่นพลาสติกเพื่อช่วยให้ดึงเครื่องออกมาได้ง่ายขึ้น
เมื่อยก iPad Air ออก ภายในก็จะพบกับอุปกรณ์ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ซองใส่เอกสารคู่มือ สติ๊กเกอร์โลโก้ Apple, สาย Lightning และชุดอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ ซึ่งส่วนของอะแดปเตอร์จะมีหน้าตาเหมือนกันทั้งโลก แต่ตัวหัวปลั๊กไฟอันนี้จะแตกต่างไปตามแต่ละประเทศ อย่าง iPad Air เครื่องหิ้วที่เราซื้อมาเป็นเครื่องจากฮ่องกง หัวปลั๊กก็จะเป็นลักษณะสามขาดังรูป แต่ถ้าของในประเทศไทยก็จะเป็นแบบสองขาแบนตามปกติครับ สำหรับใครที่จะซื้อเครื่องหิ้วก็ไม่ต้องกังวล เพราะหัวปลั๊กแบบนี้ก็ใช้กับในบ้านเราได้เช่นกัน แค่อาจจะต้องหาซื้อตัวแปลงหัวปลั๊กเพิ่ม ราคาเริ่มต้นอันละไม่กี่สิบบาท หรือถ้าใครมีปลั๊กไฟที่รองรับหัวแบบนี้อยู่แล้วก็สบายไปครับ สามารถใช้งานได้เลย
หน้าตา iPad Air
สำหรับ iPad Air เครื่องที่เราซื้อมาเป็นเครื่องสีเทา Space Grey ซึ่งเป็นสีใหม่ในปีนี้ โดยหน้าจอก็ยังคงใช้กรอบสีดำอยู่ แต่ที่สังเกตได้ชัดเลยก็คือขอบจอด้านข้างบางลงกว่า iPad 4 ส่วนอื่นๆ ก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่
หน้าจอ iPad Air ยังคงไว้ที่ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048 x 1536 Retina Display ซึ่งก็ละเอียดเพียงพอสำหรับยุคปัจจุบันแล้ว ภาพบนจอมีสีสันสวยงามคมชัดตามมาตรฐานจอ iPad ที่มีคุณภาพสูงมาโดยตลอด แสงสว่างจอก็จัดว่าโอเคดี พอใช้งานกลางแจ้งได้ตามปกติ (บริเวณที่ถ่ายรูปมีแสงสว่างมากพอสมควร จอเลยไม่สว่างนัก)
เท่าที่มีรายงานเกี่ยวกับเรื่องจอออกมา ดูเหมือนว่าจอของ iPad Air จะเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple รุ่นแรกที่นำเทคโนโลยีจอแบบ IGZO เข้ามาใช้งาน ซึ่งตัวเทคโนโลยีจอ IGZO นี้ข้อดีที่เห็นได้ชัดก็คือการใช้พลังงานที่น้อยลงกว่าเดิมพอสมควร แสงสว่างจอเพิ่มขึ้น สีสันสวยงามแต่ไม่สดเกินจริง ในด้านความสว่างอาจจะเห็นผลไม่ชัดครับ เพราะจากรายงานฉบับเดียวกันให้ข้อมูลมาว่า Apple ลดจำนวนหลอดไฟ LED ให้ความสว่างของจอลงจากใน iPad 4 เพื่อให้กินไฟน้อยลง แต่ยังคงระดับความสว่างของจอเอาไว้ในระดับเดิมๆ ของ iPad ที่เหมาะสมกับการใช้งานทั่วไป ส่วนเรื่องสีสันพบว่าจอของ iPad Air เครื่องที่ทางเราทดสอบจะอมสีฟ้านิดๆ เมื่อเทียบกับ iPad 4 ที่เรามีอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไปนัก
ด้านบนของจอก็ยังคงเป็นตำแหน่งของกล้องหน้า ข้างๆ กันนั้นเป็นเซ็นเซอร์วัดแสงเพื่อปรับความสว่างจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติเช่นเดิม ส่วนปุ่มโฮมก็ยังคงอยู่ด้านล่างของจอภาพตามเดิม น่าเสียดายที่ยังคงเป็นปุ่มโฮมแบบปกติ ยังไม่ได้เป็นแบบ Touch ID ที่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเหมือนกับใน iPhone 5s ตามที่มีกระแสข่าวลือออกมาก่อน iPad Air เปิดตัว ใครที่รออยู่ก็คงผิดหวังกันไป
ฝาหลัง iPad Air เป็นจุดเด่นที่สุดที่จะใช้แยกความแตกต่างระหว่าง iPad Air กับ iPad 4 หรือรุ่นก่อนหน้าครับ เพราะได้มีการปรับเปลี่ยนลักษณะไปเป็นแบบเดียวกับ iPad mini นั่นคือการใช้อะลูมิเนียมอะโนไดซ์แผ่นเรียบเป็นฝาหลัง ตรงขอบมุมทำเป็นส่วนโค้งเพื่อให้จับถือได้ถนัด โลโก้ Apple ตรงกลางลักษณะจะคล้ายกระจกเงา แต่ภาพสะท้อนในกระจกจะมืดๆ กว่ากระจกเงาจริง
ผิวสัมผัสของฝาหลัง iPad Air เรียกได้ว่าแตกต่างไปจาก iPad 4 จริงๆ ครับ ผิวจะลื่นเนียน สัมผัสแล้วรู้สึกได้ว่าเนื้ออะลูมิเนียมละเอียดกว่า iPad รุ่นก่อนหน้า ความรู้สึกแบบเดียวกับตอนจับ iPhone 5s เลย สรุปคือสัมผัสแล้วชอบกว่าเดิมเยอะครับ แถมยังมีขนาดบางลงอีกด้วย ประเด็นสำคัญที่สุดคือเรื่องน้ำหนักเครื่อง ที่ถึงแม้ตัวเลขในสเปคจะลดลงจาก iPad 4 ประมาณ 200 กรัม ซึ่งดูเหมือนไม่เยอะ แต่ถ้าลองได้จับและใช้งานจริงจะพบว่ามันเบากว่าเดิมมากๆ สามารถถือใช้งานได้นานโดยไม่เมื่อยมือ หรือถ้าเมื่อยก็เกิดอาการเมื่อยช้ากว่า iPad รุ่นก่อนหน้า เท่าที่ผมลองให้หลายๆ คนลองจับ iPad Air ครั้งแรก ทุกคนที่เคยใช้งาน iPad มาก่อนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เฮ้ย มันเบามาก !!” สำหรับใครที่ยังสงสัยว่ามันเบาขนาดไหน รับรองว่ากลางเดือนนี้คงได้สัมผัสกันตามหน้าร้าน iStudio ละนะครับ ไปลองเล่นดูก่อนได้ แล้วจะรับรู้ด้วยความรู้สึกเองว่ามันเบาลงจริงๆ
ด้านบนของตัวเครื่องก็จะมีปุ่ม Power และช่องเสียบแจ็คหูฟังอยู่สุดขอบของแต่ละฝั่ง ส่วนตรงกลางมีช่องรับเสียงของไมโครโฟนด้วยกันสองช่อง เพื่อช่วยรับเสียงในการถ่ายวิดีโอรวมถึงช่วยกรองเสียงรบกวนออกด้วย
ส่วนด้านล่างก็จะมีพอร์ต Lightning อยู่ตรงกลาง ตะแกรงทั้งสองข้าง ภายในมีลำโพงติดตั้งอยู่ทั้งสองฝั่ง ให้เสียงแบบ Stereo แบบเดียวกับ iPad mini เมื่อปีที่แล้วครับ เสียงที่ออกมา ถ้าเทียบกับ iPad 4 ก็ดีขึ้น เสียงดังขึ้น ชัดขึ้นกว่าเดิม คุณภาพเสียงก็ใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊กหลายๆ รุ่นเลย
ฝั่งซ้ายของเครื่องไม่มีปุ่มใดๆ อยู่เลย
ส่วนฝั่งขวาก็จะมีทั้งปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงและสวิทช์ซึ่งสามารถตั้งค่าจากในตัว iOS 7 ได้ว่าจะให้ทำหน้าที่อะไรระหว่าง เปิด/ปิดเสียงหรือเปิด/ปิดโหมดการหมุนจอตามการถือของผู้ใช้งาน
เรื่องกล้องถ่ายรูปของ iPad Air ดูจะเป็นจุดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจาก iPad 4 มากนัก ความละเอียดยังคงไว้ที่ 5 ล้านพิกเซล และยังคงไม่มีแฟลชมาให้อีกเช่นเคย
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก iPad Air ด้วยกล้องหลัง
ภาพที่ได้จาก iPad Air ก็จัดว่าโอเคดีครับ เมื่อเทียบกับระดับแท็บเล็ตด้วยกัน แถมยกขึ้นมาถ่ายได้สบายกว่าเดิมด้วย เพราะน้ำหนักเบาลง ตัวเครื่องบางกว่าเดิมพอสมควร คงจะถูกใจท่านที่นิยมถ่ายรูปด้วย iPad ละนะครับ
เทียบขนาด iPad Air กับ iPad 4
พอมาเทียบก็จะเห็นได้ชัดว่าขอบจอด้านข้างของ iPad Air เล็กกว่า iPad 4 ร่วมเท่าตัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้การถือเครื่องขณะใช้งานลำบากขึ้นเลย ผู้ใช้ยังสามารถวางนิ้วหัวแม่มือทาบเกินเข้ามาในจอเล็กน้อยได้ โดยที่จอไม่นับว่าเป็นการสัมผัสเพื่อสั่งงาน ตรงนี้ก็นับเป็นข้อดีที่เห็นได้ชัดมาตั้งแต่สมัย iPad mini ที่ขอบจอบางแล้ว ต่างจากแท็บเล็ตแบรนด์อื่นๆ ในตลาดที่ห้ามจับเกินเข้ามาในจอเลย เพราะจะเหมือนว่าเรากำลังจิ้มสั่งงานจอตรงส่วนนั้นอยู่
เมื่อจับวางซ้อนกันก็น่าจะช่วยให้หลายท่านเห็นได้ชัดครับว่า iPad Air มีความกว้างตัวเครื่องน้อยกว่า iPad 4 ขนาดไหน
เทียบความบางครับ ซ้ายคือ iPad 4 ส่วนขวาคือ iPad Air
เทียบสีฝาหลังกันระหว่าง iPad Air สี Space Grey (หรือที่เข้าใจง่ายๆ คือสีดำ) กับ iPad 4 สีดำครับ จะเห็นว่า Space Grey ออกเข้มกว่าพอสมควรเลย แต่รูปทรงเมื่อดูจากฝาหลังจะพบว่าลักษณะบางกว่าเดิมมาก iPad 4 ดูฝาหลังจะนูนๆ ขึ้นมาจากกรอบเยอะ แต่ iPad Air ดูนูนขึ้นมานิดเดียว และเป็นแผ่นเรียบเสมอกันทั้งหมด จึงดูจะบางกว่า
ส่วนใครที่ต้องการหาเคสมาใช้งานกับ iPad Air คงจะต้องซื้อเคสใหม่นะครับ เพราะไม่สามารถใช้เคส iPad 4 ได้เลย เนื่องจากตัวเครื่องที่เล็กลงนั่นเอง
ตำแหน่งของกล้องกับปุ่มด้านข้างก็ไม่ตรงกันด้วย ดังนั้นเคส iPad รุ่นเก่าจะใช้กับ iPad Air ไม่ได้เลยอย่างแน่นอน โดยในช่วงแรกนี้อาจจะยังมีตัวเลือกไม่มากนัก แต่พอผ่านไปสักระยะหนึ่งก็คงมีเคสมาให้เลือกเยอะแยะมากมายเช่นเดิม
ผลทดสอบประสิทธิภาพ iPad Air
ก็จัดว่าแรงตามคาดครับ สำหรับประสิทธิภาพของ iPad Air ที่ใช้ชิปประมวลผล Apple A7 ความเร็ว 1.4 GHz (สูงกว่าใน iPhone 5s นิดหน่อย) ซึ่งในด้านการทดสอบจะเห็นผลต่างของคะแนนอย่างชัดเจน ส่วนในด้านการใช้งานจริง เท่าที่ลองใช้งานเปรียบเทียบกับ iPad 4 ดู พบว่า iPad Air สามารถตอบสนองการสั่งงานได้เร็วขึ้นกว่า iPad 4 เช่นการเปิดแอพ การโหลดเกม การเปิดหน้าเว็บต่างๆ พบว่าทำได้ดีกว่า เร็วกว่า iPad 4 อยู่เล็กน้อย เรียกว่าได้ความรู้สึกเหมือนตอนใช้งาน iPhone 5s เลย คือเปิดอะไรๆ ก็ขึ้นเร็วทันใจไปหมด แต่จะมีปัญหาการโหลดบ้างเวลาเปิดอ่านไฟล์ PDF เพราะจะต้องเรนเดอร์ไฟล์ให้มีการแสดงผลที่ใหญ่กว่าระดับปกติ แล้วจึงสเกลความละเอียดลงมาให้พอดีๆ กับจอ ตรงจุดนี้เห็นความแตกต่างจากแท็บเล็ตจอปกติมากครับ เพราะผมเคยอ่าน PDF ใน iPad mini มาก่อน แล้วรู้สึกว่า iPad mini จะเรนเดอร์หน้าไฟล์ PDF ได้เร็วกว่านิดหน่อย ส่วนใน iPad Air เวลาที่ลองซูมหน้าไฟล์เข้าออก บางครั้งจะเกิดอาการหน้าว่างๆ ระหว่างรอเรนเดอร์ให้เห็นได้เลย แต่โดยรวมแล้วก็จัดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก เพราะระบบเรนเดอร์ขึ้นมาได้ไวพอสมควร
ด้านของ iOS 7 ซิครับ ที่ดูจะเป็นปัญหามากกว่า หลังจากที่ใช้งาน iPad Air ที่ติดตั้งมาพร้อม iOS 7.0.3 มาระยะหนึ่ง พบว่าระบบก็ลื่นดี แต่ยังลื่นไม่สุด บางครั้งก็มีปัญหาตัวอย่างเช่น การเลื่อนหน้าแอพแล้วกระตุกบ้าง ปัญหาของ Safari ที่เป็นเบราเซอร์ติดเครื่องก็ยังมีอยู่ อาการหน่วงหรือช้าระหว่างเปลี่ยนภาษาคีย์บอร์ดก็ยังมีให้เห็นบ่อยครั้ง แสดงให้เห็นว่าเป็นปัญหาที่ตัว iOS 7 อย่างแน่นอนแล้ว เพราะสเปค iPad Air เรียกได้ว่าแรงสุดของกลุ่มสมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต Apple ในปัจจุบันแล้ว ส่วนเรื่องปัญหาแอพเด้งระหว่างใช้งานก็ยังมีอยู่บ้างครับ แต่ฟันธงไม่ได้ว่าเป็นปัญหาจาก iOS 7 หรือปัญหาจากตัวแอพเองกันแน่ อย่างไรก็ตาม หวังว่าทั้ง Apple และผู้ผลิตแอพจะดำเนินการปรับปรุงแก้ไขซอฟต์แวร์ให้ดีขึ้นจนหมดปัญหาซะทีนะ
เรื่องของความร้อน เมื่อใช้งานเครื่องหนักๆ เช่นเล่นเกมติดต่อกันนานๆ ตรงด้านขวาค่อนไปข้างล่างของจอจะร้อนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แถมเป็นส่วนที่คนนิยมใช้มือขวาถือเครื่องซะด้วย ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวคือแถบของชิปประมวลผลอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นการใช้งานธรรมดาทั่วไปก็ไม่ร้อนครับ ใช้งานได้สบาย
ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ iPad Air
เรื่องการใช้งานแบตเตอรี่นั้น ก็สบายๆ ตามมาตรฐาน iPad ครับ เท่าที่ลองใช้งานพวกเล่น Facebook, Twitter, เปิดหน้าเว็บ, เล่นเกมบ้าง, อ่านหนังสือ ก็สามารถใช้งานหลายวันได้แบบสบายๆ (ไม่ได้ใช้ติดต่อกันเป็นวันๆ นะ แค่หยิบมาใช้เป็นช่วงๆ) เรียกว่าใครเคยใช้แบตเตอรี่ iPad ได้อึดขนาดไหน iPad Air ก็ทำได้ไม่แพ้กันครับ เผลอๆ จะดีกว่าด้วย เพราะสเปคเครื่องและการทำงานต่างๆ กินพลังงานน้อยลง ทำให้ถึงแม้แบตเตอรี่ในเครื่องจะมีความจุลดลงจาก iPad 4 แต่ก็ไม่ได้ทำให้ระยะเวลาการใช้งานลดลงเท่าไหร่เลย แถมดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
สรุปท้ายรีวิว iPad Air
ถ้าจะให้จัดอันดับแท็บเล็ตน่าใช้ประจำปีนี้ iPad Air ก็คงเป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ได้อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องด้วยการมาในรูปโฉมใหม่ที่บางเบาลงกว่าเดิมจนรู้สึกได้จริง เรียกได้ว่าเปลี่ยนความรู้สึกที่ว่า iPad หนักไปได้เลย ยิ่งใครที่ใช้งาน iPad รุ่นก่อนหน้านี้มานานๆ ถ้าได้ลองมาจับ iPad Air น่าจะมีความรู้สึกอยากเปลี่ยนเครื่องกันขึ้นมาไม่น้อยอย่างแน่นอน ประสิทธิภาพของเครื่องที่แรงก็ช่วยทำให้การตอบสนองการสั่งงานต่างๆ ทำได้เร็วขึ้นมาพอสมควร จะมีก็แต่เรื่อง iOS 7 และบางแอพพลิเคชันเท่านั้นที่น่าจะยังมีปัญหาการทำงานอยู่ แต่ก็คงเป็นแค่ในช่วงแรกๆ นี้เท่านั้นล่ะครับ ถ้าผ่านช่วงต้นของยุคการเปลี่ยนถ่ายนี้ไปได้เมื่อไหร่ เราคงได้ใช้ iPad Air ลื่นๆ เหมือนตอน iPad 4 ใช้งาน iOS 6 แน่นอน ด้านประสบการณ์การใช้งาน iPad Air ก็ยังคงความเป็น iPad เอาไว้ได้ดี ทำงานเร็ว มีแอพที่ทำมาเฉพาะ iPad ให้เลือกมากมาย ยิ่งใครที่ชอบเล่นเกมก็ยิ่งสบายใหญ่เลย เพราะนอกจากเกมจะเยอะแล้ว ยังเล่นได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะเครื่องเบา จับง่ายกว่าเดิม จะอ่านหนังสือ E-book หรือไฟล์ PDF ก็มีแอพให้เลือกใช้มากมาย เรียกว่าตรงไหนที่เป็นจุดเด่นก็ยังมีครบ แถมยังลบจุดด้อยเดิมๆ ไปได้หลายอย่างอีกต่างหาก
สำหรับใครที่ลังเลอยู่ว่าจะเปลี่ยน iPad เครื่องเก่าในมือมาใช้งาน iPad Air ดีมั้ย ถ้าใครที่ใช้งาน iPad 4 อยู่ และคิดว่ามันก็ไม่ได้หนักเกินไปที่จะใช้งาน ก็ใช้งาน iPad 4 ต่อไปได้ครับ เพราะมันก็ยังตอบสนองการทำงานทั่วไปได้ดีอยู่ ไม่ทิ้งห่างจาก iPad Air มากนัก แต่ถ้าใครใช้งาน iPad 2 หรือ iPad 3 อยู่ และมีเงินพอสมควร พร้อมความรู้สึกอยากเปลี่ยนเครื่อง ก็เตรียมจ่ายเงินกันได้เลยครับ เพราะการเปลี่ยนจาก iPad เมื่อสองสามปีก่อนมาเป็น iPad Air มันคุ้มค่าดีทีเดียว ได้ทั้งความเร็วที่เร็วขึ้นเป็นเท่าตัว แถมได้น้ำหนักที่เบาลงมาอีก แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหาเครื่องเดโมลองเล่นได้ก่อน เช่นตามหน้าร้านตัวแทนจำหน่าย (เมื่อเปิดขายอย่างเป็นทางการแล้ว) ก็จะดีครับ จะได้เทียบความรู้สึกกับ iPad เครื่องเก่าในมือได้สบายๆ
ข้อดี
- บาง เบากว่าเดิมแบบสัมผัสถึงความแตกต่างจากรุ่นเก่าได้จริง
- ขอบจอแคบลง ทำให้ขนาดตัวเครื่องโดยรวมเล็กลงไปด้วย
- ประสิทธิภาพสูง การตอบสนองการทำงานเร็วขึ้นเล็กน้อย โหลดเกมได้ไวขึ้น
- ลำโพงในตัวเครื่องกลายเป็นแบบ Stereo เหมือน iPad mini แล้ว ให้เสียงดีขึ้น ดังขึ้นกว่าเดิม
- แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน
ข้อสังเกต
- iOS 7 และบางแอพยังมีปัญหาอยู่บ้าง แต่คาดว่าจะแก้ได้ไม่ยาก
- อาจสร้างความผิดหวังให้หลายคนเพราะไม่มี Touch ID รวมถึงกล้องที่ฟีเจอร์ไม่เยอะเท่า iPhone 5s