OPPO ได้ห่างหายจากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงไปนาน ล่าสุดได้เปิดตัว OPPO R15 Pro มาตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายเซลฟี่อย่างเต็มที่ ซึ่ง OPPO ได้ชูจุดเด่นในเรื่องของการถ่ายภาพ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี AI และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ถ่ายภาพได้ดีขึ้นทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ฝาหลังที่ไล่เฉดสีที่สวยงามโดยมากับสีที่กำลังฮิตในปัจจุบันนั่นก็คือ สีแดง และสีม่วง ส่วนสเปคเต็ม ๆ ดูจากด้านล่างได้เลยครับ
รายละเอียดสเปค OPPO R15 Pro
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.28 นิ้ว อัตราส่วนหน้าจอ 19:9 ความละเอียด Full HD+ 2280 x 1080 พิกเซล
- ขนาดตัวเครื่อง 156.5 x 75.2 x 8.0 มม. หนัก 180 กรัม
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 660 AIE CPU Octa-core (4×2.2 GHz Kryo 260 & 4×1.8 GHz Kryo 260) พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟฟิก Adreno 512
- RAM 6 GB
- ความจุ 128 GB และรองรับ microSD สูงสุด 256 GB
- กล้องหลัง Dual Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และ 20 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงกว้าง f/1.7 ทั้งสองเลนส์ ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX 519 พร้อมกับ LED Flash
- กล้องหน้า 20 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0
- รองรับ Dual SIM แบบ Hybrid Slot
- พอร์ตเชื่อมต่อ microUSB 2.0
- แบตเตอรี่ความจุ 3430 mAh พร้อมกับฟีเจอร์ VOOC Flash Charge
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 5.0 บน Android 8.1 Oreo
- 19,990 บาท
Design/ การออกแบบ
OPPO R15 Pro ใช้หน้าจอ Super Full Screen ที่มี Notch ด้านบนตามกระแสนิยม โดยมีหน้าจอขนาด 6.28 นิ้ว ที่มีอัตราส่วนของหน้าจออยู่ที่ 89 % จากพื้นที่ด้านหน้าตัวเครื่องทั้งหมด ซึ่งถือว่าเยอะมาก ทำให้ตัวเครื่องมีขอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้านหน้าจะเป็นกระจกแบบ 2.5 D ชิ้นเดียว โค้งมนสวยงาม และให้สัมผัสที่ดี ไม่คมจนเกินไป
ด้านบนตัวเครื่องจะเป็น Notch ขนาดเล็ก ที่เพียงพอกับการใส่กล้องหน้า ลำโพงสนทนา และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำให้เหลือพื้นที่สำหรับแจ้งเตือนต่าง ๆ บนหน้าจออีกด้วย
ด้านล่างตัวเครื่องก็จะมีขอบหนาเล็กน้อย และปุ่ม Navigation Bar จะอยู่ในหน้าจอ
ด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นช่องเสียบพอร์ต microUSB ด้านข้างก็จะเป็นลำโพงขับเสียงและช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และช่องไมค์
ข้างขวาตัวเครื่องจะเป็นปุ่ม Power และช่องใส่ซิมแบบเข็มจิ้ม
ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะเป็นที่สำหรับเพิ่มเสียงลดเสียง และมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านหลังตัวเครื่ิอง โดยหนึ่งในจุดเด่นที่ทาง OPPO ภูมิใจนำเสนอคือดีไซน์ด้านหลังตัวเครื่องที่ไล่เฉดสีอย่างสวยงามจากโทนสว่างลงมาโทนมืด จะมีด้วยกันสองสี คือ Cosmic Purple และ Ruby Red ซึ่งโชคดีมากที่เราได้รีวิวทั้งสองสีเลย
สี Ruby Red
สี Cosmic Purple
ธีมของ UI ก็จะเปลี่ยนสีไปด้วยให้เข้ากับสีของตัวเครื่อง ซึ่งเราสามารถโหลดธีมอื่น ๆ ได้อีกเพียบที่ร้านขายธีม ที่สามารถโหลดได้ฟรีให้เลือกตามความชอบ
Software
ในส่วนของซอฟต์แวร์ ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 พร้อมกับ ColorOS 5.0 ใช้ Snapdragon 660 AIE ที่มีประสิทธิภาพบวกกับแรมขนาด 6 GB พร้อมกับ AI ที่อยู่ในชิปประมวลผล ทำให้การใช้งานลื่นไหลสุด ๆ แม้กระทั่งการเล่นเกมที่กินกราฟิกสูง ๆ ในปัจจุบันก็หายห่วง เพราะชิป CPU Snapdragon 660 AIE มีชิปประมวลผลกราฟฟิก Adreno 512 ที่เล่นเกมได้ทุกเกมในปัจจุบัน
Feature
สแกนลายนิ้วมือ และสแกนหน้า
OPPO R15 Pro มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งฟีเจอร์สแกนนิ้วลายนิ้วมือที่อยู่ด้านหลังเครื่อง และฟีเจอร์สแกนใบหน้าที่สามารถสแกนได้รวดเร็ว เพียงแค่ยกโทรศัพท์ขึ้นเพื่อใช้งานโดยไม่ต้องกดปุ่มอะไร ระบบจะสแกนหน้าและปลดล็อคให้อัตโนมัติอย่างรวดเร็ว
โหมดแยกหน้าจอ
การแยกหน้าจอ เหมือนกับฟีเจอร์แบ่งการทำงานเป็นสองหน้าจอเหมือนกับ Android รุ่นอื่น ๆ ที่ใช้หน้าจอยาว โดยขั้นตอนการเปิดใช้งานก็คือเข้าแอปพลิเคชั่นหลัก แล้วใช้สามนิ้วรูดขึ้น ก็จะขึ้นหน้าเมนูให้เปิดหน้าต่างอีกหนึ่งแอปพลิเคชั่นด้านล่างทันทีเหมือนกับวิดีโอด้านล่าง และสามารถปิดโหมดนี้ได้เลยเพียงกดมุมบนขวาที่หน้าจอ
การปรับเปลีี่ยน Navigation Bar
สามารถปรับเปลี่ยน Navigation Bar ด้านล่างได้หลายแบบ อย่างสลับตำแหน่งปุ่ม หรือปรับเปลี่ยนให้เป็นการใช้งานได้แบบ iPhone X เหมือนกับวิดีโอด้านล่างครับ
Game Acceleration Mode
เป็นโหมดที่เอาไว้เร่งความเร็วของฮาร์ดแวร์ภายในให้เน้นไปที่การเล่นเกม เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีในการเล่นเกม และยังป้องกันการรบกวนในขณะที่เราเล่นเกม สามารถควบคุมผ่านโหมดนี้
หากมีข้อความเข้ามา หรือการแจ้งเตือนต่าง ๆ แล้วเราต้องการดู สามารถเลื่อนหน้าจอบริเวณติ่งได้เลย เมื่อกดดูจะขึ้นเป็นหน้าต่างป็อปอัพให้เราใช้งาน ซึ่งก็จะสะดวกไปอีกแบบ
หรือเมื่อมีใครโทรเข้ามา จะขึ้นแสดงรายละเอียดคนที่โทรเข้ามาพร้อมกับสามารถเลือกที่จะรับสายหรือตัดสายได้ทันที
VOOC Flash Charge
เทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ของ OPPO ที่ชาร์จไฟเข้าได้ไวมาก ซึ่งทาง OPPO เคลมว่าชาร์จ 5 นาที สามารถคุยโทรศัพท์ได้ถึง 2 ชั่วโมงด้วยกัน ซึ่งจากการทดสอบของเราได้ชาร์จแบตตอน 11.30 ขณะแบตเหลือ 8% ผ่านไป 33 นาที แบตอยู่ 66 % ซึ่งถือว่าชาร์จพอ ๆ กันกับมาตรฐาน Fast Charging
Performance
OPPO R15 Pro มากับชิปประมวลผล Snapdragon 660 AIE CPU Octa-core (4×2.2 GHz Kryo 260 & 4×1.8 GHz Kryo 260) พร้อมกับชิปประมวลผลกราฟิก Adreno 512 ที่หลายคนแอบสงสัยว่ามันจะสมกับราคาหรือไม่ จากการทดสอบใช้งานทั่วไปนั้น ใช้งานได้แบบไหลลื่น รองรับการใช้งานทั่วไปได้อย่างเต็มที่ หรือจะนำไปเล่นเกมก็ไม่มีปัญหา สังเกตจากภาพ Gif ด้านล่างที่เฟรมเรตที่มุมบนด้านขวา วิ่งมากกว่า 55 fps อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เรื่องชิปประมวลผลหายห่วง เพราะชิป Snapdragon 660 AIE เป็นตัวท็อปสุดของซีรี่ส์ 600 และเป็นแค่ตัวรองท็อปซีรี่ส์ 800 เท่านั้น ทำให้ประสิทธิภาพไม่ต่างกันมาก จะเห็นผลต่างแค่เกมที่ประมวลผลกราฟิกหนัก ๆ เท่านั้น
Camera
OPPO R15 Pro มากับกล้องหลัง Dual Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และ 20 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงกว้าง f/1.7 ทั้งสองเลนส์ พร้อมกับ LED Flash ด้วยรูรับแสงที่กว้างขึ้นทำให้ถ่ายในที่มืดได้ดีขึ้น ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI ที่ช่วยตรวจจับรายละเอียดของภาพและเพิ่มแสงเข้ามาในส่วนที่มืด ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมานั้นสวยงาม สังเกตจากหน้า UI ด้านล่างที่ถ่ายในที่สภาพแวดล้อมแตกต่างกัน จะเห็นมุมด้านขวาของภาพ จะเป็นสัญลักษณ์ที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติ ซึ่งทำงานได้ฉลาดมาก
ในส่วนของกล้องหน้านั้น OPPO ขึ้นชื่อในเรื่องของความเป็น Selfie Expert อยู่แล้วโดยมากับกล้องหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซลที่รูรับแสงกว้าง f/2.0 และมากับเทคโนโลยี AI Beauty Technology 2.0 ที่สามารถเรียนรู้ปรับแต่งภาพเซลฟี่ให้สวยสมบูรณ์ที่สุด พร้อมกับจำแนก เพศ อายุ สีผิวมาปรับแต่งได้อย่างธรรมชาติ ไม่มีรองพื้นผิดเบอร์ ซึ่งใครอยากรู้อานุภาพของ AI นี้ดูได้จากรูปด้านล่างได้เลยครับ
นอกจากนี้ยังมีโหมด Artistic Portrait Mode ที่เป็นฟีเจอร์ปรับแต่งเอฟเฟกต์แสงแบบ 3D เพื่อให้การถ่ายภาพบุคคลโดดเด่นขึ้่นมาอีก
ตัวอย่างกล้องหลัง OPPO R15 Pro
ตัวอย่างกล้องหน้า OPPO R15 Pro
ทดสอบการถ่ายวิดีโอ OPPO R15 PRO
Overall
สิ่งที่แรกเลยที่ยอมรับหลังจากได้ลองเล่น OPPO R15 Pro ก็คือความเป็น Selfies Expert ยังคงอยู่กับสมาร์ทโฟนของ OPPO ยิ่งรุ่น OPPO R15 Pro เป็นที่เป็นเรือธง ยิ่งจัดเต็มในเรื่องประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก กล้องหน้าที่มีความละเอียดมากถึง 20 ล้านพิกเซล และเทคโนโลยี AI Beauty 2.0 ประสิทธิสูงที่สามารถปรับแต่งภาพถ่ายให้สวยจบ ไม่ต้องไปแต่งเพิ่มแต่อย่างใด น่าจะถูกใจสาวกเซลฟี่อย่างแน่นอน ส่วนกล้องหลังก็ถ่ายได้ดีในระดับที่สมกับเป็นเรือธงของแบรนด์ เทคโนโลยี AI ที่ทำงานได้อย่างฉลาด สิ่งที่ถูกใจอีกอย่างคือฝาหลังที่ไล่เฉดสีสวยงามมาก ทุกมุมมอง ทั้งสี Ruby Red และ Cosmic Purple ในส่วนของฮาร์ดแวร์ให้แรมมาถึง 6 GB และรอมมากถึง 128 GB ให้ได้ถ่ายรูปกันยาว ๆ ข้ามปี หน้าจอใหญ่มากและสีสันสดใสด้วยจอ AMOLED ส่วนที่ใครหลายคนกังวลเกี่ยวกับชิปประมวลผล Snapdragon 660 จากที่ลองเล่นมา ใช้งานได้สบายมาก เพราะเอาจริง ๆ มันก็เป็นซี่รี่ส์รองลงมาจาก 800 แค่เล็กน้อยเท่านั้น
ข้อดี
- กล้องหน้าที่มากับ AI Beauty Technology 2.0 ถ่ายได้สวยมาก ๆ
- กล้องหลังประสิทธิภาพสูง
- สีของตัวเครื่องไล่เฉด สวยงาม
- หน้าจอใหญ่ สีสันสดใสด้วยจอ AMOLED
- เซ็นเซอร์สแกนใบหน้าที่ทำได้รวดเร็ว
- เทคโนโลยี VOOC Flash Charge ชาร์จไฟได้เร็ว