การชาร์จแบตเตอรี่นั้นคือสิ่งที่ผู้ใช้มือถือหรือแท็บเล็ตทุกคนต้องทำอย่างน้อยวันละครั้ง เนื่องจากการใช้งานต่างๆ นั้นก็ต้องใช้พลังงาน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกๆ คนจะต้องเจอคือปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม ซึ่งก็มีสาเหตุหลากหลาย ทั้งการใช้งานต่างๆ รวมถึงวิธีการชาร์จ ทุกอย่างส่งผลทั้งหมด วันนี้เราเลยจะมาแนะนำวิธีการชาร์จให้ถูกวิธี เพื่อช่วยถนอมแบตเตอรี่ให้มีอายุที่ยืนยาวขึ้น
แนะนำวิธีการชาร์จแบตให้ถูกวิธี ชาร์จยังไงไม่ให้แบตเสื่อมเร็ว
สำหรับการชาร์จมือถือและแท็บเล็ตในปัจจุบันนี้นับได้ว่าดีกว่าสมัยก่อนมากนัก เนื่องจากในตัวอะแดปเตอร์จะมีระบบตัดไฟอัตโนมัติ ทำให้ช่วยถนอมแบตเตอรี่ได้ในระดับหนึ่ง ทว่ามันก็ยังไม่พอ วันนี้เราเลยจะมาบอกวิธีชาร์จอย่างถูกวิธีให้เพื่อนๆ กัน (ถึงแม้บางอย่างจะมีสาเหตุมาจากนิสัยของเพื่อนๆ ก็ตาม) สำหรับวิธีชาร์จยังไงถึงจะถนอมแบตเตอรี่ได้มากที่สุดนั้นเราไปดูกันดีกว่า
1. ชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จไปแต่อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่เป็น 0% เด็ดขาด
ในการใช้งานแบตเตอรี่นั้นคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการใช้งานแบตเตอรี่จนหมด เนื่อจากการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโซเชียลหรือการเล่นเกมก็ต้องใช้แบตเตอรี่ โดยเฉพาะหากเป็นเกมที่กินสเปคมากๆ ก็จะใช้แบตเตอรี่เยอะขึ้น ซึ่งในการชาร์จแบตเตอรี่นั้นทางที่ดีที่สุดควรชาร์จตอนที่แบตเตอรี่อยู่ในช่วง 60% – 70% จะช่วยให้แบตเตอรี่สามารถชาร์จได้จำนวนรอบมากที่สุด แต่ในการใช้งานจริงแล้วคงมีแค่ส่วนน้อยที่สามารถทำได้ ดังนั้นระดับแบตเตอรี่ในจุดที่พอรับได้ก็คือช่วง 40% – 50% แต่ถ้าปล่อยให้ต่ำกว่า 30% จะทำให้อายุการใช้งานสั้นลงพอสมควร เนื่องจากการชาร์จจะนับเป็นรอบ และการชาร์จ 1 รอบหมายถึงการสะสมการชาร์จจนครบ 100% ดังนั้นการชาร์จตอนที่แบตเตอรี่เหลือน้อยเท่าไร จำนวนรอบก็จะยิ่งครบเร็วขึ้นเท่านั้น
2. พยายามอย่าปล่อยให้เครื่องร้อน
ในการใช้งานมือถือและแท็บเล็ตหรือุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ นั้นไม่ว่าอย่างไรก็หลีกเลี่ยงความร้อนไม่ได้ ซึ่งถึงแม้ในมือถือและแท็บเล็ตทุกเครื่องจะมีระบบระบายความร้อนติดมาด้วย ทว่าระบบระบายความร้อนเหล่านี้ก็ไม่สามารถระบายความร้อนได้ทันอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้งานตัวเครื่องระหว่างชาร์จจะยิ่งทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งความร้อนพวกนั้นจะทำให้ตัวเครื่องมีอุณหภูมิสูงขึ้น และอุณหภูมิเหล่านั้นจะส่งผลกระทบต่อตัวเครื่องไม่ว่าจะเป็นกาวที่ติดตัวเครื่อง ซีลยางต่างๆ ที่อยู่ในตัวเครื่อง รวมถึงแบตเตอรี่ในตัวเครื่องด้วย ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากตัวเครื่องมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นนั้น จททำให้แบตเตอรี่คลายประจุเร็วขึ้น ส่งผลให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น และทำให้เราต้องชาร์จบ่อยขึ้นด้วย เป็นผมให้รอบการชาร์จหมดเร็วขึ้น และทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติ ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงเรื่องความร้อนไม่ได้เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ในการหลีกเลี่ยงการทำให้เครื่องร้อน ซึ่งหลักๆ ที่เราต้องทำก็แค่การใช้งานเครื่องในปริมาณที่พอดี ไม่เล่นมือถือกลางแดด รวมถึงไม่เล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ แค่คอยเว้นช่วงเวลาให้ตัวเครื่องมีเวลาพักบ้างก็ช่วยได้มากแล้ว
3. ถึงจะมีระบบตัดไฟแต่ก็อย่าเสียบชาร์จค้างไว้
ในปัจจุบันนี้มือถือและแท็บเล็ตทุกเครื่องจะมีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อชาร์จจนแบตเตอรี่เต็ม 100% และเมื่อแบตเตอรี่ลดลงแม้แค่ 1% ก็จะมีการชาร์จเพิ่มให้เต็ม 100% อีกครั้ง ซึ่งการปล่อยให้เป็นแบบนั้นจะทำให้เราเสียรอบการชาร์จโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้ามีการใช้งานระหว่างชาร์จจะทำให้รอบการชาร์จหมดเร็วขึ้นอีก เนื่องจากแบตเตอรี่ในมือถือและแท็บเล็ตนั้นไม่เหมือนกับแบตเตอรี่ในโน๊ตบุ๊คที่เมื่อชาร์จเต็มแล้วระบบจะตัดไฟ และเมื่อแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 90% แล้วถึงค่อยชาร์จใหม่
4. หลีกเลี่ยงที่ชาร์จปลอม อย่าเห็นแก่ของถูก
ในปัจจุบันนี้มือถือและแท็บเล็ตแทบทุกรุ่นสามารถใช้ที่ชาร์จเดียวกันได้ และเราก็สามารถหาซื้อที่ชาร์จได้แทบทุกที่ แต่ก็ใช่ว่าที่ชาร์จที่เห็นนั้นเป็นของที่ได้มาตราฐานจริงไหม โดยเฉพาะที่ชาร์จราคาถูกๆ ที่สามารถหาได้ตามร้านออนไลน์และตลาดนัดในราคาร้อยกว่าบาท ซึ่งราคาแบบนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างแตะตามากๆ เพียงแต่ที่ชาร์จเหล่านี้เราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าได้มาตราฐานจริงไหม เพราะสิ่งที่ใช้ยืนยันต่างๆ สามารถปลอมแปลงได้ง่ายๆ โดยความเสี่ยงของที่ชาร์จไม่ได้มาตราฐานนั้นคือการจ่ายไฟที่ไม่นิ่ง แถมยังไม่มีการป้องกันไฟกระชากและไฟรั่วอีกด้วย ทำให้เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ที่ชาร์จรวมถึงสิ่งรอบข้างด้วย เนื่องจากถ้าเกิดไฟลัดวงจรจนระเบิดขึ้นมา ไฟอาจลามไปยังสิ่งต่างๆ รอบข้างได้ด้วย
5. เสียบที่ชาร์จกับปลั๊กก่อนค่อยเสียบสายชาร์จกับมือถือ
เวลาจะชาร์จมือถือและแท็บเล็ตนั้นด้วยความเคยชินของเรานั้น เราจะเสียบสายชาร์จกับตัวเครื่องก่อนแล้วค่อยเอาอะแดปเตอร์ไปเสียบกับปลั๊กไฟ ซึ่งหลายๆ ครั้งเราจะเห็นประกายไฟสว่างขึ้นมาที่ปลั๊กไฟ นั่นคือเหตุการที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีไฟฟ้าจากสองแหล่งมาเจอกัน และด้วยการที่ไฟฟ้าจากปลั๊กไฟนั้นมีกำลังสูงกว่า ก็จะทำให้อาจเกิดการลัดวงจรได้ ซึ่งถึงแม้ที่อะแดปเตอร์จะมีตัวป้องกันอยู่ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ทุกครั้งไป ถ้าหากเกิดจังหวะที่ไม่สามารถป้องกันได้ ก็อาจจะทำให้แบตเตอรี่มือถือระเบิดได้เช่นกัน ดังนั้นการเสียบอะแดปเตอร์ชาร์จเข้ากับปลั๊กไฟก่อนที่จะเสียบสายชาร์จมือถือจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไฟกระชากและช่วยให้สามารถใช้ที่ชาร์จนั้นไปนานๆ ได้ด้วย
ข้อมูลเรื่องระบบชาร์จที่รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย
ระบบชาร์จที่ใช้ในมือถือและแท็บเล็ตนั้นในปัจจุบันนี้จะมีทั้งหมด 2 รูปแบบคือการชาร์จด้วยสายชาร์จและการชาร์แบบไร้สาย หรือที่เราเรียกว่าการชาร์จแบบ Wireless ซึ่งการชาร์จทั้ง 2 แบบนี้ในปัจจุบันสามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงหรือที่เราเรียกว่าชาร์จเร็วได้แล้ว โดยมือถือที่มีระบบชาร์จทั้ง 2 แบบในตัวนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นรุ่นระดับเรือธงมากกว่า โดระบบชาร์จเร็วนั้นในโลกนี้จะมีอยู่หลายชื่อเรียกมากๆ แต่ทั้งหมดก็พัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานระบบชาร์จเร็ว 2 แบบคือ Quick Charge และ PD หรือ Power Delivery ซึ่งทั้งสองจะมีจุดที่แตกต่างกันเล็กน้อยก็คือระบบ Quick Charge นั้นมักจะอยู่ในมือถือและแท็บเล็ตเป็นหลัก ส่วนระบบ PD นั้นนอกจากในมือถือและแท็บเล้ตแล้วยังสามารถเอาไปใช้ร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ อย่างโน๊ตบุ๊คหรืออุปกรณ์ IoT ต่างๆ ได้ด้วย ทำให้ระบบ PD มีความอเนกประสงค์มากกว่า สำหรับใครที่อยากรู้ลายละเอียดลึกๆ ของระบบชาร์จเร็ว สามารถเข้าไปดูได้ที่ เทคโนโลยีชาร์จเร็ว มีกี่แบบ ข้อดีข้อเสียมีอะไร
ถึงแม้ระบบชาร์จเร็วจะช่วยให้ใช้เวลาชาร์จน้อยลง แต่การชาร์จเร็วก็มีผลข้างเคียงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือความร้อน เนื่องจากในการชาร์จแบตเตอรี่ทุกครั้งจะต้องเกิดความร้อนจากการวิ่งของกระแสไฟฟ้า และยิ่งใช้กำลังไฟสูงก็จะยิ่งเกิดความร้อนมากขึ้นตามไปด้วย แถมในปัจจุบันนี้มือถือส่วนใหญ่ก็มีระบบชาร์จเร็วติดมาให้กันหมด ต่างกันที่กำลังไฟเท่านั้น ซึ่งจากที่เคยเจอมา มือถือที่มีแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh กับระบบชาร์จเร็วขนาด 120W อย่าง Xiaomi 11T Pro ที่สามารถชาร์จให้เต็มได้ภายในเวลาไม่ถึง 20 นาทีนั้น ตัวเครื่องมีความร้อนเกิดขึ้นในระดับที่ถ้าเป็นการใช้งานคือต้องนั่งเล่นเกมในอากาศร้อนๆ เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งความร้อนที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้แบตเตอรี่มีความเสี่ยงที่จะเสื่อมเร็วขึ้นด้วยนั่นเอง