เปิดตัวในไทยแล้ว Xiaomi 11T Series Mi 11 Lite 5G NE และ Xiaomi Pad 5 พร้อมด้วย Xiaomi Eco System อีกมากมาย โดยในการเปิดตัวนี้จะมีตัวเด่นเลยก็คือ Xiaomi 11T และ Xiaomi 11T Pro ที่เป็นมือถือระดับเรือธงรุ่นใหม่ และมีผู้ตามขบวนมาด้วยอย่าง Xiaomi Mi 11 Lite 5G NE, Xiaomi Pad 5 และอุปกรณ์ Smart Home ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพัดลม, เครื่อง Projector, กล้องวงจรปิด, หูฟังไร้สาย และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งในงานเปิดตัวนี้นั้นจะมีเนื้อหาอย่างไรบ้างเราไปชมกันได้เลย
Xiaomi 11T / 11T Pro
เปิดตัวแล้วระครับกับ Xiaomi 11T Series ที่มาพร้อมคอนเซปต์ CINEMAGIC และตัวเครื่องที่เบาบาง รวมถึงยังคงมีขอบโค้งมนทั้ง 4 ด้านเพื่อให้สามารถจับถือได้ง่าย ในเรื่องของสีนั้นจะมีทั้งหมด 3 สีให้เลือกคือสีเทา Meteorite Gray, สีขาว Moonlight White และสีฟ้า Celestial Blue
ในส่วนของกล้องนั้นมาพร้อมกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัวที่ประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 108 MP, กล้อง Ultrawide ความละเอียด 8 MP และกล้อง Telemarco ความละเอียด 5 MP โดยในรุ่น Pro นั้นรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ HDR10+ ด้วย
สำหรับฟีเจอร์ของกล้องนั้นก็มีให้เลือกมากมาย แต่ที่โดดเด่นสุดๆ เลยก็คือฟีเจอร์ด้านการบันทึกวิดีโออย่าง Magic Zoom ที่จะจับภาพวัตถุด้านหน้าแล้วทำการซูมพื้นหลังเข้ามา ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับคลิปวิดีโอยิ่งขึ้น และเมื่อทำการซูมภาพได้แล้วก็ต้องซูมเสียงได้ด้วยกับ Audio Zoom ที่จะขยายเสียงในบริเวณที่ทำการซูมภาพเข้าไปให้ชัดได้ด้วย
ในเมื่อมีฟีเจอร์โหดๆ แล้วก็ต้องมีชิปประมวลผลระดับเทพด้วย โดย Xiaomi 11T จะมาพร้อมชิปประมวลผล Dimensity 1200 ส่วน Xiaomi 11T Pro มาพร้อมชิปประมวลผล Snapdragon 888 ทำให้รองรับการใช้งานแบบโหดๆ รวมถึงสามารถบันทึกวิดีโอระดับ 8K ได้อย่างสบาย
นอกจากนี้ยังได้ใส่หน้าจอที่ทุกๆ คนเรียกร้อยอย่างหน้าจอ AMOLED มาให้ แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะหน้าจอ AMOLED นี้เป็นหน้าจอแบบ TrurColor ที่สามารถแสดงผลได้ถึงพันล้านสีและรองรับการแสดงผลแบบ Dolby Vision พร้อมทั้งมีอัตรารีเฟรชถึง 120Hz แบบ AdaptiveSync ที่จะปรับค่าให้เข้ากับการใช้งานในขณะนั้น อีกทั้งยังปกป้องหน้าจอด้วยกระจก Gorilla Glass Victus ทำให้มีความแข็งแรงแบบสุดขีด
นอกจากหน้าจอที่ดีแล้ว Xiaomi ยังใส่ระบบเสียงคุณภาพมาให้ด้วย โดยใน Xiaomi 11T Series นั้นมาพร้อมลำโพงคู่ที่ได้รับการปรับแต่งโดย Harman Kardon และยังมีระบบเสียงแบบ Dolby Atmos เพิ่มความเป็นมิติและความสมจริงให้กับเสียงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ในเรื่องแบตเตอรี่ Xiaomi 11T Series ก็ไม่น้อยหน้าใครด้วยแบตเตอร่ขนาด 5,000 mAh ที่มาพร้อมระบบชาร์จเร็วขนาด 120W (เฉพาะรุ่น Pro นะ รุ่นปกติจะได้ 67W) ซึ่งทาง Xiaomi เคลมว่าสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 – 100% ได้ในเวลาแค่ 17 นาทีเท่านั้น ทำให้แค่นั่งจบชา/กาแฟสักแก้ก็เต็มแล้ว ในเรื่องความปลอดภัย Xiaomi ก็ไม่ได้ละเลย เพราะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิถึง 9 จุด และยังทำการแบตเตอรี่ออกเป็น 2 ก้อนเพื่อลดความร้อยที่จะเกิดขึ้นกับแบตเตอรี่ อีกทัง้ยังมี Charge Cycle ถึง 800 รอบ ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยืดขึ้น ไม่เสื่อมง่ายๆ แน่นอน
ในส่วนของราคานั้นจะมีดังนี้
- Xiaomi 11T
- 8GB / 128GB : 13,990 บาท
- 8GB / 256GB : 14,990 บาท
- Xiaomi 11T Pro
- 8GB / 128GB : 16,990 บาท
- 8GB / 256GB : 18,990 บาท
- 12GB / 256GB : 20,990 บาท
สำหรับคนที่ซื้อ Xiaomi 11T / 11T Pro จะได้สิทธิพิเศษรับประกันเครื่อยาวนาน 2 ปี และถ้าซื้อเครื่องภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2564 จะได้รับสิทธิซ่อมจอฟรี 1 ครั้งในระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนี้ Xiaomi ยังให้อัพเดตเวอร์ชั่น Android ถึง 3 รุ่นพร้อมรับอัพเดตแพตช์ความปลิดภัยยาวนานถึง 4 ปีอีกด้วย
โปรโมชั่น Pre-Order สำหรับคนที่ทำการ Pre-Order ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2564 ถึง 8 ตุลาคม 2564 รับไปเลยฟรีๆ Mi Watch มูลค่า 3,490 บาท หรือถ้าซื้อรุ่น 8GB / 256GB จะได้รับการอัพเกรดฟรีเป็นรุ่น 12GB / 256GB แทน
นอกจากนี้สำหรับคนที่ทำการ Pre-Order กับทางผู้ให้บริการเครือข่ายในวันที่ 23 กันยายน 2564 จนถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ราคาของ Xiaomi 11T จะเริ่มต้นเพียง 4,990 บาท (รุ่น 8GB / 256GB) ส่วน Xiaomi 11T Pro จะมีราคาเริ่มต้นเพียง 8,990 บาท (รุ่น 8GB / 256GB)
อีกทั้งถ้าทำการ Pre-Order ผ่านช่องทางต่างๆ ติด 460 คนแรก รับไปเลยฟรีๆ กับ Mi TV P1 55″ มูลค่า 15,990 บาท โดยจะเริ่มนับสิทธิตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันที่ 24 กันยายน 2564 เป็นต้นไป โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Xiaomi Thailand
Xiaomi Mi 11 Lite 5G NE
นอกจากเปิดตัว Xiaomi 11T Series แล้ว Xiaomi ก็ได้ทำการเปิดตัว Xiaomi Mi 11 Lite 5GNE เพิ่มขึ้นมาอีกตัว โดย Mi 11 Lite 5GNE นี้โดยรวมแล้วจะเหมือน Mi 11 Lite 5G มาก แค่ทำการเปลี่ยนชิปประมวลผลเป็น Snapdragon 778G และมีสีใหม่ Snowflake White เพิ่มเข้ามา
สำหรับ Mi 11 Lite 5GNE นั้นชูจุดเด่นในเรื่องความเบาบาง โดยตัวเครื่องจะมีความหนาเพียง 6.81 มม. และมีน้ำหนักเพียง 158 กรัมเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นจะเหมือนเดิมทั้งหมดม่ว่าจะเป็นหน้าจอ AMOELD ขนาด 6.55 นิ้วที่แสดงผลได้พันล้านสี มีอัตรารีเฟรช 90Hz รองรับเทคโนโลยี Dolby Vision กล้องหลัง 3 ตัวที่มีความละเอียดสูงสุด 64 MP มีลำโพงคู่ ระบบเสียงสเตอรีโอ แบตเตอรี่ขนาด 4,250 mAh และระบบชาร์จเร็วขนาด 33W เรียกได้ว่าเอา Mi 11 Lite 5G มาเปลี่ยนชิปประมวลผลและลดน้ำหนักลงอีกเล็กน้อยเท่านั้น
ในส่วนของราคานั้นจะมีดังนี้
- Xiaomi Mi 11 Lite 5GNE
- 6GB / 128GB : 10,990 บาท
- 8GB / 128GB : 11,990 บาท
- 8GB / 256GB : 13,990 บาท
สำหรับคนที่ทำการ Pre-Order ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2564 ถึง 1 ตุลาคม 2564 รับไปเลยฟรีๆ กับ Special Designer Boxset ที่ได้รับการออกแบบโดย ยูน ปัณพัท เตชเมธากุล มูลค่า 2,990 บาท ซึ่งภายในชุด Boxset นี้จะประกอบไปด้วย เคส Xiaomi Mi 11 Lite 5GNE, หูฟัง Mi True Wireless Earphone Basic 2 และเคส Mi True Wireless Earphone Basic 2
Xiaomi Pad 5
หลังจากทำการเปิดตัวมือถือไป 3 เครื่องแล้ว Xiaomi ยังยังไม่จบกับการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ โดยได้ทำการเปิดตัว Xioami Pad 5 ตามออกมาทันที ซึ่งหลังจากที่เปิดตัว Mi Pad 4 แล้ว Xioami ก็ห่างหายการเปิดตัวแท็บเล็ตไปนาน คราวนี้เลยจัดเต็มสเปคบบไฮเอนด์มาให้เลย โดยในครั้งนี้ Xiaomi ได้ใส่ชิปประมวลผลระดับเรือธงอย่าง Snapdragon 860 มาให้ พร้อมด้วยหน้าจอ 2K ที่มีอัตรารีเฟรชสูงถึง 120Hz ทั้งนังรองรับปากกา Stylus อีกด้วย
ซึ่งในส่วนของหน้าจอนั้นก็จัดแบบเต็มเหนี่ยวด้วยหน้าจอแบบ TrueTone ขนาด 11 นิ้ว ที่มีความบะเอียดถึง 2K แสดงผลได้ถึงพันล้านสี มีอัตรารีเฟรช 120Hz รองรับการแสดงผลแบบ Dolby Vision และขอบเขตสีแบบ DCI-P3
ในเมื่อได้หน้าจอระดับไฮเอนด์ก็ต้อวมีระบบเสียงที่ดีด้วย โดยใน Pad 5 นี้จะมีลำโพงมากถึง 8 ตัวที่ใช้ระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ทำให้ได้เสียงที่มีมิติมากขึ้น ช่วยให้ทั้งการเล่นเกมและดูหนังได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น
และเมื่อมีฟีเจอร์ด้านความบันเทิงครบครันขนาดนี้ แบตเตอรี่ก็ต้องสุดด้วย โดย Xiaomi Pad 5 นั้นมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 8,720 mAh ซึ่งทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน แต่เพราะแบตเตอรี่ความจุเยอะมาก ก็ต้องใช้ระบบชาร์จกำลังสูงควบคู่ไปด้วย โดยตัวเครื่องจะรองรับระบบชาร์จขนาด 33W ที่หากชาร์จจาก 0 – 100% จะเต็มภายในเวลาเพียง 91 นาทีเท่านั้น
ในส่วนของปากกา Stylus ที่ใช้คู่กับ Xiaomi Pad 5 นี้รองรับแรงกดถึง 4096 ระดับ ทำให้ทั้งการจดและวาดมีความรู้สึกเหมือนเป็นปากกาจริงๆ และเมื่อใช้งานควบคู่กับหน้าจอ 120Hz ทำให้ไม่เกิดการดีเลย์ของเส้นเลย นอกจากนี้ตัวปากกานี้ยังมีปุ่มฟังก์ชั่นอยู่ 2 ปุ่ม โดยปุ่มหลักจะเป็นปุ่มสำหรับไว้เรียกใช้ Swift Note ส่วนปุ่มรองจะเผ็นปุ่มสำหรับจับภาพหน้าจอ
ซึ่งด้วยการที่มีฟีเจอร์ให้ใช้บนปากกา ก็หมายความว่าตัวปากกานั้นต้องมีแบตเตอรี่ในตัวด้วยนั่นเอง โดยตัวปากกานี้จะใช้ระบบชาร์จแบบแม่เหล็กที่เมื่อเอาไปประกบติดกับตัวเครื่องจะเป็นการชาร์จทันที ซึ่งใช้เวลาชาร์จแค่ 18 นาทีก็เต็มแล้ว
ในส่วนของราคาจะมีดังนี้
- Xiaomi Pad 5
- 6GB / 128GB : 10,990 บาท
- 6GB / 256GB : 12,990 บาท
- Xiaomi Smart Pen : 2,499 บาท
แต่ว่าๆ ถ้าทำการซื้อ Xiaomi Pad 5 รุ่นใดก็ได้พร้อมกับ Xiaomi Smart Pen จะสามารถซื้อ Xiaomi Smart Pen ไดเมในราคาเพียง 1,499 บาทเท่านั้น
และสำหรับผู้ที่ทำการ Pre-Order Xiaomi Pad 5 ทุกรุ่นตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2564 ถึง 1 ตุลาคม 2564 รับฟรี เคสและฟิล์มมูลค่า 1,880 บาท นอกจากนี้ถ้าทำการ Pre-Order Xiaomi Pad 5 รุ่น 6GB / 128GB กับทาง JD Central ราคาเครื่องจะลดเหลือ 9,990 บาท โดยการ Pre-Order นี้จะเริ่มส่งเครื่องในวันที่ 2 ตุลาคม 2564
Smart Eco Sytem
ยังๆ ไม่จบ Xiaomi ยังมีการเปิดตัวของใหม่ต่อ โดยคราวนี้เปลี่ยนมาเป็นอุปกรณ์ต่างๆ แทนแล้ว สิ่งแรกที่ทำการเปิดตัวเลยก็คือพัดลม Mi Smart Standing Fan 2 ซึ่งความน่าสนใจของพัดลมตัวนี้ก็คือสามารถปรับความสูงได้ด้วยการใส่/ถอดข้อต่อ และสามารถความคุมการทำงานผ่านมือถือได้อีกด้วย โดย Mi Smart Standing Fan 2 นั้นจะวางขายในราคา 2,199 บาท
หลังจากพูดถึงหน้าจอแล้วคราวนี้ก็หันมาพูดถึง Xiaomi FlipBuds Pro กันต่อ โดย FlipBuds Pro ตัวนี้จะมาพร้อมกับระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC ที่สามารถลดเสียงรบกวนได้มากถึง 99% เลยทีเดียว ซึ่งระบบ ANC นี้จะทำงานร่วมกับไมโครโฟนทั้ง 3 ตัว ทำให้ไม่ว่าจะใช้งานแบบไหนก็จะไม่มีเสียงรอบข้างมารบกวนได้ ส่วนลำโพงของหูฟังตั้วนี้นั้นจะมีขนาด 11 มม. ที่ให้ทั้งเสียงครบทุกย่าน สำหรับระยะเวลาในการใช้งานนั้นหากไม่ได้เปิด ANC ไว้จะใช้งานได้ยาวนาน 7 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และนาน 28 ชั่วโมงเมื่อรวมกับแบตเตอรี่ในเคส แต่ถ้าทำการเปิด ANC จะสามารถใช้งานได้นาน 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และนาน 22 ชั่วโมงเมื่อรวมกับแบตเตอรี่ในเคส โดย Xiaomi FlipBuds Pro นั้นจะวางขายในราคา 5,699 บาท
นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวกล้องวงจรปิดไร้สาย Mi Wireless Outdoor Security Camera อีกด้วย โดยตัวกล้องวงจรปิดไร้สายนี้จะบันทึกภาพที่ความละเอียดระดับ 1080p ที่สามารถดูภาพผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตได้ด้วย อีกทั้งด้วยการที่มีลำโพงอยู่กับตัวกล้อง ทำให้เราสามารถพูดกับผุ้ที่อยู่หน้ากล้องได้อีกด้วย โดยตัว Mi Wireless Outdoor Security Camera นี้จะมีราคาอยู่ที่ 2,199 บาท และถ้าซื้อเป็นเซ็ตจะมีราคาอยู่ที่ 2,999 บาท
และยังได้มีการเปิดตัว Mi Smart Projector 2 ออกมาเพิ่มด้วย โดยตัว Smart Projector นี้สามารถฉายภาพได้ที่ความละเอียดระดับ Full-HD ซึ่งสามารถปรับขนาดของหน้าจอได้ตั้งแต่ 60 นิ้วไปจนถึง 120 นิ้วเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบออโต้โฟกัสและระบบแก้ภาพเบี้ยวอีกด้วย โดยตัว Mi Smart Projector 2 นี้จะมีราคาอยู่ที่ 16,990 บาท
อีกทั้งยังมีการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่อีกหลายตัวแต่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับของเหล่านั้นมานัก ได้แต่บอกราคาขายมาเป็นหลัก โดยรายการของจะมีดังนี้
- Mi Desktop Monitor 27 นิ้ว ราคา 5,990 บาท
- Mi Door and Windows Sensor 2 ราคา 390 บาท
- Mi WiFi Range Extender AC1200 ราคา 599 บาท
- Redmi Buds 3 Pro ราคา 1,799 บาท
- Redmi Buds 3 ราคา 99 บาท