
Nintendo Switch มีกี่รุ่นในตอนนี้ แต่ละรุ่นมีราคาเท่าไหร่และมีอะไรต่างกันบ้าง จะซื้อรุ่นไหนดีในปี 2025
อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ให้ความบันเทิงไปกับการเล่นเกม ถ้าไม่นับรวมเครื่องคอนโซลใหญ่ๆ โน๊ตบุ๊ค หรือว่าคอม หลายคนในตอนนี้ก็คงจะนึกถึงเกมในมือถือที่เล่นได้สะดวก และสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ก็เชื่อว่ามีอีกหลายๆ คนที่ยังคงเล่นเกมจากเครื่องเล่นเกมพกพา ที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยรุ่นที่ฮิตจัดๆ จนมาถึงในตอนปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Game Boy, Game Boy Advance, Playstation Portable (PSP), Nintendo DS
และอีกหนึ่งเครื่องที่ขาดไปไม่ได้เลยนั่นก็คือ Nintendo Switch ที่ปล่อยรุ่นแรกออกมาในช่วงปี 2017 สามารถเล่นได้ทั้งแบบคนเดียว หรือจะเล่นกับคนในครอบครัวก็ยังได้ และยังคงพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปีนี้ ก็ยังคงมีรุ่นใหม่ที่ปล่อยออกมาด้วยล่าสุดคือ Nintendo Switch 2
สำหรับคนที่กำลังมองหา Nintendo Switch มาใช้งานสักรุ่น แต่ยังไม่รู้ว่า Nintendo Switch มีกี่รุ่นทั้งหมดนั้นทำออกมากี่รุ่นแล้ว แต่ละรุ่นต่างกันยังไงบ้าง วันนี้ทาง Specphone จะมาบอกให้รู้กันว่า Nintendo Switch มีกี่รุ่นในตอนนี้ แต่ละรุ่นมีราคาเท่าไหร่ มีอะไรแตกต่างกันตรงไหนบ้าง และควรซื้อรุ่นไหนดีที่เหมาะกับการใช้งานของเรา ไปดูกันเลย
Nintendo Switch มีกี่รุ่นในตอนนี้
สำหรับรุ่นของ Nintendo Switch มีกี่รุ่นในตอนนี้ ทั้งหมดที่เปิดตัวออกมาตั้งแต่ปี 2017 จนถึงปัจจุบัน จะมีอยู่ทั้งหมดด้วย 5 รุ่นได้แก่
- Nintendo Switch รุ่นหลัก
- Nintendo Switch (V1, รุ่นแรก)
- Nintendo Switch (V2, กล่องแดง)
- Nintendo Switch Lite
- Nintendo Switch OLED Model
- Nintendo Switch 2 (ล่าสุด)
- Nintendo Switch รุ่นพิเศษ (มีลายทำร่วมกับเกม) [ส่วนใหญ่หาซื้อไม่ค่อยได้แล้ว และราคาเป็นราคาตอนเปิดตัวและรีเซล]
- Nintendo Switch Animal Crossing: New Horizon Bundle – 11,990+ บาท
- Nintendo Switch OLED Pokemon Scarlet & Violet Edition – 13,990+ บาท
- Nintendo Switch OLED Splatoon 3 Edition – 13,990+ บาท
- Nintendo Switch OLED The Legend of Zelda: Tears of the Kingdom Edition – 13,990+ บาท
- Nintendo Switch Monster Hunter Rise Edition – 14,990++ บาท
- Nintendo Switch Mario Red & Blue Edition – 11,490+ บาท
- Nintendo Switch Super Mario Odyssey
- Nintendo Switch Mario Kart 8 Deluxe
- Nintendo Switch Pokémon Let’s Go Pikachu / Let’s Go Eevee – 15,990+ บาท
- Nintendo Switch Super Smash Bros. Ultimate Edition – 12,990+ บาท
- Nintendo Switch Diablo 3 Eternal Collection
- Nintendo Switch Dragon Quest XI – 14,990+ บาท
- Nintendo Switch Splatoon 2 – 15,990+ บาท
- Nintendo Switch Tsum Tsum Festival Bundle (Japan Only)
- Nintendo Switch Lite Jack Jeanne
- Nintendo Switch Lite Zacian and Zamazenta – 7,990+ บาท
- Nintendo Switch Lite Pokémon Dialga & Palkia Edition – 8,290-14,000+ บาท
- Nintendo Switch Lite The Legend of Zelda Hyrule Edition – 12,990+ บาท
- Nintendo Switch Lite Animal Crossing: Isabelle’s Aloha Edition/ Timmy & Tommy’s Aloha Edition – 7,990+ บาท
- Nintendo Switch Lite Animal Crossing: New Horizons Bundle – 7,550+ บาท
- Nintendo Switch Fortnite Special Edition – 13,990+ บาท
- Nintendo Switch Monster Hunter XX Special Edition – 17,990+ บาท
- Nintendo Labo รุ่นพิเศษเฉพาะคนที่ชนะการแข่งขันในปี 2018
- Nintendo Switch Trials Of Mana รุ่นพิเศษต้องชนะรางวัลในปี 2020
- Nintendo Switch Ring Fit Adventure – 2,490 บาท (เฉพาะวง)
ซึ่ง Nintendo Switch มีกี่รุ่นที่เป็นรุ่นหลักๆ แต่ถ้าดูตามเว็บของ Nintendo เองในตอนนี้จะมีเพียง 4 รุ่นหลัก เนื่องจากรุ่นแรกของ Nintendo Switch ได้ถูกเอาออกจากการวางขายไปเรียบร้อย และนำตัว Nintendo Switch (2019) รุ่นที่สองมาวางจำหน่ายเป็นตัวหลักแทน สาเหตุน่าจะเป็นเพราะว่าสเปคโดยรวมของรุ่นแรก ที่มีความใกล้เคียงกับรุ่นที่สองอย่างมาก แต่จะต่างกับที่สเปคชิปและแบตที่มีการใช้งานที่ยาวนานกว่า จึงทำให้หลายๆ คนหันไปซื้อรุ่นที่สองกันมากกว่า
ส่วนใหญ่จึงเหมารวม Nintendo Switch มีกี่รุ่นว่าเหลือแค่ 4 รุ่นหลักแทน ไม่รวมรุ่นพิเศษที่มีเยอะมาก ส่วนรุ่นล่าสุดในตอนนี้ก็คือ Nintendo Switc 2 ทีเปิดตัวออกมาเป็นรุ่นหลักแทน พร้อมวางจำหน่ายวันที่ 26 มิถุนายน 2025 เป็นต้นไป เราเลยจะเปรียบเทียบข้อมูลแค่เพียงรุ่นหลัก 4 รุ่นเท่านั้น ส่วนรุ่นแรกจะเสริมข้อมูลไว้ให้บางจุด เวลาซื้อจะได้ไม่โดนหลอกขายย้อมมา ไปดูกันเลยว่าแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
Nintendo Switch ราคาล่าสุดแต่ละรุ่น
เริ่มต้นสำหรับ Nintendo Switch มีกี่รุ่นและแต่ละรุ่นมีราคาล่าสุดเท่าไหร่กันบ้าง ซึ่งราคาทั้งหมดนี้เราจะมาแนะนำเฉพาะรุ่นหลักเท่านั้น เพราะว่ารุ่นพิเศษหรือรุ่นที่เป็น Edition พร้อมลวดลายนั้นมีเยอะมากๆ กว่า 20 รุ่นเลยทีเดียว แต่เราจะแปะราคาเอาไว้ตามรุ่นที่ด้านบนแทน ถ้ารุ่นไหนไม่มีราคาก็แปลว่าหาซื้อไม่ได้แล้ว ส่วนรุ่นหลักทั้ง 4 รุ่นนี้ในรุ่นแรกนั้นไม่มีขายแล้ว ก็จะเป็นราคาจากเว็บทั้งไทย-ต่างประเทศและเป็นมือสองที่ขายอยู่นะ โดย Nintendo Switch มีกี่รุ่นและมีราคาล่าสุดดังนี้
ร้านค้า\ รุ่น Nintendo Switch (รุ่นแรก) Nintendo Switch (กล่องแดง) Nintendo Switch Lite Nintendo Switch OLED Nintendo Switch 2 BaNANA – – – 11,490 – 12,990 บาท 17,800 – 19,800 บาท POWER BUY – 8,990 บาท – 12,990 บาท 17,800 – 19,800 บาท Central – 11,690 บาท 7,999 บาท 12,990 – 16,900 บาท 17,800 – 19,800 บาท Shopee – 8,590 – 9,150 บาท 6,990 – 7,450 บาท 12,990 บาท 17,800 – 19,800 บาท Lazada – 8,590 – 9,290 บาท 6,990 – 7,450 บาท 11,590 บาท – มือสอง 4,500 – 7,500 บาท 3,500 – 6,500 บาท 3,500 – 5,900 บาท 6,400-9,400 บาท –
ขนาดและการดีไซน์

มาดูกันที่ขนาดของตัวเครื่องกันก่อนเลย ที่ต้องบอกว่าทั้งสี่รุ่นนี้ (ไม่รวมรุ่นแรกเพราะขนาดเท่ารุ่นที่สอง) จะมีขนาดที่ต่างกันค่อนข้างชัดเจนเลย ถึงแม้ว่าตัว Nintendo Switch จะดูเผินๆ แล้วไม่ต่างกับตัว OLED มากนักก็ตาม โดยขนาดของ Nintendo Switch Lite นั้นจะมีขนาดตัวเครื่องเล็กที่สุดกับขนาด 91.1mm x 208mm x 13.9mm และมีน้ำหนักเบากว่าทุกรุ่นที่ 275 กรัม มาพร้อมกับตัวเครื่องที่แยก Joy-Con ไม่ได้ จะเล่นได้เพียงแบบเดียวคือถือเล่นเท่านั้น รวมไปถึงตัวเชื่อมต่ออย่าง Dock ก็ไม่มีมาให้เพราะไม่สามารถเชื่อมต่อได้ และข้อจำกัดของบางเกมที่ต้องแยก Joy-Con เล่นด้วย แต่อย่างน้อยก็มีสีตัวเครื่องให้เลือกหลายสีหน่อย

ส่วนรุ่น Nintendo Switch (รุ่นที่สอง) จะมีขนาดตัวเครื่องขนาด 102mm x 239mm x 13.9mm และมีน้ำหนัก 398 กรัม (รวม Joy-Con แล้ว) ซึ่งจะมีขนาดเล็กและเบากว่ารุ่น Nintendo Switch OLED Model ที่มีขนาด 102mm x 242mm x 13.9mm และหนัก 420 กรัม (รวม Joy-Con) ถ้าถามว่าเมื่อถือแล้วจะรู้สึกถึงความแตกต่างมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องบอกว่าแทบจะไม่ต่างอะไรกันมากนัก เพราะยังไงแล้วอย่างน้อยตอนเล่นก็น่าจะต้องเอาแขนพิงไว้กับโต๊ะอยู่แล้ว

ส่วนรุ่นล่าสุด Nintendo Switch 2 มีการปรับเพิ่มให้ขนาดใหญ่กว่าเดิม มีน้ำหนักมากกว่า แต่ก็ยังบางเท่ากันกับทุกรุ่น พร้อมกับปรับโครงเครื่องให้แข็งแรงมากขึ้น มีการยึดแม่เหล็กที่ตัว Joy-Con 2 ใหม่ และยังให้พอร์ต USB-C มาให้ถึง 2 พอร์ตที่ด้านบน สำหรับชาร์จหรือต่อกล้องได้ และหน้าจอก็ใหญ่ขึ้นด้วย

ซึ่งการดีไซน์ตัวเครื่องก็อย่างที่บอกว่ามองเผินๆ อาจจะไม่ต่างกันมากนักเพราะตำแหน่งปุ่มต่างๆ จะเหมือนกัน แถมตัว Joy-Con ก็ยังสามารถใช้ร่วมกันได้ด้วยทั้งสองรุ่น แต่ความจริงแล้ว Nintendo Switch OLED Model นั้นจะมีขอบหน้าจอที่เล็กกว่า และมีการดีไซน์ปุ่มตัวเครื่องให้ดูสวยงามมากขึ้นด้วย จุดสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือตัวขาตั้ง (Stand) ตรงด้านหลัง ที่ตัว Nintendo Switch OLED Model ออกแบบมาให้ใช้งานได้ดีกว่าเดิม คือการเพิ่มขนาดขาตั้งและทำให้สามารถกางออกไปได้เยอะกว่ามากๆ ทำให้การเล่นกับเพื่อนหรือการตั้งโต๊ะเล่นนั้นทำได้ดีกว่า
ซึ่ง Nintendo Switch 2 ก็ได้ปรับขาตั้งใหม่ให้แกร่งขึ้นไปอีกขั้น ปรับมุมได้หลายมุมมากขึ้น และปุ่ม Joy-Con 2 ใหม่ที่ใช้งานเป็นเมาส์ได้ เลื่อนได้เหมือนเมาส์ปกติ และยังเพิ่มปุ่ม “C” ใหม่สำหรับ GameChat ได้อย่างรวกเร็วอีกด้วย
ส่วนของ Nintendo Switch (รุ่นที่สอง) จะเป็นเพียงขาตั้งเล็กๆ ที่กางได้เล็กน้อยเท่านั้น (เสี่ยงต่อการหักมาก) แต่ถ้าใครไม่ได้ซีเรียสเรื่องการวางเล่นก็ไม่มีปัญหา รวมไปถึงตัว Dock ที่ฝาหลังของ Nintendo Switch (รุ่นที่สอง) จะเป็นแบบกางออกมา แต่ของ Nintendo Switch OLED Model จะสามารถถอดออกไปได้เลย เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกมากขึ้นด้วย
ข้อมูล\ รุ่น Nintendo Switch Lite Nintendo Switch (รุ่นที่สอง) Nintendo Switch OLED Model Nintendo Switch 2 ขนาด 91.1mm x 208mm x 13.9mm 102mm x 239mm x 13.9mm 102mm x 242mm x 13.9mm 166mm x 272mm x 13.9mm น้ำหนัก 275 กรัม 398 กรัม* 420 กรัม* 534 กรัม*
หน้าจอแสดงผล

มาดูที่หน้าจอของ Nintendo Switch มีกี่รุ่นในแต่ละรุ่นที่ทั้งสี่รุ่นนี้จะมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร ในเรื่องของขนาดและรูปแบบหน้าจอแสดงผล โดยในรุ่น Nintendo Switch Lite จะมีหน้าจอเป็น LCD touch screen ขนาด 5.5 นิ้ว ถือว่าเป็นรุ่นที่มีหน้าจอเล็กที่สุดแล้ว เนื่องจากรูปแบบตัวเครื่องที่เน้นการพกพา และเป็นรุ่นเล็กอยู่แล้วด้วย ส่วนในรุ่น Nintendo Switch (รุ่นที่สอง) จะเป็นหน้าจอแสดงผล LCD touch screen เหมือนกัน แต่จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าที่ขนาด 6.2 นิ้ว ซึ่งหน้าจอ IPS LCD นี้ก็เป็นหน้าจอที่มีความชัดเจนอยู่พอสมควร

ใหญ่มาอีกขั้นกับ Nintendo Switch OLED Model ที่ได้เปลี่ยนหน้าจอเป็นแบบ OLED ขนาด 7 นิ้ว แถมยังลดขอบหน้าจอให้เล็กลงอีก ทำให้เล่นเกมได้เต็มตาพร้อมสีสันคมชัดสมจริงมากขึ้น รวมไปถึงการใช้งานในที่ที่มีแสงเยอะก็ยังคงปรับแสงบนหน้าจอให้เห็นได้ชัดเจน (แต่ใช้ไปนานอาจมีปัญหาเรื่องจอเบิร์นได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นหลัก)

ทว่า Nintendo Switch 2 รุ่นล่าสุดนี้ก็ขยับความใหญ่ไปอีกขั้นด้วยหน้าจอ LCD ขนาด 7.9 นิ้ว เพิ่มความละเอียดเป็น Full HD รองรับ HDR10 และยังเพิ่มอัตรารีเฟรชเรท 120Hz เล่นได้ไหลลื่นกว่ารุ่นอื่นเป็นอย่างมาก ตอบสนองการเล่นเกมได้ดีกว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นจอ OLED แต่ก็มีสเปคอื่นที่มาแทนให้รวมถึงลำโพงที่ดีขึ้นรองรับเสียง 3 มิติมีไมค์ในตัว และเชื่อมต่อ TV ไปถึง 4K แล้ว
ส่วนรุ่นก่อนหน้าทุกรุ่นจะแสดงผลได้ความละเอียดระดับ HD เหมือนกัน แต่เมื่อลองได้เล่นเกมจริงๆ แล้วจะต่างกันเยอะมาก รวมไปถึงการดูหนังหรือดู Youtube บนเครื่อง Nintendo Switch OLED Model ก็จะให้ความชัดเจนกว่ารุ่นก่อนเยอะมากเช่นกัน แต่ทั้งนี้การเชื่อมต่อไปยังหน้าจอ TV จะยังคงได้ความชัดเท่ากันที่ระดับ Full HD ดังนั้นการเชื่อมต่อกับ TV จึงไม่มีความแตกต่างกัน ยกเว้นรุ่นล่าสุดที่ดีกว่า
ข้อมูล\ รุ่น Nintendo Switch Lite Nintendo Switch (รุ่นที่สอง) Nintendo Switch OLED Model Nintendo Switch 2 หน้าจอ IPS LCD
ขนาด 5.5 นิ้วIPS LCD
ขนาด 6.2 นิ้วOLED
ขนาด 7 นิ้วLCD
ขนาด 7.9 นิ้วความคมชัด HD HD HD FHD ความคมชัด
เมื่อต่อกับ TV– Full HD Full HD 4K
สเปคเครื่องและการเชื่อมต่อ

สำหรับสเปคตัวเครื่องของ Nintendo Switch มีกี่รุ่นทั้งสองรุ่นคือ Nintendo Switch (รุ่นสอง) และ Nintendo Switch OLED Model จะใช้เป็นชิปตัวเดียวกันหมดคือ NVIDIA Tegra X1 ส่วน Nintendo Switch Lite จะเป็น Nvidia Tegra X1+ ด้วยเทคโนโลยี 16 นาโนเมตรเหมือนกัน รวมไปถึงแรมแบบ 4 GB LPDDR4 เหมือนกันทั้งสามรุ่นด้วย ซึ่งความเร็วของทุกตัวก็จะมีความเร็วเท่าๆ กันหมด ดังนั้นเรื่องนี้จึงแทบไม่มีผลต่อการเล่นเกมมากเท่าไหร่นัก แต่จะมีความต่างกันตรงที่ขนาดความจุ ที่ Nintendo Switch (รุ่นสอง) กับ Nintendo Switch Lite จะมีความจุ 32 GB ส่วนในรุ่น Nintendo Switch OLED Model จะเพิ่มเป็น 64GB แล้ว และลำโพงรุ่น OLED จะให้เสียงดีกว่าด้วย
แต่ก็ยังไม่เท่ากับรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Nintendo Switch 2 ที่มีลำโพงรองรับเสียง 3 มิติมีไมค์ในตัว มาพร้อมชิปปรับปรุงใหม่จาก NVIDIA และแรมที่อัพเกรดไปถึง 12GB มากกว่าเดิม 3 เท่า รันเกมต่างๆ ได้ไหลลื่นมากขึ้น จัดการประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าที่ผ่านมา และยังแสดงผลหน้าจอกับ AI ได้ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีความจุเพิ่มเป็น 256GB อ่านข้อมูลได้ไหว รองรับ microSD Express สูงสุด 2 TB

ส่วนเรื่องของการเชื่อมต่อนี้ทั้งสามรุ่นก่อหน้า จะมีช่องเสียบสลอตเกม, USB Type-C และช่องต่อหูฟัง 3.5 มม. เหมือนกันทั้งหมด รวมไปถึงการเชื่อมต่อ Wireless LAN และ Bluetooth ที่เหมือนกันด้วย แต่ว่ารุ่น Nintendo Switch Lite จะไม่สามารถเชื่อมต่อ Dock ได้เหมือนกับอีกสองรุ่นที่มีพอร์ต AC Adapter และ HDMI ให้สามารถต่อกับ TV ได้
ทั้งนี้ Dock ของทั้งสองรุ่นจะมีความต่างกันที่ช่องพอร์ตเล็กน้อยตรงที่ Nintendo Switch (รุ่นสอง) จะมีพอร์ต USB 3 ช่อง แต่รุ่น Nintendo Switch OLED Model จะเปลี่ยนช่อง USB ด้านหลังให้เป็นช่องเสียบสาย LAN แทนและเหลือ USB เพียงสองช่องเท่านั้น แต่ทั้งสองรุ่นนี้สามารถใช้สลับแทนกันได้

ส่วนของ Nintendo Switch 2 รุ่นใหม่ จะมีตัว USB-C ให้สองตัวด้านบน – ล่าง เชื่อมต่อได้มากขึ้น มีช่องหูฟัง 3.5 มม. และ HDMI, AC Aadapter และสาย LAN พร้อมกับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 ได้ เร็วแรงและดีกว่าเดิมอีกด้วย
ข้อมูล\ รุ่น Nintendo Switch Lite Nintendo Switch (รุ่นที่สอง) Nintendo Switch OLED Model Nintendo Switch 2 ชิป NVIDIA Tegra X1+ NVIDIA Tegra X1 NVIDIA Tegra X1 NVIDIA ปรับปรุงใหม่ RAM/ ROM 4GB / 32GB 4GB / 32GB 4GB / 64GB 12GB/ 256GB Dock – มี มี มี
**จุดสังเกตของ Nintendo Switch รุ่นหนึ่งและรุ่นที่สองก็คือรหัสตัวเครื่องและกล่อง ที่รุ่นสองจะเป็นกล่องสีแดง ส่วนรุ่นแรกจะเป็นรูปมือจับสลอต และรหัสของรุ่นแรกจะเป็น HAC-001 ส่วนรุ่นสองเป็น HAC-001(-01) เผื่อเจอคนขายมือสองสลับกล่องจะได้ดูจุดต่างได้ง่ายขึ้น**
แบตเตอรี่

มาถึงเรื่องสำคัญของการใช้งานกันแล้ว ไม่ว่า Nintendo Switch มีกี่รุ่นก็ตามแต่แบตเตอรี่การใช้งานก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ อยู่ดี โดย Nintendo Switch (รุ่นแรก) นั้นจะสามารถใช้งานได้เพียงประมาณ 2.5–6.5 ชั่วโมงเท่านั้น แต่หลังจากการเปลี่ยนไปเป็น Nintendo Switch (รุ่นสอง) ก็ได้ทำแบตออกมาให้อึดขึ้นเกือบเท่าตัวถึง 4.5-9 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ซึ่งความอึดของแบตนี้จะยังคงเท่ากับ Nintendo Switch OLED Model ด้วย ส่วนรุ่น Nintendo Switch Lite จะสามารถเล่นได้ประมาณ 3-7 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นรุ่นเล็กและเน้นพกพาไปเล่นเพียงไม่นานมากกว่า และทุกรุ่นจะใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมงถึงจะเต็ม
ส่วนรุ่น Nintendo Switch 2 ตัวล่าสุดจะมีแบตมาให้เยอะที่สุดที่ความจุ 5220 mAh แต่ทว่าเวลาในการเล่นตามข้อมูลของ Nintendo กลับบอกว่าเล่นได้ 2 – 6.5 ชั่วโมง น้อยกว่าใครเพื่อน ซึ่งมีคนทดสอบพร้อมเทียบการเล่นกับรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็พบว่าแบตหมดก่อนรุ่นเก่าจริง แต่ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่าและภาพที่ไหลลื่นดีกว่าจึงพอจะให้อภัยได้
สรุป
จากข้อมูลทั้งหมดว่า Nintendo Switch มีกี่รุ่นตามที่ได้บอกไปก็จะสรุปได้ว่ารุ่นที่ออกมาทั้งหมดจะมี 5 รุ่น แต่รุ่นที่วางขายอยู่จริงๆ ในตอนนี้ทั้งหมดจะมีแค่ 4 รุ่นเท่านั้น ซึ่งแต่ละรุ่นถ้าเทียบตามสเปคแล้วก็ถือว่ามีความต่างทางด้านการใช้งานอยู่พอสมควรเลยเหมือนกัน โดย Nintendo Switch Lite จะเหมาะกับการใช้งานแบบพกพาเป็นหลัก แต่ถ้าจะเน้นใช้งานเป็นเครื่องหลักเลยก็อาจจะลำบากหน่อยตรงที่แบตไม่อึดมากนัก แถมยังเล่นได้แค่แบบเดียวคือแบบถือกับมือถืออีกด้วย
ส่วนอีกสองรุ่นนั้นต้องบอกว่าแล้วแต่การใช้งานของตัวเองเป็นหลักเลย ถ้าชอบแบบพกพาไปเล่นข้างนอกและอยากได้หน้าจอสวยๆ ก็ซื้อตัว Nintendo Switch OLED Model มาใช้งานจะคุ้มกว่า แต่ถ้าไม่ได้เอาไปเล่นข้างนอกบ่อย และใช้เชื่อมต่อกับ TV ในบ้านในการเล่นเป็นหลัก แนะนำว่าให้ซื้อรุ่น Nintendo Switch (รุ่นสอง) ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว เพราะยังไงแล้วก็เชื่อมต่อได้ระดับ Full HD เท่ากัน แถมยังมีราคาที่ต่างกันเยอะมากๆ อีกด้วย
และถ้าใครที่อยากได้รุ่นที่มีจอใหญ่ เล่นได้ลื่นกว่าทุกรุ่น มีตอยคอนใหม่ที่ดีกว่าเดิม พกพาเล่นข้างนอกก็ดี เล่นในบ้านต่อ TV 4K ก็สวยงาม เรียกได้ว่าท็อปสุดในตอนนี้ก็ต้องไม่พลาด Nintendo Switch 2 ที่พร้อมให้จับจองกันแล้วในเวลานี้ แต่จะซื้อทันหรือไม่ในช่วงแรกก็แล้วแต่บุญที่ทำกันมา แล้วถ้ามีการอัพเดทเพิ่มเติมเราจะมาอัพเดทให้อีกเรื่อยๆ เลยนะครับ
ขอบคุณข้อมูล Nintendo Switch มีกี่รุ่นและรูปภาพทั้งหมดจาก Nintendo