ถ้าจะพูดถึงมือถือรุ่นท็อปช่วงนี้ อีกตัวที่กระแสมาแรงมากๆ เลยก็คือ LG G4 ที่สานต่อทั้งรูปลักษณ์ และฟีเจอร์ต่างๆ มาจาก LG G3 แล้วเสริมจุดเด่นให้ยิ่งเด่นขึ้นไปอีก ทำให้ LG G4 มีกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะผู้ที่ได้จับเครื่องจริงมาแล้ว และในคราวนี้ทางทีมงานเราก็ได้รับเครื่องจริงมารีวิวกันด้วยครับ ก็เลยขอมาบอกเล่าความรู้สึกจากการใช้งานให้ทราบกัน เผื่อเป็นข้อมูลไว้ให้หลายๆ ท่านใช้ตัดสินใจกันซะหน่อย ว่าจะซื้อ LG G4 ดีมั้ย มาเริ่มกันที่สเปคของ LG G4 กันก่อนแล้วกัน
สเปค LG G4
- ชิปประมวลผล Snapdragon 808 (6 คอร์) ความเร็ว 1.82 GHz ชิปกราฟิก Adreno 418
- แรม 3 GB
- หน้าจอ IPS โค้ง พร้อมเทคโนโลยี Quantum Display ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1440 (2K)
- รอม 32 GB มีช่องใส่ MicroSD ได้สูงสุด 2 TB
- กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล f/1.8 มีเลเซอร์ช่วยโฟกัส
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล
- Android 5.1
- แบตเตอรี่ 3000 mAh รองรับ QuickCharge 2.0
- มีอินฟราเรด
- ใช้งานได้ 1 ซิม (ไมโครซิม) รองรับ 4G LTE และ 3G ทุกเครือข่าย
- ราคา 20,990 บาท
- สเปค LG G4
ถ้าดูจากสเปคหน้าเสื่อแล้ว ก็บอกเลยว่า LG G4 มาพร้อมฮาร์ดแวร์แบบจัดเต็ม ไล่ตั้งแต่ชิปประมวลผลที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด แทบจะแรงสุดในตลาด แรมก็ให้มาพอดีๆ 3 GB ที่เด็ดก็คือเรื่องของหน้าจอซึ่งใช้เทคโนโลยี Quantum Display แบบเดียวกับที่ LG ใช้ในทีวีรุ่นสูงๆ ของตนเอง ทำให้ภาพออกมาสมจริง สีสันสวยงาม ทั้งยังกินไฟน้อยกว่าเดิมอีก จุดนี้จัดว่าเป็นเอกลักษณ์ของ LG มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในด้านของการพัฒนาจอภาพในสมาร์ทโฟนของตน ที่มักจะนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาทุกปี และไม่ใช่ว่ามีแค่ Quantum Display นะครับ แต่จอของ LG G4 ยังคงมนและมาพร้อมความละเอียดถึงระดับ 2K อีกด้วย เรียกว่าสุดๆ กันเลยแหละในเรื่องจอ
ส่วนจุดอื่นๆ ก็โอเคครับ ได้กล้องความละเอียดสูง มีเลเซอร์ช่วยโฟกัสแบบเดียวกับใน LG G3 มีอินฟราเรดให้ใช้งานเป็นรีโมททีวี รีโมทแอร์กันได้เหมือนเดิม ที่เด็ดสุดคือราคาซึ่งเปิดมาแค่ 20,990 บาท ต่ำกว่ารุ่นท็อปของแบรนด์อื่นๆ ในตลาดอย่างเห็นได้ชัด ถือว่าเป็นมือถือตัวท็อปที่คุ้มสุดๆ ตัวหนึ่งในตลาดเลย
ข้อดี
ข้อสังเกต
บทสรุป
BEST OVERALL
Design
สำหรับเครื่อง LG G4 ที่ทางเราได้รับมารีวิวในครั้งนี้ เป็นเครื่องโมเดลของเกาหลีใต้นะครับ เปิดเครื่องมาเจอเมนูเป็นภาษาเกาหลีมาเลย แต่ถ้าใครซื้อเครื่องศูนย์ไทยก็ไม่ต้องกลัวครับ ความแตกต่างหลักๆ ก็จะเป็นเรื่องเวอร์ชันซอฟต์แวร์ (ที่เราอาจได้อัพช้ากว่านิดหน่อย), แอพติดเครื่อง และเรื่องของการรองรับ LTE-A ที่ตอนนี้ยังมีใช้กันหลักๆ แค่ในเกาหลีใต้เท่านั้น จึงไม่เป็นประเด็นเท่าไหร่ว่าใช้เครื่องไทยแล้วจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แถมถ้าใช้เครื่องไทย ยังได้รับประกันจากศูนย์ LG นานตั้ง 18 เดือนด้วยนะ อันนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของมือถือ LG ในไทยเลยครับ เพราะมือถือยี่ห้ออื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ได้ประกันแค่ 12 เดือนเท่านั้นเอง
มาที่ตัวเครื่องจริงๆ ซะทีนะ สิ่งที่ผมเห็นและรู้สึกตอนแรกที่พบกับ LG G4 ก็คือมันคล้าย G3 มากๆ แต่ก็ดูเป็น G3 ที่ลดน้ำหนักมาแล้ว ดูปราดเปรียวกว่าเดิม ขอบจอบาง มีขอบที่เหมือนอลูมิเนียมอยู่ด้านข้างเพิ่มความหรูหรา แต่สิ่งที่สะดุดตาและความรู้สึกที่สุดก็คือหน้าจอของ LG G4 ที่ให้ภาพสวยงาม คมชัดดีมาก แถมยังปรับปรุงข้อเสียใน G3 เรื่องความคมชัดของภาพและตัวอักษรที่มากเกินไป จนทำให้ปวดตาไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้ภาพบนจอ G4 ออกมาสบายตามากๆ อยู่ในระดับเดียวกับสมาร์ทโฟนจอ PPI สูง ทั่วไป ซึ่งสำหรับผมที่เคยใช้ LG G3 บอกเลยว่ามันเป็นจุดที่เพิ่มคะแนนความพึงพอใจส่วนตัวไปเต็มๆ เลย กับการที่ LG แก้ไขข้อผิดพลาดเดิมของตน และทำให้ G4 เป็นมือถือที่สมบูรณ์แบบกว่าเดิมได้จริงๆ
ซึ่งอีกปัจจัยที่ทำให้จอคมชัด สวยงาม นอกจากความละเอียดจอที่สูงถึงระดับ 2K แล้ว ยังมีเรื่องของเทคโนโลยีภายในอีกด้วย เพราะ LG ได้นำเทคโนโลยี Quantum Display ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการแสดงผล และ LG เองเลือกใส่มาให้กับทีวีรุ่นสูงๆ ของตนเองมาแล้ว ซึ่งก็มีจุดเด่นดังต่อไปนี้
- ให้แสงสว่างมากกว่าเดิม 25%
- คอนทราสต์สูงขึ้น 50% ทำให้ความแตกต่างของโทนสีมืดกับสว่างมากขึ้น ภาพดูชัดเจนขึ้น
- ความถูกต้องของสีเพิ่มขึ้น 56% ครอบคลุมกว่า 98% ตามมาตรฐานสี DCI
ทำให้ภาพที่ได้จากจอ LG G4 มีสีสันที่สวยงาม ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป ทั้งยังกินไฟน้อยลง ส่งผลให้แม้จะยังคงใส่แบตเตอรี่มาให้ 3000 mAh แต่ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปแล้ว นอกจากนี้มันยังมาพร้อมจอโค้งเล็กน้อย เพื่อให้สามารถใช้งานได้สะดวก ไม่ต้องเอื้อมสุดนิ้วจนเกินไป เวลาจะแตะเลือกอะไรบริเวณขอบจอด้านบน แถมยังช่วยให้ตัวเครื่องโดยรวมมีขนาดเล็กกว่าพวกเครื่องจอ 5.5 นิ้วทั่วไปด้วย ซึ่งองศาความโค้งของจอ LG G4 จะน้อยกว่า LG G Flex 2 นิดหน่อยนะครับ สังเกตจากในภาพถ่ายยากอยู่เหมือนกัน ต้องจับตัวจริงถึงจะรู้สึกได้ว่ามันโค้งนะ
ต่อกันที่ฝาหลังบ้าง ถ้าสังเกตจากภาพใหญ่ด้านบนก็จะเห็นว่ามันมีลวดลายเป็น texture ลายทางอยู่ (กรอบหน้าจอก็มีลายคาร์บอนอยู่นะ) ซึ่งเวลาสัมผัสฝาหลัง ก็จะมีนูนๆ ขึ้นมาตามลายนิดหน่อยครับ ไม่ได้ชัดมากนัก โดยใน G4 จะมีฝาหลังให้เลือกลายแบบเลย หลักๆ แล้วก็จะมีฝาพลาสติก กับฝาหนัง ก็ถือว่าเป็นการตีโจทย์ความพรีเมียมของ LG ในอีกรูปแบบหนึ่ง คือจากที่แบรนด์อื่นๆ เลือกใช้อลูมิเนียมและกระจกเป็นการแสดงถึงความพรีเมียมให้กับสมาร์ทโฟนรุ่นท็อป แต่ LG เลือกใช้หนังแท้เป็นการแสดงความพรีเมียมแทน ซึ่งผมว่าก็โอเคนะ เมื่อเทียบราคาที่ย่อมเยากว่าชาวบ้านอยู่เป็นพันๆ ส่วนฝาหลังของเครื่องรีวิวที่เห็นว่ามีโลโก้ LTE 8 ด้วยนั้น เพราะว่ามันเป็นเครื่องเกาหลีนะครับ เครื่องที่ขายในไทยจะไม่มีโลโก้นี้นะ
จุดเด่นที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ก็คือแผงปุ่ม Rear Key ของ LG G4 ครับ ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมันก็คือการผสมผสานดีไซน์ของแผง Rear Key จากใน LG G2 และ G3 ไว้ด้วยกันนั่นเองครับ คือเอาปุ่มตรงกลางที่เเหมือนแคปซูลแบบ G2 มาผสมกับดีไซน์แบนราบแบบที่พบใน G3 จึงออกมาเป็นตัวนี้ ซึ่งผมก็ว่ามันใช้สะดวกดีนะ กดง่ายกว่าตอนใช้ G3 ด้วย ถือว่าทำออกมาลงตัวกว่าเดิมมากๆ เหนือขึ้นไปหน่อยก็เป็นกล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ล้อมกรอบมาด้วยอลูมิเนียมสีเงินสะท้อนแสง ดูพรีเมียมขึ้นมาอีกระดับ ใกล้ๆ กันนั้น ฝั่งซ้ายก็เป็นเลเซอร์ช่วยโฟกัส ซึ่งก็ทำได้ดีเช่นเดิมครับ เวลาถ่ายรูปก็สามารถโฟกัสได้เร็วและแม่น แม้จะเป็นในที่มีแสงน้อยก็ตาม ส่วนฝั่งขวาเป็นแฟลช LED 2 ดวง
G4 = G3 ที่ลดน้ำหนักมาแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ LG เน้นมากในด้านของการดีไซน์ LG G4 ก็คือ curve ความโค้งมนของตัวเครื่อง เพื่อให้มันสามารถตอบสนองรูปแบบการใช้งานมือถือของมือผู้ใช้ได้ดีที่สุด ทำให้เราได้เห็นหลายๆ ส่วนที่ดูโค้ง เช่นฝาหลังที่โค้งรับอุ้งมือได้พอดี ขอบเครื่องก็มน ส่วนถ้าให้เทียบกับ G3 ผมว่า G3 ยังโค้งมากกว่า G4 นะ แต่สิ่งที่สัมผัสได้ถึงความแตกต่างเลยก็คือ LG G4 มันดูเพรียวบางกว่ามาก จับแล้วรู้สึกว่า G3 ดูเทอะทะไปเลย เรื่องงานออกแบบนี่กินขาด ตอนถือ G4 ใช้งาน พบว่ามันบางและเบามากๆ จับแล้วรู้สึกติดมือกว่า G3 รวมถึง iPhone 6 ด้วยจริงๆ ถ้าสนใจ แนะนำว่าไปลองจับตัวจริงหน้าช้อปตัวแทนจำหน่ายดูครับ เครื่องเดโมน่าจะกระจายไปทั่วประเทศแล้วนะตอนนี้
แน่นอนว่าจากการที่ย้ายปุ่ม Power กับปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงไปไว้ด้านหลัง ก็จะทำให้ด้านข้างเครื่องของ LG G4 ไม่มีปุ่มกดใดๆ เลย จะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็คือตรงด้านบนมีช่องรับเสียงของไมค์ช่วยตัดเสียงรบกวนกับช่องรับส่งสัญญาณอินฟราเรด สำหรับใช้เป็นรีโมทคอนโทรล ด้านล่างก็มีช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ช่องรับเสียงของไมค์สนทนา แล้วก็ช่อง Micro USB สำหรับชาร์จไฟตามปกติ อีกจุดที่น่าสนใจก็คือทางฝั่งขวาครับ เพราะมันมีร่องสำหรับแงะฝาหลังออกมาอยู่ตรงนี้ด้วย ฝาหลังของ G4 ก็แงะไม่ยากนะ ไม่ต้องใช้แรงมากก็สามารถแกะออกมาได้แล้ว
เมื่อแกะฝาหลังออกมา ก็จะพบกับแบตเตอรี่ 3000 mAh อยู่ตรงกลางเลยครับ ถัดขึ้นไปข้างบนนิดหน่อยก็จะเป็นช่องใส่ไมโครซิมกับ MicroSD ซ้อนกันอยู่ ซึ่งจะต้องถอดแบตเตอรี่ด้วย ถึงจะใส่ซิมการ์ดได้นะ ส่วนตัวฝาหลังนั้น ก็จะมีแผงชาร์จ NFC และสำหรับชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายอยู่ด้วย ซึ่งก็น่าจะเป็นหนึ่งในฟีเจอร์พื้นฐานของพวกมือถือรุ่นท็อปไปแล้ว
ด้านล่างนี้ก็เป็นแกลเลอรี่รวมภาพตัวเครื่อง LG G4 นะครับ คลิกชมกันได้เลย
Software
LG G4 นี้ นับเป็นเครื่องรุ่นแรกๆ ในตลาดเลยทีเดียวที่มาพร้อม Android 5.1 Lollipop มาเลย เรียกว่านำคู่แข่งในตลาดไปหลายรุ่นเลยก็ว่าได้ จะเป็นรองก็แค่ตระกูล Nexus ที่ได้รับรอมตรงจาก Google อยู่นิดเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องการอัพเดตเวอร์ชันย่อยๆ เช่น Android 5.1.1 นั้น ก็อาจต้องรอการอัพเดตจากทาง LG กันซักหน่อยครับ แต่น่าจะได้รับหมด ไม่มีปัญหานะ ส่วนเรื่องการลงรอมโมนั้น อาจต้องรอซักหน่อยครับ เท่าที่ผมลองเช็คในเว็บบอร์ด XDA ดูเหมือนว่าจะยังมีแต่ของเครื่องโมเดลที่ขายในประเทศอื่นนะ แล้วก็ยังมีไม่เยอะด้วย
หน้าตารอมของ LG G4 เรียกว่ามาทรงเดียวกับ LG G3 เลยครับ ใครที่เคยใช้ G3 มาก่อนน่าจะรู้สึกคุ้นมือและปรับตัวได้ไม่ยากนัก เพราะมันคล้ายกันมาก ไล่ตั้งแต่ทรงไอคอนแอพ การจัดเรียงเมนู ฟีเจอร์ ลูกเล่นต่างๆ ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลแล้วว่าชอบแนวไหน แต่ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะ Android เป็นระบบที่ค่อนข้างเปิด ทำให้สามารถติดตั้งลันเชอร์ตัวอื่นเพื่อใช้งานแทนกันได้ แต่ก็อาจจะทำให้สูญเสียคุณสมบัติบางอย่างไปเหมือนกัน เช่น อาจไม่สามารถเคาะหน้าจอ knock knock เพื่อเปิดหรือปิดหน้าจอได้แบบลันเชอร์ของ LG เอง เป็นต้น ส่วนในภาพที่สอง จะเห็นว่าด้านบนมีแอพหน้าตาแปลกๆ มาเพียบเลย จะบอกว่าพวกแอพตระกูล U+ ทั้งหลายนี้ เป็นแอพที่ติดมากับเครื่องเกาหลีนะครับ (ย้ำอีกครั้งว่าเครื่องที่รีวิวนี้ เป็นเครื่องเกาหลี) เครื่องศูนย์ไทยไม่มีแอพพวกนี้แน่นอน
สำหรับตัวระบบนั้น เมื่อเปิดเครื่องมา จากพื้นที่ 32 GB จะเหลือว่างให้ใช้งานราวๆ 21 GB ที่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วๆ ไปอยู่เหมือนกัน ส่วนถ้าใครคิดว่าตัวเองคงจะถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอเยอะ ก็แนะนำว่าให้หาซื้อ MicroSD ความเร็วสูงๆ มาใช้งานกับ G4 ด้วยจะดีกว่า เพราะจากที่ผมลองใช้ MicroSD ความเร็วไม่ค่อยสูงนัก แล้วลองปรับให้เก็บภาพถ่ายในเมม พบว่าแอพกล้องทำงานได้ช้าลงกว่าตอนตั้งค่าให้เก็บภาพในเครื่องอย่างเห็นได้ชัด หรือไม่ก็ใช้เมมปกติก็ได้ครับ แต่ตั้งค่าแอพกล้องให้เก็บภาพในเครื่องตามปกติ พอถ่ายได้ซักพัก เราก็ค่อยมาย้ายภาพจากเครื่องลงเมมด้วยตัวเองก็ได้
ส่วนเรื่องของการใช้งานแรมนั้น จากทั้งหมด 3 GB เปิดเครื่องมาก็จะเหลือว่างให้ใช้งานราวๆ 1.2 GB ระบบกินไปเกือบ 900 MB ซึ่งก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว ตอนใช้งานก็ไม่รู้สึกสะดุดหรือติดขัดอะไร สลับแอพไปมาได้ไม่มีปัญหา ก็สมกับเป็นรุ่นท็อปอยู่นะ ด้านของประสิทธิภาพก็หายห่วง แรงถึงใจ จะใช้ทำงาน ใช้เล่นเกมก็ไม่ใช่ปัญหาครับ ส่วนระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ก็ทำได้ดี ใช้งานได้หนึ่งวันพอดี แต่ถ้าเล่นหนักหน่อยก็ไม่ถึงเหมือนกันนะ เพราะจอความละเอียดถึง 2K นี่ล่ะ (เอาจริงๆ บนมือถือ จอ Full HD 1080p ก็กินขาดแล้ว)
Feature
ด้านของฟีเจอร์ที่น่าสนใจใน LG G4 ก็น่าจะเป็นพวกกระดานที่มีชื่อว่า Smart Bulletin ครับ ซึ่งเป็นกระดานที่ใช้แสดงข้อมูลต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น ตารางนัดหมายของวันนี้ จำนวนก้าวเดินที่เดินไปแล้ว รวมถึงยังมีรีโมทคอนโทรลที่เราสามารถตั้งค่าให้มาแสดงตรงกระดานนี้ได้ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ไม่ต้องคอยไปเปิดแอพ QRemote ให้วุ่นวายเหมือนเดิม
ซึ่งการเข้าถึง Smart Bulletin นี้ก็ทำได้ง่ายมากครับ แค่เลื่อนหน้าจอจากหน้าโฮมมาทางจอด้านซ้ายเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าให้เทียบแล้ว มันก็เหมือนการเรียกหน้า Google Now มาดูของในรอม Pure Android บน Nexus นั่นเอง
อีกส่วนที่น่าสนใจของ Smart Bulletin ก็คือส่วนของ Smart Setiings ที่เป็นแถบสีฟ้าตามภาพข้างบนครับ ซึ่งส่วนนี้ก็คือรูปแบบการทำงานของฟังก์ชันอื่นๆ ในเครื่อง โดยอิงจากตำแหน่งที่อยู่ของเรา เช่นเราอาจจะตั้งค่าให้เวลาอยู่บ้าน ตัว G4 เปิด WiFi เปิดเสียงเรียกเข้า เปิด Bluetooth ส่วนเวลาอยู่ที่ออฟฟิศก็ให้มันปิด Bluetooth ปิดเสียงเรียกเข้าอัตโนมัติ รวมถึงยังตั้งค่าว่าระหว่างการเดินทางจะให้เปิดหรือปิดอะไรบ้างแบบอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องไปกดเปิดเมนูเพื่อตั้งค่าเองให้วุ่นวาย เพราะระบบจะจัดการเองโดยดูจากสถานที่ที่เครื่องอยู่ในปัจจุบัน โดยเราสามารถไปตั้งค่ารูปแบบโปรไฟล์ต่างๆ รวมถึงตั้งที่อยู่ได้ด้วยว่าจะให้พื้นที่ไหนคือบ้านของเรา เพียงแค่เข้าไปที่ Settings แล้วดูหัวข้อว่า Smart settings เท่านั้นเอง ซึ่งในส่วนของกระดาน Smart Bulletin จะใช้แสดง log การปรับเปลี่ยนล่าสุดของตัว Smart settings ครับ
ด้านของ QRemote แอพรีโมทคอนโทรลของ LG G4 นี่คงไม่ต้องพูดถึงประโยชน์กันมากมายละนะ เพราะเป็นแอพที่ LG เลือกใส่มาในมือถือหลายๆ รุ่นของตนมานานแล้ว และก็เป็นแอพรีโมทที่สามารถใช้งานได้จริง สามารถเพิ่มรีโมทเข้าไปได้ ปรับลดเปลี่ยนปุ่มได้ตามที่ต้องการ แต่ใน LG G4 นี้ยิ่งเพิ่มความสะดวกเข้ามาอีกครับ จากแต่เดิม LG เปิดโอกาสให้ผู้ใช้นำรีโมทที่ใช้บ่อยไปวางไว้ตรงใต้แถบ quick settings ในหน้า notifications ได้ ซึ่งก็ดี แต่บางคนอาจจะรำคาญ เพราะมันดันให้พวกข้อความการแจ้งเตือนต่างๆ ถูกดันลงไปด้านล่างให้อ่านยากกว่าเดิม แต่ใน G4 ได้มีการนำรีโมทมาไว้ที่บอร์ด Smart bulletin แทน ทำให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย และไม่รบกวนพื้นที่ตรงหน้า notifications ด้วย อันนี้ผมชอบเลย กลับมาห้องก็เปิดหน้า Smart bulletin ขึ้นมา แล้วก็กดรีโมทเปิดทีวี เปิดแอร์ได้เลย ไม่ต้องมาหารีโมทที่ห้องให้วุ่นวายอีก ใช้มือถือเครื่องเดียวจบ
Camera
เอาล่ะ มาเรื่องกล้องกันบ้างครับ สำหรับกล้องของ LG G4 ก็ต้องบอกว่ายังคงสร้างความประทับใจได้ดีเหมือนกับบน G3 เลย ถ่ายแล้วภาพออกมาดูดีแบบแทบไม่ต้องแต่งภาพต่อ อีกจุดเด่นที่ยังคงทำได้ดีอยู่ และเหนือกว่าคู่แข่งด้วย นั่นคือเลเซอร์โฟกัส ที่จะใช้การยิงแสงเลเซอร์สีแดงขนาดเล็กมากๆ จนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ออกมาช่วยจับวัตถุแล้ววัดระยะ เพื่อช่วยให้การปรับระยะโฟกัสของเลนส์ทำได้ง่ายขึ้น เรียกว่าเป็นหลักการเดียวกับในกล้อง DSLR ก็ว่าได้ ต่างจากในกล้องมือถือทั่วไปที่จะใช้ตัวเซ็นเซอร์รับภาพในการคำนวณและปรับระยะโฟกัสของเลนส์เอง ซึ่งจะมีปัญหาเมื่อต้องโฟกัสภาพในที่มีแสงน้อย แต่ LG G4 ตัดปัญหานี้ออกไปเลย เพราะมันมีการยิงเลเซอร์ออกมาช่วยโฟกัสนั่นเอง ทำให้แม้จะมีแสงน้อยก็ยังโฟกัสได้เร็วและแม่นยำอยู่ ส่วนในที่มีแสงพอเหมาะ เช่นกลางแจ้งก็หายห่วงเลยครับ โฟกัสวัตถุได้เป๊ะและเร็วมากๆ
คุณสมบัติอื่นๆ ที่น่าสนใจของกล้อง LG G4 ก็ไม่เบาเลยทีเดียว ชุดเลนส์มีรูรับแสงที่กว้างสุดถึง f/1.8 ที่น่าจะเรียกว่าอยู่ในกลุ่มกว้างสุดอันดับต้นๆ ของกล้องมือถือในปัจจุบันเลยทีเดียว ซึ่งยิ่งรูรับแสงกว้าง ก็ยิ่งทำให้สามารถรับแสงเข้ามาในภาพได้มากขึ้น ดังนั้นก็จะได้เปรียบในการถ่ายภาพบริเวณที่มีแสงน้อย รวมถึงยังใช้ถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ดี หลังถึงกับละลายสวย จะถ่ายโบเก้ก็สบาย นอกจากนี้ยังมีโมดูลชดเชยการสั่น OIS เวอร์ชัน 2.0 เข้ามาให้อีก ทำให้สามารถรถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอได้ง่ายขึ้นจริงๆ
ส่วนของกล้องหน้าก็ได้รับการปรับปรุงจาก G3 อยู่เหมือนกัน ที่เห็นชัดหน่อยก็คือความละเอียดที่เพิ่มเป็น 8 ล้านพิกเซล แต่พอลองใช้จริง พบว่าเลนส์ที่ใช้เป็นเลนส์มุมกว้างด้วยครับ ทำให้สามารถเก็บภาพได้กว้างกว่ากล้องหน้าของมือถือหลายๆ รุ่น จะถ่ายเซลฟี่ก็สามารถเก็บวิวข้างหลังได้ จะถ่ายกรุ๊ปฟี่ (เซลฟี่เป็นกลุ่ม) ก็ทำได้ง่าย ไม่ต้องยืนเบียดกันมากก็เก็บได้หมด และแน่นอน สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ตัวปรับความเนียนใสของหน้าตั้งแต่ก่อนถ่าย อันนี้รับรอง ปรับแล้วออกมาหน้าเนียนมากๆๆ
ส่วนตัวช่วยในการถ่ายให้ง่ายขึ้นก็มีนะครับ โดยเราสามารถแบมือหน้ากล้อง แล้วกำมือเพื่อสั่งให้กล้องนับถอยหลัง แล้วถ่ายภาพก็ได้ ไม่ต้องมากดปุ่มอยู่ แต่เอาจริงๆ แล้ว วิธีการถ่ายเซลฟี่บน LG G4 ด้วยการกดปุ่มก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะเราสามารถกดปุ่มลดเสียงเพื่อถ่ายรูปได้ ซึ่งตัวปุ่มเองก็วางอยู่ที่ด้านหลังเครื่องให้กดง่ายอยู่แล้ว
นอกจากจะพัฒนาด้านฮาร์ดแวร์ขึ้นมาแล้ว รอบนี้ LG ยังพัฒนาส่วนของซอฟต์แวร์ขึ้นมาด้วย สำหรับหน้าตาโดยรวมก็ยังทำออกมาใกล้เคียงกับ LG G3 อยู่ คือมีการแสดงผลใน 3 โหมดหลักๆ ได้แก่โหมดเรียบง่าย (ที่ปรับลดหน้าตา ไอคอนทั้งหมดออก) โหมดปกติอย่างในภาพข้างบน และโหมดแมนนวลที่จะพูดถึงในลำดับต่อไปครับ
ย้อนกลับมาดูในภาพข้างบนก่อน ถ้าสังเกตดีๆ ตรงกลางภาพจะเห็นว่ามีกรอบสีเขียวขึ้นมา อันนี้คือกรอบโฟกัสที่ระบบคำนวณให้ว่าจะโฟกัสที่ตรงไหนของภาพบ้าง ซึ่งถ้าใครที่ใช้กล้อง DSLR มา ก็จะรู้สึกคุ้นเคยกับมันดีล่ะครับ สำหรับใน G4 เราก็จะใช้กรอบนี้ในการดูว่าตอนนี้กล้องโฟกัสอยู่ที่ตรงไหนของภาพ ของวัตถุ ต่างจากในกล้องของมือถือส่วนใหญ่ที่มักจะมีกรอบใหญ่ๆ ขึ้นมากรอบเดียว ส่วนปุ่มที่เขียนว่า Mode นั้น เมื่อกดเข้าไปแล้วก็จะมีอยู่สองสามโหมดเท่านั้นครับ เช่น โหมดพาโนรามา ไม่มีพวกโหมดบิวตี้ โหมดใช้ effect ต่างๆ นะ ตรงนี้น่าจะถือว่าเป็นจุดที่ LG ยังไม่จัดเต็มที่ซักเท่าไหร่ สำหรับคนที่อยากจะใส่ effect ในภาพก็คงต้องใช้แอพอื่นถ่ายภาพ หรือมาแต่งภาพทีหลังแทน
ความรู้สึกในการใช้งานกล้อง LG G4 เท่าที่รีวิวมา ผมว่ามันเป็นกล้องที่สามารถถ่ายจบในตัวได้สบายๆ เลย ไล่ตั้งแต่การโฟกัสที่แม่นและเร็ว ไม่ว่าจะที่แสงปกติหรือที่แสงน้อย ทั้งยังได้รายละเอียดภาพที่คมชัด สวยงาม แต่ก็ไม่คมจนเกินไป แสงสีของภาพก็จัดว่าอยู่ในระดับที่กำลังดี ไม่ฉูดฉาดหรือซีดผิดปกติ จัดว่าเป็นกล้องมือถือที่ทำหน้าที่ได้ดี และอยู่ในระดับท็อปๆ ของปัจจุบันได้เลย
ทีนี้มาดูส่วนของโหมดแมนนวลกันบ้าง โดยสามารถเปลี่ยนมาใช้ได้ด้วยการกดที่ปุ่มสัญลักษณ์ 3 จุดเหลี่ยมตรงมุมซ้ายบนของจอ เสร็จแล้วหน้าตาจะเปลี่ยนมาเป็นแบบในภาพข้างบนนี้ครับ สังเกตได้เลยว่ามีเมนูขึ้นมาให้ปรับเพียบเลยตรงด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็น white balance, ระยะโฟกัส, ค่าการชดเชยแสง (EV), ค่าความไวแสง (ISO), ค่าความไวชัตเตอร์ รวมถึงยังสามารถกดล็อกค่าการวัดแสง (AE-L) ได้ด้วย อันนี้จัดว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จำเป็นและมีประโยชน์มากๆ โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการถ่ายภาพแบบเล่นกับแสง เช่นถ่ายภาพแบบซิลลูเอต เน้นเงาเข้มๆ ตัดกับแสง เป็นต้น ซึ่งแต่ละค่าเองก็สามารถสไลด์เพื่อปรับได้อย่างอิสระ อย่างในภาพด้านบนก็เป็นการปรับระยะโฟกัส โดยผู้ใช้สามารถเลื่อนเพื่อเลือกระยะโฟกัสของเลนส์ได้ตามใจชอบเลย ส่วนด้านของการปรับความไวชัตเตอร์ก็สามารถปรับให้เปิดได้นานสุดถึง 8 วินาที !! ซึ่งนับว่าสูงมากบนสมาร์ทโฟน อันนี้ก็จะช่วยให้สามารถถ่ายภาพไฟแบบ light trail หรือจะใช้ถ่ายไฟบนท้องถนนก็ได้สบาย (แต่แนะนำว่าควรมีขาตั้งด้วยนะ)
ส่วนทางด้านบนก็จะเป็นส่วนของการแสดงค่าต่างๆ ที่ใช้งานอยู่ ไล่ตั้งแต่ white balance ที่แสดงเป็นเคลวินของอุณหภูมิสี, รูปแบบการโฟกัส (MF คือโฟกัสแบบเลือกระยะเอง), ค่าการชดเชยแสง, ค่า ISO ที่ปรับได้ต่ำสุดถึง 50, ค่าความไวชัตเตอร์ ปิดท้ายด้วยค่ารูรับแสงของเลนส์ ซึ่งอันนี้เป็นค่าตายตัวที่ f/1.8 อยู่แล้ว ซึ่งเท่าที่ผมลองใช้ดู บอกเลยว่าคนที่ใช้กล้อง DSLR มาจะต้องชอบแน่ๆ กับโหมดแมนนวลใน LG G4 เพราะมันปรับค่าได้ค่อนข้างหลากหลายจริงๆ
สำหรับตัวอย่างภาพด้านล่างนี้ ก็เป็นภาพที่ถ่ายจากกล้องหลัง LG G4 แบบออโต้นะครับ มาชมกันเลย