สเปค Infinix Note 30, Note 30 5G และ Note 30 Pro มาพร้อมจอ 120Hz ชาร์จไวและลำโพง JBL เตรียมเข้าไทยเร็วๆ นี้
เปิดตัวกันไปอีกหนึ่งรุ่นล่าสุดจาก Infinix หลังจากที่มีการเปิดตัวรุ่น Note 30i ไปก่อนหน้า ก็ได้มีการปล่อยอีก 3 รุ่นตามมาติดๆ นั่นก็คือ Note 30, Note 30 5G และ Note 30 Pro โดยทั้งสามรุ่นนี้ก็มีอยู่ 2 รุ่นที่ผ่านการรับรองจาก กสทช. ไปแล้วในตอนนี้ก็คือ Infinix Note 30 (X6833B) และ Note 30 5G (X6711) แต่ว่าจะมีการนำเข้ามาวางขายตอนไหน และมีราคาเท่าไหร่นั้นก็ต้องรอดูกันเร็วๆ นี้ แต่คาดกันว่าน่าจะมีราคาเริ่มต้นไม่น่าเกิน 8,000 บาท โดยสเปคคร่าวๆ ของทั้งสามรุ่นนี้ถือว่าเป็นมือถือระดับกลางที่ทำออกมาได้ดีเลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่ไหลลื่น ชิปที่ใช้งานทั่วไปและเล่นเกมได้ ถ่ายรูปสวย ลำโพงที่จูนโดย JBL และระบบชาร์จไวแบบ All-Round FastCharge ทั้งแบบมีสายและไร้สายที่ชูเป็นจุดเด่นเลยก็ว่าได้ เดี๋ยววันนี้ทาง Specphone จะมาแนะนำสเปค Infinix Note 30, Infinix Note 30 5G และ Infinix Note 30 Pro ว่าแต่ละรุ่นเป็นอย่างไรบ้าง ที่เตรียมเข้าไทยเร็วๆ นี้
Infinix Note 30
เริ่มต้นกันที่รุ่นแรกของซีรีส์ Infinix Note 30 กันก่อนเลยที่รุ่นนี้เป็นรุ่น 4G มีสเปคที่ใช้งานทั่วไปก็ได้ เล่นเกมก็ยังไหว แถมยังถ่ายรูปได้ดีอีกด้วย โดยรุ่นนี้ดีไซน์ตัวเครื่องแบบขอบแบน กับโมดูลกล้องหลังเป็นรูปสีเหลี่ยมพร้อมกล้อง 3 ตัว และมีรูกล้องหน้าแบบ Punch Hole มี 3 สีให้เลือกคือ Magic Black, Interstellar Blue และ Sunset Gold มาพร้อมหน้าจอแบบ IPS LCD (LTPS) ระดับ FHD+ กว้าง 6.78 นิ้วขนาดใหญ่มากสมกับเป็น Infinix ที่หน้าจอมักจะใหญ่แบบนี้เสมอ อีกทั้งยังมี Refresh Rate 120Hz และอัตราการสัมผัส 240Hz กับความสว่างหน้าจอที่ไปได้สูงสุดถึง 580 nits อีกด้วย
ส่วนชิปประมวลผลของรุ่นนี้ได้ใช้เป็นตัว Helio G99 ที่รองรับการใช้งาน 4G และมีหน่วยความจำให้เลือก 2 รุ่นคือ RAM 8GB/128GB และ 8GB/256GB ขยายแรมเพื่มได้ด้วย Extended RAM ถือว่าใช้เล่นเกมได้ดีพอตัวเลย โดยรุ่นนี้ก็ได้ชูจุดเด่นหลักๆ ก็คือลำโพงสเตอริโอคู่ ที่ได้พัฒนาร่วมกับ JBL ให้เสียงต่ำกระหึ่มแบบตัวเครื่องไม่สั่นและรองรับเสียงแบบ Hi-Res อีกอย่างก็คือการชาร์จ ที่รุ่นนี้มีแบตมาให้ถึง 5,000 mAh รองรับชาร์จไว All-Round FastCharge ที่ 45W ชาร์จได้ 75% ใน 30 นาทีเท่านั้น หรือชาร์จเพียง 5 นาทีก็ใช้ต่อได้ยาวๆ เป็นชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีการทดสอบมากกว่า 1,000 ครั้ง และรองรับ Reverse Charge ที่ชาร์จด้วยสายให้คนอื่นหรือตัวเองได้ด้วย
เรื่องของกล้องหลังรุ่นนี้มีมาให้ 3 ตัวที่ความละเอียดตัวหลัก 64MP (f/1.7) ที่มีเซ็นเซอร์ OmniVision OV64B พร้อมเลนส์ 6P และกล้องชัดลึก 2MP (f/2.4) และกล้อง AI เป็นแบบ QVGA สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 1440p@30fps กับกล้องหน้าความละเอียด 16MP (f/2.0) รองรับการถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 1080p@30fps ส่วนการเชื่อมต่อสามารถเชื่อมได้ทั้ง Wi-Fi 802.11, microSD, NFC, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ทำงานบนระบบ Android 13 คาดว่ามีราคาเริ่มต้น 230$ หรือประมาณ 8,000 บาท
สรุปสเปค Infinix Note 30
- หน้าจอ: IPS LCD (FHD+) กว้าง 6.78 นิ้ว อัตรา Refresh Rate 120Hz สว่างสูงสุด 580 นิต
- ชิปประมวลผล: Helio G99
- RAM: 8GB
- ROM: 128GB/ 256GB
- กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด
- เลนส์หลัก 64MP (ƒ/1.7)
- เลนส์ Depth 2MP (ƒ/2.4)
- เลนส์ AI CAM (f/2.4) (QVGA)
- กล้องหน้าความละเอียด: 16MP (ƒ/2.0)
- การเชื่อมต่อ: 4G, Wi-Fi 802.11, Bluetooth, NFC, OTG, 3.5 JACK
- ระบบปฏิบัติการ: Android 13
- แบตเตอรี่ความจุ: 5,000 mAh All-Round FastCharge 45W (9V/5A)
- ราคา: รุ่นเริ่มต้นประมาณ 8,000 บาท
Infinix Note 30 5G
สำหรับ Infinix Note 30 5G รุ่นต่อมานี้เป็นรุ่นที่อัพเกรดสเปคขึ้นมาจากรุ่นเริ่มต้น และได้เพิ่มความละเอียดของกล้องให้ดีขึ้น ได้ชิปที่แรงกว่าและรองรับ 5G พร้อมกับหน้าจอใหญ่ไหลลื่นเหมือนกัน ซึ่งสเปคโดยรวมก็มีความคล้ายกันกับรุ่นปกติ แต่ว่ามีบางจุดที่อัพเกรดทำให้ดีกว่านั่นเอง อย่างแรกคือรุ่นนี้มีตัวเครื่องแบบขอบแบน มีโมดูลกล้องสี่เหลี่ยมและมีรูกล้องหน้าแบบ Punch Hole กับสี 3 สีเหมือนกัน ส่วนหน้าจอเป็นแบบ IPS LCD (LTPS) ระดับ FHD+ กว้าง 6.78 นิ้วขนาดใหญ่เท่ากัน และยังมี Refresh Rate 120Hz กับอัตราการสัมผัส 240Hz กับความสว่างหน้าจอที่ 580 nits เหมือนกันเลย
จุดที่ทำให้แตกต่างก็คือชิปประมวลผลที่รุ่นนี้ใช้ตัว Dimensity 6080 5G (6nm) ที่เชื่อมต่อได้เร็วแรงกว่า และมีความจุให้เลือก 2 รุ่นคือ RAM 4GB/8GB และ ROM 128/256GB มาพร้อมฟีเจอร์ Extended RAM ที่ขยายแรมได้สูงสุดอีก 8GB เล่นเกมได้สบายๆ นอกจากนี้ในส่วนอื่นๆ ก็จะเป็นเหมือนรุ่น LTE แทบทั้งหมดทั้งลำโพงสเตอริโอคู่ที่พัฒนาร่วมกับ JBL ทำให้เสียงออกมากระหึ่มเหมือนในโรงหนัง และความจุแบต 5,000 mAh รองรับชาร์จไว All-Round FastCharge 45W (10V/4.5A ต่างจากรุ่นปกติที่เป็น 9V/5A) ที่ชาร์จได้ 75% ใน 30 นาที กับการรองรับ Reverse Charge ที่ชาร์จให้ตัวเองหรือคนอื่นได้เหมือนกัน
ส่วนที่ต่างกับรุ่นปกติอีกอย่างก็คือกล้องหลังที่รุ่นนี้มี 3 ตัวเหมือนกันแต่ว่ามีความละเอียดตัวหลัก 108MP (f/1.75) พร้อมเซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HM6 9,1/1.67” และเลนส์ 6P ถ่ายกลางวันและกลางคืนออกมาได้คมชัด ที่เหลือยังคงเหมือนเดิมคือกล้องชัดลึก 2MP (f/2.4) และกล้อง AI แบบ QVGA ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 2K@30FPS และมีกล้องหน้า 16MP (f/2.0) ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 1080p@30fps รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง 5G, Wi-Fi 802.11, Bluetooth, OTG, NFC, ช่องเสียบหูฟัง กับการทำงานบนระบบ Android 13 ราคาเริ่มต้นประมาณ 9,000 บาท (Rs. 20,990)
สรุปสเปค Infinix Note 30 5G
- หน้าจอ: IPS LCD (FHD+) กว้าง 6.78 นิ้ว อัตรา Refresh Rate 120Hz สว่างสูงสุด 580 นิต
- ชิปประมวลผล: Dimensity 6080 5G (6nm)
- RAM: 4GB/8GB
- ROM: 128GB/ 256GB
- กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด
- เลนส์หลัก 108MP (ƒ/1.7) Samsung ISOCELL HM6
- เลนส์ Depth 2MP (ƒ/2.4)
- เลนส์ AI CAM (f/2.4) (QVGA)
- กล้องหน้าความละเอียด: 16MP (ƒ/2.0)
- การเชื่อมต่อ: 5G, Wi-Fi 802.11, Bluetooth, NFC, OTG, 3.5 JACK
- ระบบปฏิบัติการ: Android 13
- แบตเตอรี่ความจุ: 5,000 mAh All-Round FastCharge 45W (10V/4.5A)
- ราคา: รุ่นเริ่มต้นประมาณ 9,000 บาท
Infinix Note 30 Pro
ปิดท้ายกันด้วยรุ่นโปรทมีการปรับปรุงหลายๆ อย่างจากรุ่นปกติและรุ่น 5G ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ การชาร์จไว กล้องหน้า แต่ว่าโดยรวมก็ยังมีอะไรที่เหมือนเดิมอยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะไปคล้ายตัว LTE (4G) มากกว่า อย่างดีไซน์ตัวเครื่องที่เป็นขอบแบน และมีโมดูลกล้องสีเหลี่ยมกับแฟลชด้านบน ที่มีรูกล้องหน้าแบบ Punch Hole เหมือนกัน แต่ว่ารุ่นนี้มีหน้าจอเป็นแบบ AMOLED ระดับ FHD+ กว้าง 6.78 นิ้วให้สีสันสมจริง และมี Refresh Rate 120Hz กับอัตราการสัมผัสสุ่ม 360Hz เลยทีเดียว ที่สำคัญก็คือรุ่นนี้หน้าจอสว่างได้สูงสุดถึง 900 nits เลยด้วย
ส่วนชิปของรุ่นนี้ก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นชิป Helio G99 (4G) เหมือนกับรุ่นปกติ รวมไปถึงความจุที่มีให้เลือก 2 รุ่นคือ RAM 8GB/128GB และ RAM 8GB/256GB พร้อมฟีเจอร์ขยายแรมได้เหมือนกัน แต่รุ่นนี้ก็ได้เสริม Vapor Chamber ระบบระบายความร้อนที่กระจายไปรอบตัวเครื่อง ทำให้เล่นเกมหรือชาร์จแบตไม่ทำให้เครื่องร้อนเร็ว ส่วนอื่นๆ ก็จะคล้ายกับทุกรุ่นในซีรีส์นี้คือลำโพงคู่ที่พัฒนาร่วมกับ JBL ให้เสียงที่ดี แต่ว่ารุ่นนี้แตกต่างมาอีกหน่อยตรงที่มีแบตความจุ 5,000 mAh รองรับ All Round Fast Charge ถึง 68W ชาร์จได้ 80% ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น รวมไปถึงการชาร์จแบบไร้สาย 15W และชาร์จย้อนกลับได้ด้วย
สุดท้ายคือเรื่องของกล้องหลังที่รุ่นนี้ก็ได้อัพเกรดในหลายๆ จุดที่ทำให้ดูโปรมากขึ้น ด้วยกล้องหลัง 3 ตัวความละเอียดหลัก 108MP ที่คาดว่าคงจะเป็นตัวเดียวกันรุ่น 5G ที่มีเซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HM6 กับเลนส์ชัดลึก 2MP และกล้อง AI แบบ QVGA ถ่ายวิดีโอได้ 1440p@30fps และได้มีการอัพเกรดกล้องหน้าให้ดีขึ้นเป็น 32MP (f/2.0) พร้อมแฟลชและถ่ายวิดีโอได้ 1080p@30fps มีให้เลือกสองสีคือสีทองและสีดำ กับการเชื่อมต่อได้ทั้ง 4G, Wi-Fi 802.11, Bluetooth, OTG, NFC, 3.5 Jack และทำงานบนระบบ Android 13
สรุปสเปค Infinix Note 30 Pro
- หน้าจอ: AMOLED (FHD+) กว้าง 6.78 นิ้ว อัตรา Refresh Rate 120Hz สว่างสูงสุด 900 นิต
- ชิปประมวลผล: Helio G99 (4G)
- RAM: 8GB
- ROM: 128GB/ 256GB
- กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด
- เลนส์หลัก 108MP (ƒ/1.7) Samsung ISOCELL HM6
- เลนส์ Depth 2MP (ƒ/2.4)
- เลนส์ AI CAM (f/2.4) (QVGA)
- กล้องหน้าความละเอียด: 32MP (ƒ/2.0)
- การเชื่อมต่อ: 4G, Wi-Fi 802.11, Bluetooth, NFC, OTG, 3.5 JACK
- ระบบปฏิบัติการ: Android 13
- แบตเตอรี่ความจุ: 5,000 mAh All-Round FastCharge 45W (10V/4.5A)
- ราคา: รุ่นเริ่มต้นประมาณไม่เกิน 10,000 บาท
ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลสเปค Infinix Note 30, Infinix Note 30 5G และ Note 30 Pro ทั้งสามรุ่นที่เปิดตัวออกมาไม่นานมานี้ โดยมีสองรุ่นที่ผ่านการรับรองจาก กสทช. แล้วนั่นก็คือ Note 30 และ Note 30 5G ที่คาดว่าจะมีราคาไม่เกินหมื่นทั้ง 3 รุ่น และน่าจะมีรุ่น Note 30 VIP ออกตามมาอีกที่เป็นรุ่นท็อปกว่านี้ แต่ก็ต้องมารอดูกันอีกทีว่าจะมีรุ่นไหนเข้ามาขายในราคาเท่าไหร่บ้าง สำหรับใครที่มองหามือถือสเปคคุ้มๆ หน้าจอใหญ่ไหลลื่น และใช้งานทั่วไป หรือว่าจะเล่นเกม ถ่ายรูปสวยๆ ในราคาที่ไม่แรงมาก Infinix ถือว่าเป็นมือถือระดับกลางที่คุ้มมากทีเดียว ถ้าใครที่สนใจรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ก็รอติดตามดูกันได้เลย แล้วถ้ามีเรื่องไหนน่าสนใจอีก เราก็จะนำมาฝากกันเรื่อยๆ เลยนะครับ
ขอบคุณภาพและข้อมูลทั้งหมดจาก gsmarena, Infinix PH