Nintendo Switch 2 ยังคงครองความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ในฐานะคอนโซลที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม หลังจากเปิดตัวเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 และมียอดขายถึง 3.5 ล้านเครื่องในช่วงสี่วันแรก ล่าสุดทาง Nintendo ได้ประกาศว่า Nintendo Switch 2 มียอดขายรวมถึง 5.82 ล้านเครื่องภายในสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นระยะเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังวางจำหน่าย ตัวเลขนี้สูงกว่ายอดขายของ Nintendo Switch รุ่นแรกในเดือนแรกถึงสองเท่า ซึ่งทำได้เพียง 2.7 ล้านเครื่องในปี 2560 และกลายเป็นคอนโซลที่ขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการเกม
ทั้งนี้ก็มีอีกข่าวเทียบเคียงกันมาก็คือการขึ้นราคาของตระกูล Switch รุ่นดั้งเดิม รวมถึงอุปกรณ์เสริมบางรายการในสหรัฐอเมริกา โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2568 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพียงสองเดือนหลังจากการเปิดตัว Nintendo Switch 2 ซึ่งเป็นเวลาเกือบแปดปีครึ่งหลังจากที่ Nintendo Switch รุ่นแรกวางจำหน่ายเมื่อปี 2560 โดยสาเหตุก็มาจากการขึ้นภาษีของทรัมป์นั่นเอง
Nintendo Switch 2 ขายเกือบ 6 ล้านเครื่องในเวลาไม่ถึงเดือน

ความสำเร็จของ Nintendo Switch 2 ส่งผลให้รายได้ของ Nintendo ในไตรมาสที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน 2568) พุ่งสูงขึ้นถึง 132% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยมีรายได้รวม 572 พันล้านเยน (ประมาณ 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 19% และทางบริษัทคาดว่า Nintendo Switch 2 จะขายได้ 15 ล้านเครื่องภายในสิ้นเดือนมีนาคมปีหน้า

Nintendo Switch 2 มาพร้อมกับการอัปเกรดที่โดดเด่นจากรุ่นก่อนหน้า โดยใช้ชิป NVIDIA Tegra T239 ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งให้ประสิทธิภาพกราฟิกสูงถึง 3.09 TFLOPS และรองรับเทคโนโลยี DLSS เพื่อการแสดงผลที่ลื่นไหลยิ่งขึ้น หน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1080p รองรับ HDR10 และรีเฟรชเรทสูงสุด 120Hz พร้อมฟีเจอร์ VRR (Variable Refresh Rate) ในโหมดพกพา
ตัวเครื่องมีความจุ 256GB ซึ่งสามารถขยายได้ถึง 2TB ผ่าน microSD Express card และแบตเตอรี่ความจุ 5,220mAh ที่ให้ระยะเวลาการใช้งาน 2-6.5 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น GameChat ที่ให้ผู้เล่นสามารถแชทด้วยเสียงหรือวิดีโอขณะเล่นเกม และ Joy-Con 2 ที่ใช้ระบบแม่เหล็กเพื่อการควบคุมที่สะดวกยิ่งขึ้น ปรับเปลี่ยนเป็นเมาส์ใช้งานได้ด้วย

Nintendo คาดการณ์ว่าจะมียอดขาย Switch 2 รวม 15 ล้านเครื่องภายในมีนาคม 2569 ซึ่งนักวิเคราะห์อย่าง Serkan Toto จาก Kantan Games มองว่าเป็นการประเมินที่ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงยอดขายที่พุ่งสูงในช่วงเทศกาลปลายปี อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของ Nintendo อยู่ที่การรักษาความหลากหลายของเกมยอดนิยม โดยมีแผนวางจำหน่ายเกมจากแฟรนไชส์ Pokémon, Metroid และ Kirby ภายในปีนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแฟนๆ กับอีกเรื่องที่ส่งผลกระทบไม่มากก็น้อยคือภาษีของสหรัฐฯ
Nintendo ปรับขึ้นราคา Switch รุ่นเก่าและอุปกรณ์เสริมในสหรัฐฯ เริ่ม 3 สิงหาคม 2568 นี้
ตามประกาศอย่างเป็นทางการบนเว็บไซต์ของ Nintendo การปรับราคาจะครอบคลุม Nintendo Switch รุ่นมาตรฐาน, Switch Lite, Switch OLED และอุปกรณ์เสริมบางชิ้น รวมถึง Nintendo Sound Clock: Alarmo และ Joy-Con 2 โดย Nintendo ระบุว่าเหตุผลของการปรับราคาครั้งนี้มาจาก “สภาวะตลาด” แม้ว่าจะไม่ได้ระบุชัดเจนถึงสาเหตุที่แน่นอน แต่หลายคนก็มองว่าการปรับขึ้นราคานี้มีแนวโน้มเชื่อมโยงกับภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ บังคับใช้ใหม่ โดยกำหนดอัตราภาษี 20% สำหรับสินค้าจากเวียดนาม, 30% จากจีน และ 15% จากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ Nintendo ใช้เป็นฐานการผลิตหลักทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
จากข้อมูลที่ผู้ใช้ X ชื่อ Wario64 พบเห็นในช่วงสั้นๆ บนเว็บไซต์ Target ราคาใหม่ของ Nintendo มีดังนี้:
- Nintendo Switch รุ่นมาตรฐาน: เพิ่มจาก 299.99 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 339.99 ดอลลาร์สหรัฐ
- Switch Lite: จาก 199.99 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 229.99 ดอลลาร์สหรัฐ
- Switch OLED: จาก 349.99 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 399.99 ดอลลาร์สหรัฐ
- Nintendo Alarmo: จาก 99.99 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 109.99 ดอลลาร์สหรัฐ
- Joy-Con 2: จาก 94.99 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 99.99 ดอลลาร์สหรัฐ
ถึงแม้ว่าราคาเหล่านี้จะปรากฏเพียงไม่นานก่อนที่ Target จะปรับกลับเป็นราคาเดิม แต่ก็เป็นสัญญาณว่าการเปลี่ยนแปลงราคากำลังจะเกิดขึ้นจริง และอาจมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ด้วยก็เป็นได้
ที่น่าสนใจคือ Nintendo ยืนยันว่าราคาของ Switch 2 ซึ่งปัจจุบันจำหน่ายในราคา 449.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ราคาไทยเริ่มต้นที่ 17,800 บาท) รวมถึงเกมทั้งแบบแผ่นและออนไลน์ รวมทั้งสมาชิก Nintendo Switch Online จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในขณะนี้ แต่ทางบริษัทเตือนว่าอาจมีการปรับราคาในอนาคตหากสภาวะตลาดยังคงผันผวน ซึ่งสอดคล้องกับคำเตือนจากนักวิเคราะห์ที่มองว่าภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบต่อ Switch 2 ในระยะยาวได้
การปรับราคาครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับ Nintendo เท่านั้น บริษัทอื่นๆ เช่น Microsoft, OnePlus, Lenovo และ Remarkable ก็ได้ปรับราคาอุปกรณ์ต่างๆ ของตัวเองในสหรัฐฯ เพื่อรับมือกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น และเหตุการณ์ขึ้นราคารัวๆ ของหลายแบรนด์นี้ ก็สะท้อนถึงผลกระทบของนโยบายการค้าที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในวงกว้าง รวมถึงวงการมือถือในบางรุ่นด้วยแน่นอน
ที่มา: gsmarena/ androidpolice