Close Menu
    Facebook X (Twitter) YouTube TikTok
    SpecPhone
    • ข่าวล่าสุด
    • รีวิว
    • ค้นหามือถือ
    • วิดีโอ
    • บทความ
    • ติดต่อเรา
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)
    SpecPhone
    Home»Gadgets»รีวิว Apple Watch Series 8 สมาร์ตวอทช์สายสุขภาพ พร้อมฟังก์ชันที่หวังว่าจะไม่ต้องใช้งาน
    Gadgets

    รีวิว Apple Watch Series 8 สมาร์ตวอทช์สายสุขภาพ พร้อมฟังก์ชันที่หวังว่าจะไม่ต้องใช้งาน

    ZeroSystemBy ZeroSystem26 ธันวาคม 2022
    Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    Share
    Facebook Twitter LinkedIn Pinterest Email

    พร้อม ๆ กับการเปิดตัว iPhone 14 series เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัวสมาร์ตวอทช์รุ่นประจำปี 2022 ด้วย ซึ่งในสายรุ่นหลักก็จะเป็น Apple Watch Series 8 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าขึ้นมา โดยเฉพาะในด้านของความปลอดภัยต่อสุขภาพ ในขณะที่รูปร่างหน้าตา ฟังก์ชันหลักนั้นแทบจะไม่ต่างจากเดิมที่ก็ทำได้ค่อนข้างดีอยู่แล้วมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ในรีวิวนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่าเจ้า Series 8 นี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง เผื่อจะช่วยในการตัดสินใจก่อนซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มของผู้ที่ใช้รุ่นเก่ากว่าอยู่ ว่าจะอัปเกรดมาใช้รุ่นใหม่สุดดีหรือเปล่า

    รีวิว Apple Watch Series 8

    อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่ารูปร่างหน้าตาภายนอก และฟังก์ชันหลักของ Apple Watch Series 8 นั้นแทบไม่ต่างจากเดิมมากนัก ซึ่งจุดที่ทำได้ดีอยู่แล้ว Apple ก็ยังคงถ่ายทอดมาได้ครบถ้วน ดังนั้นในรีวิวนี้ก็อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับฟังก์ชันพื้นฐานที่ Apple Watch มีมานานแล้วมากนัก เช่น การวัดค่าที่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย การนับก้าวเดิน การแจ้งเตือนภาษาไทย การใช้เป็นอุปกรณ์สมาร์ตดีไวซ์รองลงมาจากสมาร์ตโฟน เพราะเรื่องเหล่านี้ ต่างเป็นสิ่งที่ Apple Watch สร้างมาตรฐานมาได้ดีเสมอมาอยู่แล้ว

    แต่ที่จะเพิ่มเติมเข้ามาก็คือการเทียบกับ Apple Watch Series 6 ที่ผมใช้งานอยู่ครับ ว่ามันต่างกันขนาดไหน มีจุดไหนที่พอน่าสนใจสำหรับการอัปเกรดรุ่นบ้าง ส่วนอีกฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นใหม่อย่าง Car Crash Detection ที่ใช้ตรวจจับการชนขณะที่นั่งอยู่ในรถ อันนี้ก็ขอละการทดสอบแล้วกันนะครับ คงเป็นที่เข้าใจกันนะ 🙂


    สเปคและฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Apple Watch Series 8

    • ชิปประมวลผล SiP S8 แบบ dual-core
    • มีชิป W3 และ U1 ด้วย
    • หน้าจอ (หน้าปัด) พาเนล LTPO OLED Retina แบบติดตลอด ความสว่างสูงสุด 1,000nits มีให้เลือก 2 ขนาด
      • ขนาด 41 มม. 352x430px
      • ขนาด 45 มม. 396x484px
    • ตัวเรือนมีวัสดุให้เลือก 2 แบบคือ อลูมิเนียม (พร้อมกระจกหน้า Ion-X) และสแตนเลสสตีล (พร้อมกระจกหน้าแซฟไฟร์)
    • พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB
    • กันฝุ่นระดับ IP6X กันน้ำได้ลึกสุด 50 เมตร (ระดับ WR50) สามารถใส่ว่ายน้ำในสระ ในทะเลได้
    • มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัด ECG วัดอุณหภูมิ วัดออกซิเจนในเลือด
    • รองรับ GPS ทั้งย่าน L1, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou
    • มีฟีเจอร์ตรวจจับการชน
    • แบตเตอรี่ใช้ได้นานสุด 18 ชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็ว
    • ราคา Apple Watch Series 8 (สาย Sport Band)
      • รุ่นอลูมิเนียม GPS 41 มม. 15,900 บาท / 45 มม. 16,900 บาท
      • รุ่นอลูมิเนียม GPS+Cellular 41 มม. 19,900 บาท / 45 มม. 20,900 บาท
      • รุ่นสแตนเลสสตีล GPS+Cellular 41 มม. 27,900 บาท / 45 มม. 29,900 บาท

    ถ้าจะเทียบกับ Series 7 ก็จะมีจุดต่างกันหลัก ๆ เลยคือชิป SiP ที่ขยับมาเป็น S8 ซึ่งคุณสมบัติในภาพรวมนั้นแทบจะไม่ต่างจาก S6 และ S7 มากนัก แต่จุดที่อาจจะทำให้หลายคนลังเลอยู่ก็คือราคาเริ่มต้นที่ขยับขึ้นมาสูงกว่าตอน Series 7 อยู่ 2,000 บาทเลยทีเดียว เนื่องด้วยปัจจัยด้านค่าเงิน ซึ่งสินค้าอื่น ๆ ของ Apple เองต่างก็ปรับราคาขึ้นสูงกว่ารุ่นก่อนหน้ากันแทบทั้งนั้นเลย


    แกะกล่อง Apple Watch Series 8

    สำหรับ Apple Watch Series 8 ที่ทางเราได้รับมารีวิวในครั้งนี้ ก็เป็นรุ่นตัวเรือนอลูมิเนียมสีมิดไนท์ขนาด 45 มม. พร้อมสาย Sport Band สีเดียวกัน รองรับการเชื่อมต่อ GPS+Cellular สำหรับการใช้ cellular ใน Apple Watch นั้น ผู้ใช้จะต้องสมัครแพ็คเกจของผู้ให้บริการเครือข่าย และมีค่ารายเดือนเพิ่มด้วย ดังนั้นผมเลยจะไม่ได้ทดสอบในส่วนนี้นะครับ เพราะปกติใช้แต่รุ่น GPS เท่านั้น

    กล่องของ Apple Watch ก็ยังคงเป็นแบบเดิม คือใช้กระดาษสีขาวห่อทั้งกล่องตัวเรือนและของสายมาในแพ็คเดียวกัน

    เมื่อแกะกระดาษห่อออก ก็จะพบทั้งสองกล่องซ้อนกันอยู่ข้างในอีกที

    ในกล่องของตัวเรือน Apple Watch ก็จะมีตัวเรือนที่ห่ออยู่ในกระดาษแข็งอีกที ซึ่งด้านหน้าก็จะมีบอกขนาดไว้ให้อีกรอบ และก็มีสายชาร์จแบบแม่เหล็ก ที่ปลายสายเป็นแบบ USB-C รองรับการชาร์จเร็วมาให้ด้วย

    ส่วนกล่องของสายก็ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ มีสายให้ 2 ความยาวคือขนาด M/L และ S/M


    ตัวเรือน Apple Watch Series 8

    รูปร่างหน้าตาของตัวเรือน Apple Watch Series 8 ก็สรุปง่าย ๆ เลยคือเหมือนกับหลายรุ่นที่ผ่านมา กระจกด้านหน้าของรุ่นตัวเรือนขอบอลูมิเนียมจะใช้เป็นกระจก Ion-X ที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่งเลย ขอบโค้งมนลงไปจรดขอบตัวเรือน สีสันของจอทำได้ดีมาก ส่วนที่เป็นสีดำก็ดำสนิท รองรับการแสดงผลแบบหน้าจอติดตลอด (Always-on display) ที่เมื่อไม่ได้ใช้งาน หน้าจอจะ dim ความสว่างลง พร้อมกับปรับรูปแบบการแสดงผลของ watchface แต่ละแบบให้มืดลง กินไฟน้อยลง รวมถึงยังปรับรีเฟรชเรตให้ต่ำที่สุดด้วย

    ด้านหลังใช้เป็นเซรามิกที่มีความแวววาว โดยมีการสลักข้อมูลไว้ทั้งรุ่น ขนาด วัสดุ การเชื่อมต่อที่รองรับ และระดับการกันน้ำ ส่วนตรงกลางก็จะเป็นที่ตั้งของเซ็นเซอร์และหลอดไฟ LED สำหรับการตรวจจับเกี่ยวกับด้านหัวใจ อาทิ อัตราการเต้นของหัวใจ วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) และปริมาณออกซิเจนในเลือด

    ฝั่งขวาจะเป็นปุ่มเม็ดมะยม digital crown ที่มีวงกลมสีแดงอยู่ด้วย เพื่อบ่งบอกว่าเป็นรุ่น GPS+Cellular ส่วนข้าง ๆ กันจะเป็นช่องรับเสียงของไมโครโฟน และริมซ้ายสุดก็คือปุ่มกดด้านข้างที่ใช้สำหรับเรียกดูแอปที่ใช้งานล่าสุด รวมถึงใช้เป็นปุ่ม Power ด้วย

    ส่วนฝั่งซ้ายจะมีเพียงช่องลำโพงที่ใช้เป็นช่องระบายอากาศด้วยในตัว

    เมื่อประกอบร่างกับสาย ก็พร้อมใช้งานเป็นสมาร์ตวอทช์ได้ทันที ซึ่งการถอดและใส่สายของ Apple Watch ก็ยังทำได้ง่ายเช่นเคย

    และสำหรับใครที่มีสาย Apple Watch อยู่แล้ว ก็สามารถนำมาใช้กับ Series 8 ได้เลยครับ โดยรุ่นขนาด 41 มม. ก็สามารถใช้สายของรุ่นบอดี้เก่า (Series 6 ลงไป) ขนาด 40 มม. ได้เลย ส่วนรุ่นขนาด 45 มม. ก็สามารถนำสายของรุ่น 44 มม. มาใส่ได้เช่นกัน ตามภาพด้านบน ที่ผมลองเอาสาย Nike Sport Loop ของ Series 6 ที่ใช้อยู่มาลองใส่ดู ก็สามารถใส่ได้พอดีเป๊ะ


    เทียบ Apple Watch Series 8 กับ Series 6

    ทีนี้ลองจับ Apple Watch Series 8 (ซ้าย) มาเทียบกับ Series 6 (ขวา) ที่เป็นบอดี้เก่ากันดู ซึ่งก็เป็นไปตามหน้าสเปคครับ คือมิติในส่วนของความยาวจะมากกว่ากันอยู่ 1 มม. ส่วนด้านกว้างและความหนานั้นเท่าเดิมเลย แต่ที่สังเกตได้ชัดกว่าก็คือขนาดพื้นที่แสดงผลของหน้าจอที่มากกว่าเดิม ภาพชนขอบเรือนกว่ารุ่นเก่าอย่างชัดเจน ซึ่งจากที่ผมใช้งานมาระยะหนึ่ง ก็พบว่าความรู้สึกในตอนที่ดูเวลามันต่างกันนิดหน่อย คือเหมือนจะมองตัวเลขได้ง่ายขึ้นนิดนึง

    ส่วนในเรื่องสีสันหน้าจอ อันนี้ไม่ค่อยต่างกันมากนัก มุมมองก็กว้างพอ ๆ กัน

    หน้าจอ Always-on ก็ทำได้ดีทั้งคู่ ส่วนใครที่ใส่ Apple Watch นอนด้วยก็ไม่มีปัญหาครับ เพราะระบบปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติทำงานได้ดีมาก ไม่เจอปัญหาแสงแยงตาแน่นอน หรือถ้าเปิดใช้งาน Sleep mode ด้วยก็ยิ่งสบายใหญ่เลย เพราะเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ Apple Watch ก็จะปิดหน้าจอให้เองอยู่แล้ว

    ด้านหลังก็เหมือนกันมากทั้งวัสดุ การจัดเรียงอุปกรณ์ต่าง ๆ

    ด้านข้างก็จะมีความต่างกันเล็กน้อย เนื่องจากของผมเป็นรุ่น GPS จึงไม่มีวงกลมสีแดงที่ปุ่มเม็ดมะยม ส่วนสีของตัวเรือน ฝั่งของ Series 8 เป็นสีมิดไนท์ที่ออกโทนน้ำเงินเข้มที่เป็นสีโทนเข้มกว่าฝั่งของ Series 6 ที่เป็นสีเทา Space Gray อยู่พอสมควร

    ฝั่งของลำโพงจะมีความต่างกันชัดเจนคือ Series 8 ใช้เป็นช่องเดียวเลย แต่ Series 6 มีการแบ่งเป็นสองช่องเล็ก ด้านของเสียงที่ออกมาจากลำโพงนั้น ไม่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเท่าไหร่

    ส่วนเรื่องความหนาของตัวเรือน จากในภาพจะเห็นว่า Series 6 ทางขวาดูหนากว่า อันนี้เป็นเพราะผมติดกระจกกันรอยหน้าจอเอาไว้ด้วยครับ เลยทำให้ดูหนาขึ้น แต่ตามจริงแล้วในหน้าสเปค ทั้งคู่จะมีความหนาเท่ากันที่ 10.7 มม.

    รีวิว Apple Watch Series 6 GPS


    ฟังก์ชันที่น่าสนใจใน Apple Watch Series 8

    ระบบตรวจจับการชนกัน (Crash Detection)

    ก่อนหน้านี้ Apple Watch นั้นมีระบบตรวจจับการล้มมาให้อยู่แล้ว แต่ล่าสุดในการเปิดตัว Series 8 ก็ได้มีการพูดถึงฟีเจอร์ใหม่นั่นคือระบบตรวจจับการชนของรถ ซึ่งระบบจะอาศัยการประมวลผลจากข้อมูลหลายส่วน อาทิ เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบแรง g สูง เซ็นเซอร์ไจโร 3 แกน บารอมิเตอร์ รวมถึงข้อมูล GPS มาประมวลผลแล้วเปรียบเทียบกับชุดข้อมูลการชนจริงที่ Apple เก็บรวบรวม เพื่อคำนวณว่าเกิดการชนจริงหรือไม่ ถ้าเกิดการชนจริง ก็จะถามขึ้นมาว่าให้โทรสายฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือหรือไม่ และถ้าหากไม่มีการตอบสนอง ระบบก็จะโทรให้เองเลย

    ระบบตรวจสอบเส้นทางเดินแบบย้อนกลับ (Backtrack) ที่ใช้งานง่ายขึ้น

    อีกระบบที่หลายคนน่าจะชอบนั่นคือ Backtrack ที่แม้จะมีในรุ่นอื่นด้วยเช่นกัน แต่ในรอบนี้ Apple ได้นำออกมาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น คือสามารถเรียกใช้งานได้ด้วยการกดปุ่มข้างค้างไว้

    ประโยชน์ของโหมดนี้คือผู้ใช้สามารถใช้ในการปักหมุดตำแหน่งตั้งต้น ตำแหน่งระหว่างทางได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเดินย้อนตามรอยเดิม หรือเดินหาตำแหน่งที่ปักหมุดไว้ได้ โดยอาศัยการระบุตำแหน่งจาก GPS และเข็มทิศ ถ้าให้ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่น่าจะเห็นภาพได้ง่ายที่สุดก็เช่น ผมปักหมุดตำแหน่งที่จอดรถไว้ จากนั้นเข้าไปเดินในห้าง พอเจอร้าน A ที่ตั้งใจว่าจะมาซื้อของก่อนกลับ ผมก็ปักหมุดไว้อีกจุดหนึ่ง หลังจากทำธุระต่าง ๆ เสร็จ ผมก็เปิด Backtrack ขึ้นมาดูว่าควรเดินย้อนกลับตามเส้นทางไหน เพื่อเดินย้อนกลับมาตำแหน่งร้าน A จากนั้นก็เดินย้อนกลับเส้นทางเดิมที่ระบบวาดไว้ให้เพื่อกลับมาที่รถ เป็นต้น

    ระบบตรวจจับอุณหภูมิร่างกาย

    ฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ใน Apple Watch Series 8 ก็คือการวัดความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายจากข้อมือ โดยจะวัดเฉพาะในขณะที่นอนหลับเท่านั้น เพื่อใช้ในการประเมินข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ใช้งาน โดยจะเห็นผลชัดสุดกับฟังก์ชันในการคำนวณรอบเดือนของผู้หญิง ที่จะทำให้ระบบสามารถประมาณการวันตกไข่ และวันที่รอบเดือนน่าจะมาวันแรกได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ช่วยประเมินอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่อุณหภูมิร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงจากระดับปกติได้ด้วย เช่น ช่วงที่ไข้ขึ้นสูง เป็นต้น

    ซึ่งข้อมูลที่ได้จากระบบวัดอุณหภูมินี้จะออกมาเป็นค่าความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกาย เมื่อเทียบกับอุณหภูมิร่างกายของแต่ละคนโดยเฉพาะ เช่นในภาพด้านบน ที่ระบบแจ้งว่าคืนก่อนหน้านี้ผมมีอุณหภูมิลดลงจากระดับปกติ 0.01 องศาเซลเซียส เป็นต้น ซึ่ง Apple ระบุว่าในคนที่มีสุขภาพปกติ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายขณะหลับไม่เกิน 1 องศาเซลเซียส แต่ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่ทั้งกับสภาพร่างกาย และสภาพแวดล้อมในขณะที่นอนหลับ

    สำหรับการใช้งานฟีเจอร์นี้ สิ่งที่จำเป็นคือ Apple Watch Series 8 และ Ultra ขึ้นไป ที่เปิดใช้งานโหมดตรวจจับการนอนและเปิด Sleep Focus ตอนนอนด้วย โดยจะต้องใส่ Apple Watch ขณะที่นอนหลับ 5 คืน คืนละอย่างต่ำ 4 ชั่วโมง เพื่อให้ระบบประเมินอุณหภูมิร่างกายพื้นฐานของผู้ใช้ก่อน จึงจะสามารถนำมาเทียบความแตกต่างในคืนต่อ ๆ ไปได้


    การใช้งานโดยทั่วไป

    สำหรับใครที่ใช้งาน Apple Watch อยู่แล้ว ตัวของ Series 8 เองก็ยังเป็นแบบเดิมแทบจะ 100% เลย ด้วยทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ก็ยังทำงานสอดผสานกันได้ดี รวมถึงการทำงานร่วมกับ iPhone ที่ลงตัวมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงข้อมูลแจ้งเตือนที่แสดงได้รวดเร็ว ครบถ้วน แสดงภาษาไทยได้สมบูรณ์ การใช้งานแอปที่ออกแบบมาสำหรับ Apple Watch โดยเฉพาะ ก็ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับบางเวลาที่ไม่สะดวกในการหยิบมือถือขึ้นมาใช้งานได้ดีเหมือนเคย

    จุดที่น่าสนใจคือเรื่องระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งถ้าไม่ได้หยิบมากดเล่นทั้งวัน แม้จะเปิดใช้งานหน้าจอ Always-on display ก็ยังมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้งานจนหมดวันได้แบบที่แบตยังเหลือ ๆ เลย โดยในช่วงค่ำอาจจะเหลือซักประมาณ 30% ครับ เมื่อประกอบกับการที่มีระบบชาร์จเร็ว ทำให้อาศัยการถอดชาร์จช่วงอาบน้ำในแต่ละวัน ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการใส่ใช้งานเกือบตลอดเวลาได้อยู่เหมือนกัน

    Apple Watch Series 8 ทุกรุ่นมาพร้อมกับความจุภายใน 32 GB เมื่อเปิดใช้งานครั้งแรกจะเหลือให้ใช้งานประมาณ 26 GB ซึ่งพอจะใช้เก็บไฟล์เพลงที่ดาวน์โหลดมาจาก Apple Music ได้อยู่พอสมควร ทำให้สามารถใช้ฟังเพลงได้สะดวก

    ถ้าดูที่หัวข้อ Safety ตั้งแต่การตั้งค่าเพื่อใช้งานครั้งแรก จะมีการนำเสนอ 2 ฟีเจอร์เพิ่มเข้ามาด้วย นั่นคือ Crash Detection ที่ใช้ตรวจจับการชนของรถ และฟีเจอร์ Backtrack ที่สามารถใช้บันทึกเส้นทางเดิน และใช้ช่วยให้สามารถเดินกลับไปยังจุดที่บันทึกไว้ได้ง่ายขึ้น

    โดยตัวของฟีเจอร์ตรวจจับการชน ผู้ใช้จะสามารถตั้งค่าได้นะครับ ว่าหลังจากตรวจพบว่ามีการชน จะให้โทรเบอร์ฉุกเฉินให้อัตโนมัติหรือไม่ ซึ่งเปิดไว้ก็ได้ครับ เพราะการที่ระบบจะตัดสินใจว่ามีการชนจริง ๆ หรือไม่ มันมีเงื่อนไขที่ค่อนข้างละเอียดพอสมควร ไม่ลั่นง่าย ๆ แน่นอน


    ปิดท้ายรีวิว Apple Watch Series 8

    ถ้าคุณต้องการสมาร์ตวอทช์ซักเรือนเพื่อนำมาใช้กับ iPhone แน่นอนว่า Apple Watch คืออุปกรณ์ที่ทำงานเข้ากับ iPhone ได้ดีที่สุด ซึ่งตัวของ Series 8 เองก็ยังทำได้ดีตามมาตรฐานเช่นเคย ด้วยฟีเจอร์ในตัวที่ครบครันสำหรับการใช้งานทั่วไป การรองรับการสนับสนุนที่ยาวนาน รวมถึงยังหาอุปกรณ์เสริมเช่นสาย เคส กระจกกันรอยได้ง่ายด้วย

    ส่วนสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากซักนิดนึง เนื่องจากมันไม่ได้เป็นการเปลี่ยนโฉม หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานใด ๆ แต่เป็นการเพิ่มระบบที่จะช่วยเหลือผู้ใช้งานในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ (ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิด) จึงทำให้หลายคนมองว่าอาจไม่คุ้มเท่าไหร่สำหรับการซื้อมาใช้งาน

    แต่ถ้าเป็นกรณีของการซื้อมาเปลี่ยนแทนเรือนเดิมที่ใช้งานอยู่ แล้วต้องการใช้ Apple Watch ต่อไป อันนี้ก็จัดว่าคุ้มเลยครับ เพราะสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องปรับตัวมากนัก แต่ได้การปกป้องที่มากขึ้น ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีกว่าเรือนเดิม เพราะแบตเดิมอาจจะเริ่มเสื่อมไปแล้ว รวมถึงยังสามารถนำสายเดิมมาใช้ต่อได้ด้วย ในกรณีที่เป็นขนาดที่เทียบเท่ากัน

    สำหรับกรณีของ Apple Watch SE 2 ที่สเปคภายในนั้นเทียบเท่ากับ Series 8 ในราคาที่ย่อมเยากว่า อันนี้ก็ต้องพิจารณาเรื่องของฟังก์ชันปลีกย่อยที่มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร เช่น การขาดฟีเจอร์การวัดออกซิเจนในเลือด ไม่มีการวัดอุณหภูมิ หน้าจอไม่สามารถติดตลอด (always-on) ได้ รวมถึงยังไม่สามารถกันฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP6X ได้อีกด้วย ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้อีกทีครับ แต่ถ้าต้องการตัวจบให้ครบ ๆ สำหรับการใช้งาน Apple Watch ไปเลย Series 8 นั้นตอบโจทย์ได้ดีมากแล้ว สามารถใช้งานเป็นเครื่องมือติดตัวได้ตลอดเวลา ในขณะที่รุ่น SE อาจจะเหมาะกับการใช้งานที่เบากว่า ไม่ได้เน้นด้านสุขภาพเท่า ยกเว้นตัวของรุ่น Ultra ที่เฉพาะทางขึ้นไปอีกระดับ ในราคาที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน สำหรับการเปรียบเทียบฟีเจอร์ของแต่ละรุ่น สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ Apple ครับ

    Share. Facebook Twitter Pinterest LinkedIn Tumblr Email
    ZeroSystem

    Related Posts

    แนะนำ 10 เครื่องดูดความชื้น ยี่ห้อไหนดีในปี 2025 ตัวช่วยลดปัญหากลิ่นอับ และเชื้อราในบ้าน

    21 พฤษภาคม 2025

    เปลี่ยนหน้าจอไอโฟนราคาเท่าไหร่ปี 2025 และราคาเปลี่ยนกระจกหลังไอโฟนราคาล่าสุดเท่าไหร่บ้าง

    20 พฤษภาคม 2025

    เปลี่ยนแบตไอโฟนราคาเท่าไหร่ในปี 2025 เปลี่ยนแบตไอโฟนทุกรุ่นล่าสุดเท่าไหร่บ้าง เช็คได้เลย!

    20 พฤษภาคม 2025

    Comments are closed.

    หัวข้อทั้งหมด

    วิธีซื้อวัน AIS ปี 2568 กดอะไรถึงจะเติมวัน AIS เพิ่ม 30, 180 วัน และ 1 ปี ซื้อแบบไหนคุ้มที่สุด!

    24 พฤษภาคม 2025

    วิธีซื้อวันทรู เติมวันทรู 30/ 90/ 180/ 356 วัน (1 ปี) กดอะไร ราคาเท่าไหร่สำหรับซิมเติมเงิน true อัพเดท 2025

    24 พฤษภาคม 2025

    วิธีซื้อวัน dtac กดอะไร ซื้อวันดีแทค 30, 90, 180 วันถึง 1 ปีทำยังไงได้บ้างสำหรับซิมเติมเงิน อัพเดทปี 2025

    24 พฤษภาคม 2025

    เช็คราคาเปลี่ยนแบต iPad ทุกรุ่นในปี 2025 แต่ละรุ่นมีราคาแบตและค่าบริการเท่าไหร่ เปลี่ยนที่ไหนได้บ้างเช็คเลย!

    23 พฤษภาคม 2025

    มือถือรุ่นยอดนิยม

    Honor X7

    Honor X7

    6,299 บาท
    Honor X8

    Honor X8

    7,999 บาท
    Honor X9

    Honor X9

    9,299 บาท
    HTC Desire 22 Pro

    HTC Desire 22 Pro

    0 บาท
    Huawei Nova 10 Pro

    Huawei Nova 10 Pro

    24,990 บาท
    ดูมือถือทั้งหมด
    Facebook YouTube TikTok X (Twitter)

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

    ยอมรับ
    X