

1. First Move ช่วง 3 ปีแรกที่เข้ามาทำตลาดในไทย OPPO ขายแต่ ฟีเจอร์โฟน จนมาสู่ยุคพลัดเปลี่ยนมาสู่ Smartphone OPPO เลือกจะทำในสิ่งที่คู่แข่งในตลาดไม่ทำ ไม่ว่าจะเป็น Smartpone ที่บางที่สุดในโลก, ชาร์จแบตเต็มเครื่องเร็วที่สุด, กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
2.Presenter ด้วยการมีเงินทุนมหาศาล OPPO จึงใช้งบการตลาดเฉลี่ยปีละ 500 600 ล้านบาท ทำให้การจ้างใช้ Presenter ระดับท้อปๆ กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที โดยในการเปิดตัวสู่ตลาด Smartphone เต็มตัว ได้จ้าง ลีโอนาโด ดิคาปริโอ จากนั้น ซุปตาร์ ก็มาอีกเพียบทั้ง ใหม่ ดาวิกา, มาริโอ้ เมาเร่อ, เจมส์-จิรายุ ฯลฯ
3.เกมราคา OPPO ใช้กลวิธีสเปคเครื่องที่ใกล้เคียงกับ Samsung หรือคู่แข่งรายอื่นๆ ขายในราคาที่ถูกกว่า 15 20% ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับแบรนด์เกาหลีที่ในอดีต ประสบความสำเร็จด้วยวิธีนี้ในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื องไทยที่ในอดีตถูกครอบครองโดยแบรนด์ญี่ปุ่น
4.ศูนย์ซ่อมบริการหลังการขาย มีถึง 46 แห่งทั่วประเทศมากที่สุดในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า
ถึง OPPO จะมาไกลเกินกว่าที่คิด แต่เวลานี้ตลาด Smartphone มูลค่า 14 ล้านเครื่อง ติดลบถึง 7% ในปี 2017 ที่ผ่านมาและในปี 2018 ก็ถูกคาดเดาว่ามีแนวโน้มที่อาจจะติดลบ 2 -5 %
หากมองผิวเผินอาจดูเหมือนจะเป็นวิกฤติเล็กๆ ของตลาด Smartphone แต่จริงๆ แล้วหากมองให้ลึกจะพบความจริงที่ว่า พฤติกรรมการเลือกซื้อ Smartphone ของ User ได้เปลี่ยนไปต่างหาก
เพราะถึงจำนวนเครื่องลดน้อยลงแต่มูลค่าเม็ดเงินเกือบ แตะ 2 แสนล้านบาทเติบโตถึง 7% เลยทีเดียวในปีที่ผ่านมา (ข้อมูล OPPO)
นั้นแปลว่า User ซื้อ Smartphone ในราคาที่แพงขึ้นมากกว่าในอดีต แล้วเลือกที่จะเปลี่ยนเครื่องช้าลงจากเมื่อก่อนอยู่ท ี่ 18 เดือน/1เครื่อง เปลี่ยนมาเป็น 24 เดือน/ 1เครื่อง
ทำให้ ณ เวลานี้ OPPO เลือกจะเน้นตลาด Smartphone รุ่นระดับราคา 15,000 บาทอัพ ด้วยการใช้โปรโมชั่นลดราคา อาทิเช่นรุ่น OPPO R 15 Pro จากเดิมราคา 19,990 บาท เหลือ 17,990 บาท
แต่ถ้าจะไป ก็ต้องไปให้สุด เพราะ ณ เวลานี้เราได้เห็น Iphone X ราคา 40,000 บาทอัพ หรือจะเป็น Samsung Galaxy S9+ ราคาเริ่มต้น 31,900 บาท
แล้ว OPPO เชื่อว่าตลอดเวลา 10 ปีตัวเองบ่มเพาะแบรนด์ได้แข็งแกร่งไม่แพ้ใคร จึงขอขยับไปในตลาดนี้ด้วยการเปิดขาย OPPO Find X ราคา 29,900 บาท และรุ่น Automobili Lamborghini Edition ราคา 49,990 บาท ที่เป็นการจับมือกับรถ Lamborghini
เป้าหมายก็เพื่อยกระดับ Branding ของตัวเองให้เทียบชั้นกับ Samsung และ Iphone

ขณะที่ Huawei เองก็มองไม่ต่างจาก OPPO นั้นคือ ตลาด Smartphone ไม่ได้เติบโตด้วยจำนวนเครื่องแต่เติบโตด้วยมูลค่า โดยเฉพาะกลุ่มราคาต่ำกว่า 3,000 บาท ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนในปีที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจหากสังเกตจะพบว่า Huawei วางแผนมานานพอสมควรในการขยับตัวเองไปขาย Smartphone ราคาแพง เพราะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว Huawei เลือกที่จะ Co Branding กับกล้องไฮโซอย่าง Leica ในรุ่น P Series และ Mate Series
เป้าหมายก็เพื่อสลัดภาพจากการเป็นแบรนด์จีนธรรมดาให้ กลายเป็นแบรนด์จีนที่มีภาพลักษณ์หรูหรา และกลายเป็น Smartphone ที่โดดเด่นมีจุดขายเรื่องกล้อง
อีกทั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทแม่ยังกล้าลงทุน งบวิจัยและพัฒนาสินค้ามากถึง 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จนติด 1 ใน 5 บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ใช้งบลงทุน R&D มหาศาล
ไม่ใช่แค่ลงทุนพัฒนาสินค้า แต่ยังลงทุนเรื่อง Branding โดยช่วงที่ผ่านมา Huawei พยายามนำแบรนด์ตัวเองเข้าไปยังสื่อระดับโลกอย่างหลาก หลายวิธี รวมไปถึงการใช้ Presenter ชื่อดังไม่ว่าจะเป็นดาราระดับโลกอย่าง Gal Gadot และ Justin Long เป็น Presenter ในขณะที่ในประเทศไทยก็มีทั้ง มิว นิษฐา,พลอย เฌอมาลย์,ฯลฯ
เมื่อมั่นใจว่าตัวเอง เจ๋ง พอ Huawei จึงกล้าขาย Huawei P20 Pro ราคา 27,900 บาท, Huawei Mate 10 Pro ราคา 27,900 บาท หรือจะเป็นรุ่น Co- Brand อย่าง Huawei Mate 9 Porsche Design 49,990 บาท
ต่อไปนี้เกม Smartphone ระดับราคา 25,000 บาทขึ้นไป จะไม่ได้มีเพียงแค่ Iphone และ Samsung ที่ในอดีตแทบจะผูกขาดไม่แบ่งให้ใครได้กินง่ายๆ
แต่ Brand จีนเวลานี้ ไม่ได้มาเล่นๆ และตั้งเป้าขอมาแย่งชิงยอดขายตลาดนี้จริงจัง แม้จะเป็น Segment ที่ต้องลงทุนทั้ง R&D และงบการตลาดมหาศาล
แต่นี้ คือSegment ที่ High risk high return อย่างแท้จริง แถมยังดีกว่าที่จะไปขาย Smartphone ราคาถูกที่กำไรบางเฉียบ
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม : http://bit.ly/2uNXfHv
Comment