ในวันนี้เราได้มีโอกาสที่จะรีวิวสมาร์ทโฟนที่มีจุดเด่นแตกต่างไปจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ๆ ซึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นก็คือ ASUS ZenFone Go TV นั่นเองโดยหากดูจากชื่อรุ่นแล้วก็รู้ว่าจุดเด่นของสมาร์ทโฟนเครื่องนี้คือสามารถเปิดดูทีวีได้แบบฟรี ๆ โดยไม่ต้องพึ่งสัญญาณอินเตอร์เน็ต ด้วยระบบชิปเซ็ตดิจิตอลทีวีทำให้สามารถติดตามรายการโปรดต่างๆ โดยแสดงผ่านหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD เพียงแค่เสียบอุปกรณ์เสริมที่มีหน้าที่เป็นสายเคเบิ้ลเท่านั้นเราก็สามารถนั่งชมทีวีได้ทุกที่ทุกเวลาซึ่ง ASUS ZenFone Go TV เองยังรองรับสัญญาณดีทีวีได้หลายช่องดิจิตอลจากทั่วโลกยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ ที่สำคัญยังมีประเทศไทยด้วย สำหรับรายละเอียดสเปคของ ASUS ZenFone Go TV มีดังนี้
สเปค ASUS ZenFone Go TV
- หน้าจอขนาด 5.5 นิ้วแบบ IPS LCD ที่มีความละเอียด 1280 × 720 พิเซล
- ชิปประมวลผล Snapdragon 400 MSM8926 Quad-core 1.2 GHz
- แรม 2 GB
- หน่วยความจำภายใน 32 GB (รองรับการใช้งาน Micro SD ได้สูงสุด 128 GB)
- กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช LED
- กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
- ระบบปฎิบัติการ Android 5.1.1
- แบตเตอรี่ความจุ 3,010 mAh
- ราคา 5,990 บาท
- สเปคแบบเต็มของ ASUS ZenFone Go TV
หากดูจากสเปคเบื้องต้นแล้วก็ไม่ได้เน้นไปที่การดูทีวีเพียงอย่างเดียว ยังคงให้สเปคต่างๆ ให้ใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซลพร้อมหรือกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล หรือหน่วยความจำภายในขนาด 32 GB เป็นต้น ที่สำคัญยังคงมีราคาค่าตัวที่มีความคุ้มค่าในสไตล์ ASUS เช่นเคย
จุดเด่น
ข้อสังเกต
บทสรุป
BEST PRICE
Design
“ดูทีวีฟรี ได้ทุกที่ ไม่แคร์เน็ต”
ASUS ZenFone Go TV ยังคงมีการออกแบบที่เหมือนกับ ASUS ZenFone 2 ทั่วไปนั่นก็คือเน้นความเป็นพรีเมี่ยมด้วยวัสดุที่เป็นพลาสติกที่มีลวดลายขัดให้เป็นเส้นโลหะทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ให้มีเอกลักษณ์ที่ดูเป็นสมาร์ทโฟน ASUS ซึ่ง ASUS ZenFone Go TV จะมีราคาที่อยู่ในช่วงหกพันบาท ASUS จึงเลือกใช้วัสดุที่เป็นพลาสติกที่ขัดเพื่อให้สัมผัสที่หรูหราในราคาต้นทุนที่ไม่แพง ทำให้สัมผัสในการถือใช้งานให้ความรู้สึกที่ดูแพง ในราคาที่ถูก
สำหรับรายละเอียดการออกแบบของ ASUS ZenFone Go TV นั้นมีความคล้ายกันกับตระกูล ASUS ZenFone 2 ทั่วไป เริ่มจากด้านหน้าของตัวเครื่องจะเป็นกระจกเกือบทั้งหมดโดยจะมีบริเวณด้านล่างของตัวเครื่องเท่านั้นที่เป็นพลาสติกขัดลวดลายให้มีลักษณะเป็นโลหะที่มีเส้นสายครึ่งวงกลมที่เป็นเอกลักษณ์ของ ASUS และภายใต้หน้าจอนั้นมีหน้าจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้วอยู่ด้านใน จากตัวเครื่องด้านหน้าทั้งหมด ในส่วนด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นลำโพงสนทนาสีเงินที่อยู่บนโลโก้ ASUS ที่อยู่ตรงกลางระหว่างกล้องหน้า และเซ็นเซอร์วัดระดับแสงและวัดระยะห่างของใบหน้า ในส่วนด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นปุ่มเมนูแบบสัมผัสแบบ 3 ปุ่มนั่นก็คือ ปุ่มย้อนกลับ ปุ่มโฮม และปุ่ม Multitasking ที่เป็นสีเงินเนื่องจากยังไม่มีไฟมาให้
ในส่วนของด้านหลังมีการออกแบบรูปลักษณ์ให้มีลักษณะโค้งเพื่อให้สามารถจับถือได้ง่าย โดยมีส่วนที่บางที่สุดอยู่ที่ 3.9 มม. และตัวเครื่องหนาสุดที่ 10.7 มม. ในส่วนของฝาหลังใช้วัสดุพลาสติกที่มีการขัดลายให้เหมือนกับโลหะที่ดูสวยงามซึ่ง ASUS ZenFone Go TV จะมีสีใหม่เพิ่มเข้านั่นก็คือสีฟ้าเหมือนกับเครื่องที่รีวิวอยู่ในขณะนี้ ด้านบนของฝาหลังจะเป็นกล้องและ Dual LED Flash ถัดมาด้านล่างจะเป็นปุ่มวงรีขนาดใหญ่สีเงิน ที่ขัดลายให้คล้ายกับโลหะซึ่งจะเป็นปุ่มสำหรับเพิ่มเสียงและลดเสียง บริเวณตรงกลางจะเป็นโลโก้ ASUS ขนาดใหญ่ และลำโพงหลังจะเป็นสี่เหลี่ยมคาดยาวด้านล่างของฝาหลังตัวเครื่อง สำหรับด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของปุ่มพาวเวอร์ ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และลำโพงสำหรับตัดเสียงรบกวน ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องเสียบ microUSB และลำโพงใช้สำหรับสนทนา ในส่วนด้านข้างของตัวเครื่องทั้งสองด้านไม่มีปุ่มอะไรเลย เพราะการย้ายปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียงไปไว้ด้านหลังของตัวเครื่องนั่นเอง
สำหรับเสาอากาศจะเป็นอุปกรณ์แยกที่แถมมาให้ภายในกล่อง ในการใช้งานนั้นต้องเสียบเข้ากับช่องเสียงหูฟังขนาด 3.5 มม. โดยจะมีอะแดปเตอร์ที่เป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. เพิ่มเข้ามาสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการดูทีวีและใช้หูฟัง ซึ่งถ้าหากไม่มีการเสียบหูฟัง เสียงก็จะออกจากลำโพงภายนอกปกติ
สำหรับหน้าจอของ ASUS ZenFone Go TV จะมากับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แบบ IPS LCD ที่มีความละเอียด 1280 × 720 พิกเซล ที่มีความละเอียด 267 DPI และมีความสว่างสูงสุดที่ 400 nits พร้อมกับเทคโนโลยีหน้าจอ TruVivid ทำให้หน้าจอแสดงสีได้สดใสสวยงาม ที่สำคัญยังมากับเทคโนโลยีกระจกหน้าจอ Gorilla Glass 4 ซึ่งเพิ่มความทนทานมากกว่ารุ่นเดิมถึง 2.5 เท่า และลดหน้าจอแตกได้มากกว่าหน้าจอทั่วไปถึง 85 %
จากการใช้งานจริง การจับถือตัวเครื่องให้ความกระชับมือมากจากตัวเครื่องทีมีความโค้งรับกับมือในขณะที่จับถือ ฝาหลังที่เป็นพลาสติกแต่ขัดลายให้เป็นโลหะถึงแม้จะให้ความรู้สึกว่ามันเปราะบางไม่แข็งแรง แต่ก็ให้ความรู้สึกดีกว่าพลาสติกที่เรียบ ๆ นะ สำหรับขอบจอนั้นยังมีความหนาอยู่ตามสไตล์การออกแบบของ Zenfone Generation 2 ซึ่งถ้าบางมากกว่านี้น่าจะทำให้ตัวเครื่องดูสวยขึ้น สิ่งที่เป็นข้อสังเกตมากที่สุดคงจะเป็นความละเอียดของหน้าจอซึ่งมีความละเอียด 1280 × 720 ทำให้หน้าจอดูไม่คมชัดสักเท่าไหร่ บางครั้งต้องเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ซึ่งหากใครที่เคยใช้หน้าจอความละเอียด 1920 × 1080 มาก่อนเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของเสาอากาศนั้นต้องพกติดกับเครื่องตลอดเวลาหากต้องการใช้งานในการดูโทรศัพท์ ซึ่งอุปกรณ์นี้ไม่ได้ติดอยู่กับตัวเครื่องจึงต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้เกิดการสูญหาย
Software
ในส่วนของซอฟต์แวร์นั้นASUS ZenFone Go TV มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Marshmallow ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะน่าจะมากับ Android 6.0 Marshmallow ได้แล้ว และยังมาพร้อมอินเตอร์เฟส ZenUI ที่มีฟังก์ชันการทำงานอีกเพียบ เช่น ZenMotion, Snapview และ ZenUI Instant Updates ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการใช้งานให้สะดวกมากยิ่งขึ้น
สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นฟีเจอร์ ZenMotion นั้นได้ใช้งานบ่อยมาก ตั้งแต่การเปิดหน้าจอและปิดหน้าจอที่สามารถทำได้โดยแตะหน้าจอสองครั้งติดกันแทนการเอื้อมมือไปกดปุ่มพาวเวอร์ หรือจะวาดเป็นตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเข้าสู้แอพพลิเคชั่นที่ตั้งค่าไว้ได้ สำหรับการใช้งานทั่วไปอย่างเล่นโซเชียลมีเดีย ดูหนัง ฟังเพลง ทั่วไป ใช้งานได้อย่างสบาย สลับแอพพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วจากแรมที่มีขนาด 2 GB และระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Marshmallow ทำให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างลื่น ๆ แม้บางครั้งในการใช้งานหนัก ๆ อาจจะมีการโหลดข้อมูลใหม่อยู่บ้าง
Feature
สำหรับฟีเจอร์ที่เป็นจุดเด่นของ ASUS ZenFone Go TV นั่นก็คือสามารถดูทีวีได้ ซึ่งมีระบบ SONY IC (SMT-EW100 ) มาพร้อมชิปเซ็ตดิจิตอลทีวี (DTV) ทำให้คุณสามารถติดตามรายการโปรดในความละเอียดสูงระดับ HD ที่สัญญาณดิจิตอลทีวีส่งความละเอียดขนาด HD มาอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังสามารถดูได้ทุกสถานที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ต แต่ระดับความคมชัดของภาพนั้น ขึ้นอยู่กับสัญญาณในขณะที่ชมว่ามีสัญญาณมากน้อยเพียงใด ซึ่ง ASUS ZenFone Go TV ยังรองรับสัญญาณ DTV ได้หลากหลายช่อง และรับชมได้ฟรี digital-terrestrial ทุกช่องดิจิตอลทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับการใช้ในการดูทีวี ให้เข้าไปที่แอพพลิเคชั่นชื่อว่า SoloTV ที่ติดมากับตัวเครื่อง หลังจากนั้นให้ทำการเสียบเสาอากาศเข้าไปแล้วทำการแสกนหาสัญญาณซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายกันกับโทรทัศน์ทั่วไปซึ่งต้องสแกนหาสัญญาณก่อนจึงจะสามารถดูได้ ซึ่งการสแกนเจอช่องรายการนั้นจะขึ้นอยู่กับความแรงของสัญญาณบริเวณนั้นด้วย หลังจากสแกนเรียบร้อยแล้วก็จะมีช่องรายการให้เราได้เลือกชม โดยมีความคมชัดที่น่าประทับใจ แต่หากอยู่ในสถานที่อับสัญญาณอย่างเช่นบริเวณข้างในตัวตึกก็อาจจะมีคุณภาพของภาพที่ไม่คมชัด
Camera
สำหรับรายละเอียดของกล้องของ ASUS ZenFone Go TV มาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มีเลนส์ 5 ชิ้นที่ผลิตจาก Largan Precision มีรูรับแสงกว้าง f/2.0 และมี Dual Tone LED Flash มีเทคโนโลยี Pixel-Merging ที่ช่วยจับภาพให้สว่างขึ้นสูงสุด 400 % ในขณะถ่ายภาพที่มีแสงน้อย และมีโหมด Super Resolution ที่สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงสุดได้ถึง 52 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 5 ล้านพิกเซลที่สามารถถ่ายมุมกว้างได้ถึง 85 องศา
สำหรับซอฟต์แวร์ Pixel Master ที่อยู่ประจำการในสมาร์ทโฟน ASUS เกือบทุกรุ่นนั้นเป็นซอฟต์แวร์ที่มีการใช้งานง่ายมีโหมดต่าง ๆ ให้เลือกใช้อย่างมากมาย ซึ่งในเครื่องนี้จะเป็น Pixel Master 2.0 จากการใช้งานจริงถือว่าทำได้เหมาะสมกับราคา ซึ่งจะดูโดดเด่นในขณะที่ถ่ายรูปแบบมาโคร จะจับโฟกัสได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากเลเซอร์โฟกัสจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ใกล้วัตถุที่ถ่ายภาพ อีกจุดเด่นหนึ่งก็คือโหมด Super HDR และโหมดถ่ายในที่มืดซึ่งระบบจะทำการตรวจภาพอัตโนมัติถ้าหากพบว่าอยู่ในสถานที่แสงน้อยก็จะขึ้นเมนูลัดขึ้นมาให้ใช้ได้อย่างสะดวกมาก ซึ่งจากการถ่ายด้วย Super HDR จะทำให้ภาพสวยงามและสมจริงมากกว่าโหมดปกติอย่างเห็นได้ชัด สำหรับโหมดกลางคืนก็เร่งแสงขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจไม่ต้องเปิดแฟลชแต่อย่างใด
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าและกล้องหลังของ ASUS ZenFone Go TV
Performance
ASUS ZenFone Go TV มาพร้อมกับชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 400 MSM8926 ซึ่งเป็นชิป Quad Core 8x ARM Cortex A53 ที่มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.2 GHz พร้อมกับ GPU Adreno 305 และแรมขนาด 2 GB จากการใช้งานทั่วไปอย่างเล่นเน็ต หรือโซเชียลต่าง ๆ ใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งจากแรมที่เพิ่มเข้ามาทำให้การสลับแอพพลิเคชั่นได้รวดเร็วมากขึ้น แต่ถ้าหากเปิดแอพพลิเคชั่นไว้เยอะ ๆ ก็แอบมีการโหลดข้อมูลใหม่บ้าง สำหรับการเล่นเกมที่มีกราฟฟิกสูง ๆ นั้นอาจจะมีเฟรมเรทตกบ้างตามประสิทธิภาพของชิปประมวลผลระดับกลาง ๆ สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลภายในนั้นมีขนาด 32 GB ซึ่งใช้งานทั่วไปก็ถือว่ามีขนาดเหลือเฟือ แต่สำหรับคนที่เก็บข้อมูลเยอะ ๆ ก็สามารถเพิ่มความจุได้ด้วย microSD สูงสุดถึง 64 GB และรอบรับ Dual Sim
สำหรับแบตเตอรี่นั้นให้มาขนาด 3,010 mAh ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้แล้ว ซึ่งจากการใช้งานทั่วไปในหนึ่งวัน เช่นการเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ และฟังเพลงไปด้วย 2 ชั่วโมง เล่นโซเชียล 1 ชั่วโมง เปิดเครือข่าย 4G ไว้ทั้งวัน กลับถึงบ้านพบว่าแบตเตอรี่เหลือมากกว่า 30 % และ สำหรับการใช้งานในการดูทีวีทดลองเปิดทีวีทิ้งไว้พร้อมเปิดลำโพงอยู่ที่ระดับกลาง ๆ ในโหมดหน้าจอปรับความสว่างอัตโนมัติ พบว่าแบตเตอรี่ลดไปประมาณ 30 % หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถรับชมได้ที่รีวิวด้านล่างได้เลยครับ
Gallery
จุดเด่น
ข้อสังเกต
บทสรุป
BEST PRICE
Design
“ดูทีวีฟรี ได้ทุกที่ ไม่แคร์เน็ต”
ASUS ZenFone Go TV ยังคงมีการออกแบบที่เหมือนกับ ASUS ZenFone 2 ทั่วไปนั่นก็คือเน้นความเป็นพรีเมี่ยมด้วยวัสดุที่เป็นพลาสติกที่มีลวดลายขัดให้เป็นเส้นโลหะทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ให้มีเอกลักษณ์ที่ดูเป็นสมาร์ทโฟน ASUS ซึ่ง ASUS ZenFone Go TV จะมีราคาที่อยู่ในช่วงหกพันบาท ASUS จึงเลือกใช้วัสดุที่เป็นพลาสติกที่ขัดเพื่อให้สัมผัสที่หรูหราในราคาต้นทุนที่ไม่แพง ทำให้สัมผัสในการถือใช้งานให้ความรู้สึกที่ดูแพง ในราคาที่ถูก
สำหรับรายละเอียดการออกแบบของ ASUS ZenFone Go TV นั้นมีความคล้ายกันกับตระกูล ASUS ZenFone 2 ทั่วไป เริ่มจากด้านหน้าของตัวเครื่องจะเป็นกระจกเกือบทั้งหมดโดยจะมีบริเวณด้านล่างของตัวเครื่องเท่านั้นที่เป็นพลาสติกขัดลวดลายให้มีลักษณะเป็นโลหะที่มีเส้นสายครึ่งวงกลมที่เป็นเอกลักษณ์ของ ASUS และภายใต้หน้าจอนั้นมีหน้าจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้วอยู่ด้านใน จากตัวเครื่องด้านหน้าทั้งหมด ในส่วนด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นลำโพงสนทนาสีเงินที่อยู่บนโลโก้ ASUS ที่อยู่ตรงกลางระหว่างกล้องหน้า และเซ็นเซอร์วัดระดับแสงและวัดระยะห่างของใบหน้า ในส่วนด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นปุ่มเมนูแบบสัมผัสแบบ 3 ปุ่มนั่นก็คือ ปุ่มย้อนกลับ ปุ่มโฮม และปุ่ม Multitasking ที่เป็นสีเงินเนื่องจากยังไม่มีไฟมาให้
ในส่วนของด้านหลังมีการออกแบบรูปลักษณ์ให้มีลักษณะโค้งเพื่อให้สามารถจับถือได้ง่าย โดยมีส่วนที่บางที่สุดอยู่ที่ 3.9 มม. และตัวเครื่องหนาสุดที่ 10.7 มม. ในส่วนของฝาหลังใช้วัสดุพลาสติกที่มีการขัดลายให้เหมือนกับโลหะที่ดูสวยงามซึ่ง ASUS ZenFone Go TV จะมีสีใหม่เพิ่มเข้านั่นก็คือสีฟ้าเหมือนกับเครื่องที่รีวิวอยู่ในขณะนี้ ด้านบนของฝาหลังจะเป็นกล้องและ Dual LED Flash ถัดมาด้านล่างจะเป็นปุ่มวงรีขนาดใหญ่สีเงิน ที่ขัดลายให้คล้ายกับโลหะซึ่งจะเป็นปุ่มสำหรับเพิ่มเสียงและลดเสียง บริเวณตรงกลางจะเป็นโลโก้ ASUS ขนาดใหญ่ และลำโพงหลังจะเป็นสี่เหลี่ยมคาดยาวด้านล่างของฝาหลังตัวเครื่อง สำหรับด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของปุ่มพาวเวอร์ ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และลำโพงสำหรับตัดเสียงรบกวน ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องเสียบ microUSB และลำโพงใช้สำหรับสนทนา ในส่วนด้านข้างของตัวเครื่องทั้งสองด้านไม่มีปุ่มอะไรเลย เพราะการย้ายปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียงไปไว้ด้านหลังของตัวเครื่องนั่นเอง
สำหรับเสาอากาศจะเป็นอุปกรณ์แยกที่แถมมาให้ภายในกล่อง ในการใช้งานนั้นต้องเสียบเข้ากับช่องเสียงหูฟังขนาด 3.5 มม. โดยจะมีอะแดปเตอร์ที่เป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. เพิ่มเข้ามาสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการดูทีวีและใช้หูฟัง ซึ่งถ้าหากไม่มีการเสียบหูฟัง เสียงก็จะออกจากลำโพงภายนอกปกติ
สำหรับหน้าจอของ ASUS ZenFone Go TV จะมากับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แบบ IPS LCD ที่มีความละเอียด 1280 × 720 พิกเซล ที่มีความละเอียด 267 DPI และมีความสว่างสูงสุดที่ 400 nits พร้อมกับเทคโนโลยีหน้าจอ TruVivid ทำให้หน้าจอแสดงสีได้สดใสสวยงาม ที่สำคัญยังมากับเทคโนโลยีกระจกหน้าจอ Gorilla Glass 4 ซึ่งเพิ่มความทนทานมากกว่ารุ่นเดิมถึง 2.5 เท่า และลดหน้าจอแตกได้มากกว่าหน้าจอทั่วไปถึง 85 %
จากการใช้งานจริง การจับถือตัวเครื่องให้ความกระชับมือมากจากตัวเครื่องทีมีความโค้งรับกับมือในขณะที่จับถือ ฝาหลังที่เป็นพลาสติกแต่ขัดลายให้เป็นโลหะถึงแม้จะให้ความรู้สึกว่ามันเปราะบางไม่แข็งแรง แต่ก็ให้ความรู้สึกดีกว่าพลาสติกที่เรียบ ๆ นะ สำหรับขอบจอนั้นยังมีความหนาอยู่ตามสไตล์การออกแบบของ Zenfone Generation 2 ซึ่งถ้าบางมากกว่านี้น่าจะทำให้ตัวเครื่องดูสวยขึ้น สิ่งที่เป็นข้อสังเกตมากที่สุดคงจะเป็นความละเอียดของหน้าจอซึ่งมีความละเอียด 1280 × 720 ทำให้หน้าจอดูไม่คมชัดสักเท่าไหร่ บางครั้งต้องเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ซึ่งหากใครที่เคยใช้หน้าจอความละเอียด 1920 × 1080 มาก่อนเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของเสาอากาศนั้นต้องพกติดกับเครื่องตลอดเวลาหากต้องการใช้งานในการดูโทรศัพท์ ซึ่งอุปกรณ์นี้ไม่ได้ติดอยู่กับตัวเครื่องจึงต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้เกิดการสูญหาย
Software
ในส่วนของซอฟต์แวร์นั้นASUS ZenFone Go TV มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Marshmallow ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะน่าจะมากับ Android 6.0 Marshmallow ได้แล้ว และยังมาพร้อมอินเตอร์เฟส ZenUI ที่มีฟังก์ชันการทำงานอีกเพียบ เช่น ZenMotion, Snapview และ ZenUI Instant Updates ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการใช้งานให้สะดวกมากยิ่งขึ้น
สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้นฟีเจอร์ ZenMotion นั้นได้ใช้งานบ่อยมาก ตั้งแต่การเปิดหน้าจอและปิดหน้าจอที่สามารถทำได้โดยแตะหน้าจอสองครั้งติดกันแทนการเอื้อมมือไปกดปุ่มพาวเวอร์ หรือจะวาดเป็นตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเข้าสู้แอพพลิเคชั่นที่ตั้งค่าไว้ได้ สำหรับการใช้งานทั่วไปอย่างเล่นโซเชียลมีเดีย ดูหนัง ฟังเพลง ทั่วไป ใช้งานได้อย่างสบาย สลับแอพพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วจากแรมที่มีขนาด 2 GB และระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 Marshmallow ทำให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างลื่น ๆ แม้บางครั้งในการใช้งานหนัก ๆ อาจจะมีการโหลดข้อมูลใหม่อยู่บ้าง
Feature
สำหรับฟีเจอร์ที่เป็นจุดเด่นของ ASUS ZenFone Go TV นั่นก็คือสามารถดูทีวีได้ ซึ่งมีระบบ SONY IC (SMT-EW100 ) มาพร้อมชิปเซ็ตดิจิตอลทีวี (DTV) ทำให้คุณสามารถติดตามรายการโปรดในความละเอียดสูงระดับ HD ที่สัญญาณดิจิตอลทีวีส่งความละเอียดขนาด HD มาอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังสามารถดูได้ทุกสถานที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ต แต่ระดับความคมชัดของภาพนั้น ขึ้นอยู่กับสัญญาณในขณะที่ชมว่ามีสัญญาณมากน้อยเพียงใด ซึ่ง ASUS ZenFone Go TV ยังรองรับสัญญาณ DTV ได้หลากหลายช่อง และรับชมได้ฟรี digital-terrestrial ทุกช่องดิจิตอลทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับการใช้ในการดูทีวี ให้เข้าไปที่แอพพลิเคชั่นชื่อว่า SoloTV ที่ติดมากับตัวเครื่อง หลังจากนั้นให้ทำการเสียบเสาอากาศเข้าไปแล้วทำการแสกนหาสัญญาณซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายกันกับโทรทัศน์ทั่วไปซึ่งต้องสแกนหาสัญญาณก่อนจึงจะสามารถดูได้ ซึ่งการสแกนเจอช่องรายการนั้นจะขึ้นอยู่กับความแรงของสัญญาณบริเวณนั้นด้วย หลังจากสแกนเรียบร้อยแล้วก็จะมีช่องรายการให้เราได้เลือกชม โดยมีความคมชัดที่น่าประทับใจ แต่หากอยู่ในสถานที่อับสัญญาณอย่างเช่นบริเวณข้างในตัวตึกก็อาจจะมีคุณภาพของภาพที่ไม่คมชัด
Camera
สำหรับรายละเอียดของกล้องของ ASUS ZenFone Go TV มาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มีเลนส์ 5 ชิ้นที่ผลิตจาก Largan Precision มีรูรับแสงกว้าง f/2.0 และมี Dual Tone LED Flash มีเทคโนโลยี Pixel-Merging ที่ช่วยจับภาพให้สว่างขึ้นสูงสุด 400 % ในขณะถ่ายภาพที่มีแสงน้อย และมีโหมด Super Resolution ที่สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงสุดได้ถึง 52 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 5 ล้านพิกเซลที่สามารถถ่ายมุมกว้างได้ถึง 85 องศา
สำหรับซอฟต์แวร์ Pixel Master ที่อยู่ประจำการในสมาร์ทโฟน ASUS เกือบทุกรุ่นนั้นเป็นซอฟต์แวร์ที่มีการใช้งานง่ายมีโหมดต่าง ๆ ให้เลือกใช้อย่างมากมาย ซึ่งในเครื่องนี้จะเป็น Pixel Master 2.0 จากการใช้งานจริงถือว่าทำได้เหมาะสมกับราคา ซึ่งจะดูโดดเด่นในขณะที่ถ่ายรูปแบบมาโคร จะจับโฟกัสได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากเลเซอร์โฟกัสจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ใกล้วัตถุที่ถ่ายภาพ อีกจุดเด่นหนึ่งก็คือโหมด Super HDR และโหมดถ่ายในที่มืดซึ่งระบบจะทำการตรวจภาพอัตโนมัติถ้าหากพบว่าอยู่ในสถานที่แสงน้อยก็จะขึ้นเมนูลัดขึ้นมาให้ใช้ได้อย่างสะดวกมาก ซึ่งจากการถ่ายด้วย Super HDR จะทำให้ภาพสวยงามและสมจริงมากกว่าโหมดปกติอย่างเห็นได้ชัด สำหรับโหมดกลางคืนก็เร่งแสงขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจไม่ต้องเปิดแฟลชแต่อย่างใด
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าและกล้องหลังของ ASUS ZenFone Go TV
Performance
ASUS ZenFone Go TV มาพร้อมกับชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 400 MSM8926 ซึ่งเป็นชิป Quad Core 8x ARM Cortex A53 ที่มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.2 GHz พร้อมกับ GPU Adreno 305 และแรมขนาด 2 GB จากการใช้งานทั่วไปอย่างเล่นเน็ต หรือโซเชียลต่าง ๆ ใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งจากแรมที่เพิ่มเข้ามาทำให้การสลับแอพพลิเคชั่นได้รวดเร็วมากขึ้น แต่ถ้าหากเปิดแอพพลิเคชั่นไว้เยอะ ๆ ก็แอบมีการโหลดข้อมูลใหม่บ้าง สำหรับการเล่นเกมที่มีกราฟฟิกสูง ๆ นั้นอาจจะมีเฟรมเรทตกบ้างตามประสิทธิภาพของชิปประมวลผลระดับกลาง ๆ สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลภายในนั้นมีขนาด 32 GB ซึ่งใช้งานทั่วไปก็ถือว่ามีขนาดเหลือเฟือ แต่สำหรับคนที่เก็บข้อมูลเยอะ ๆ ก็สามารถเพิ่มความจุได้ด้วย microSD สูงสุดถึง 64 GB และรอบรับ Dual Sim
สำหรับแบตเตอรี่นั้นให้มาขนาด 3,010 mAh ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้แล้ว ซึ่งจากการใช้งานทั่วไปในหนึ่งวัน เช่นการเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ และฟังเพลงไปด้วย 2 ชั่วโมง เล่นโซเชียล 1 ชั่วโมง เปิดเครือข่าย 4G ไว้ทั้งวัน กลับถึงบ้านพบว่าแบตเตอรี่เหลือมากกว่า 30 % และ สำหรับการใช้งานในการดูทีวีทดลองเปิดทีวีทิ้งไว้พร้อมเปิดลำโพงอยู่ที่ระดับกลาง ๆ ในโหมดหน้าจอปรับความสว่างอัตโนมัติ พบว่าแบตเตอรี่ลดไปประมาณ 30 % หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถรับชมได้ที่รีวิวด้านล่างได้เลยครับ