เปรียบเทียบ iPhone SE 4 กับ iPhone 16 ที่มีจอ 6.1 นิ้วและชิปตัวเดียวกัน สเปคต่างกันแค่ไหนและจะซื้อรุ่นไหนดี

เปรียบเทียบ iPhone SE 4 vs iPhone 16 ที่มีจอ 6.1 นิ้วและชิปตัวเดียวกัน สเปคต่างกันแค่ไหนและจะซื้อรุ่นไหนดี

ใกล้จะถึงเวลาเปิดตัวของ iPhone SE 4 อย่างเป็นทางการแล้ว ถ้าใครที่กำลังมองหา iPhone รุ่นใหม่ที่มีจอขนาด 6.1 นิ้วในปี 2025 นี้ ก็ต้องบอกว่ามีตัวเลือกที่น่าสนใจสองรุ่นคือ iPhone SE 4 และ iPhone 16 ที่มาพร้อมชิป Apple A18 ตัวเดียวกัน แต่ก็ยังมีรายละเอียดและสเปคอื่นๆ ที่ยังต่างกันอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ กล้อง ฟีเจอร์การใช้งาน และระบบอื่นๆ ที่รุ่นประหยัดกับรุ่นเริ่มต้นนั้นต่างกันด้วย แต่ด้วยการอัพเกรดของ iPhone SE 4 รุ่นใหม่นี้ ก็ถือว่ามีสเปคที่น่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน วันนี้ทาง Specphone เลยจะมาลองเปรียบเทียบ iPhone SE 4 vs iPhone 16 ทั้งสองรุ่นในทุกด้าน เพื่อช่วยให้เลือกรุ่นที่เหมาะกับการใช้งาน และงบประมาณของแต่ละคนได้ง่ายขึ้น

**เปรียบเทียบ iPhone SE 4 โดยใช้สเปคอ้างอิงจากข่าวลือของ iPhone SE 4 เท่านั้น ยังไม่ใช่สเปคอย่างเป็นทางการ**

ตารางเปรียบเทียบสเปค iPhone SE 4 vs iPhone 16 (สเปคจากข่าวลือ)

เปรียบเทียบสเปค iPhone SE 4 vs iPhone 16 (ยังไม่ใช่สเปคอย่างเป็นทางการ)

เริ่มกันด้วยการเปรียบเทียบสเปค iPhone SE 4 vs iPhone 16 ที่ดีไซน์ตัวเครื่องกันเลย ที่รุ่นใหม่อย่าง iPhone SE 4 นั้นจะมีการเปลี่ยนดีไซน์ตัวเครื่องใหม่ให้เป็นขอบแบน ปรับเปลี่ยนจาก Touch ID ด้านล่างมาเป็น Face ID ทำให้ใช้พื้นที่หน้าจอได้มากขึ้น ส่วนฝาหลังนั้นคาดว่าจะมีกระบวนการผลิตที่คล้ายๆ กับ iPhone 16 ด้วย ซึ่งขนาดและน้ำหนักของทั้งสองรุ่นอาจมีความใกล้เคียงกันเพราะว่ามีจอเท่าๆ กัน ทั้งนี้โมดูลกล้องหลังของทั้งคู่จะต่างกันด้วย เพราะว่ารุ่น iPhone SE 4 จะมีกล้องหลังเพียงตัวเดียวเท่านั้น รวมถึงไม่มีปุ่ม Camera Control

ส่วนทางด้านหน้าจอของ iPhone SE 4 vs iPhone 16 ก็มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร ถึงแม้ว่า iPhone SE 4 นั้นจะได้อัพเกรดหน้าจอมาเป็น Super Retina XDR แบบ OLED ขนาดกว้าง 6.1 นิ้วเหมือนกันทั้งคู่ แต่ฟีเจอร์การใช้งานนั้นยังต่างกัน เพราะว่า iPhone 16 นั้นมีฟีเจอร์ Dynamic Island ให้ใช้งาน ในขณะที่ iPhone SE 4 จะยังเป็นรูกล้องแบบรอยบาก เพื่อไว้ใช้สำหรับ Face ID อย่างเดียว

จุดสำคัญอีกอย่างก็คือเรื่องประสิทธิภาพที่ iPhone SE 4 vs iPhone 16 ทั้งสองรุ่นนี้ได้ชิปตัวเดียวกันคือ Apple A18 พร้อมกับ RAM 8GB เหมือนกันด้วย รวมไปถึงการใช้งาน 5G ที่ใช้ได้เหมือนกัน แต่อาจจะต่างกันตรงที่ iPhone 16 ใช้โมเด็ม Snapdragon X75 แต่ว่า iPhone SE 4 นั้นคาดว่าจะใช้โมเด็มของ Apple เอง ซึ่งอาจเกิดข้อแตกต่างในการใช้งานตรงนี้ด้วย นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังใช้ Apple Intelligence ได้เหมือนกัน แต่ก็จะมีบางฟีเจอร์อย่างการใช้ร่วมกับ Camera Control ที่ iPhone 16 นั้นทำได้เยอะกว่านั่นเอง

จุดสุดท้ายคือกล้องหน้าและกล้องหลังของ iPhone SE 4 vs iPhone 16 ที่ได้กล้องหน้า 12MP เท่ากัน แต่ว่ากล้องหลังนั้นต่างกันเลย เพราะว่า iPhone SE 4 จะมีกล้องหลังเพียงตัวเดียวที่ได้อัพเกรดมาเป็น 48MP แล้ว แต่ว่า iPhone 16 นั้นได้กล้องหลังถึง 2 ตัวที่ความละเอียดหลัก 48MP และกล้องอัลตร้าไวด์ 12MP ที่ถ่ารูปได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังคาดว่าทั้งสองรุ่นจะมีแบตที่ใกล้เคียงกัน พร้อมกับพอร์ต USB-C เหมือนกันแล้ว แต่คาดว่าราคาจะยังคงต่างกันถึงหลักหมื่นเกือบครึ่ง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

• Q: iPhone SE 4 จะเปิดตัวเมื่อไหร่?
  • A: คาดว่าเปิดตัววันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025 และคาดว่าจะเริ่มพรีออเดอร์ 21 กุมภาพันธ์ และวางจำหน่าย 28 กุมภาพันธ์นี้
• Q: ราคา iPhone SE 4 จะเริ่มต้นที่เท่าไหร่?
  • A: คาดว่าจะเริ่มต้นที่ $499 หรือประมาณ 17,900 บาท
• Q: iPhone SE 4 มีฟีเจอร์ AI อะไรบ้าง?
  • A: รองรับ Apple Intelligence เช่นเดียวกับ iPhone 16 แต่อาจจะต่างกันในเรื่องของการใช้งานร่วมกับ Camera Control
• Q: iPhone SE 4 มีความจุให้เลือกกี่แบบ?
  • A: มีข่าวลือว่าจะเริ่มต้นที่ 128GB กับ 256GB ให้เลือก และอาจะมีมากกว่านั้น
• Q: Face ID บน iPhone SE 4 ทำงานเหมือน iPhone 16 ไหม?
  • A: ทั้งสองรุ่นใช้ Face ID แบบเดียวกัน โดย SE 4 จะเป็นรุ่นแรกในตระกูล SE ที่มีฟีเจอร์นี้

สรุปเปรียบเทียบ iPhone SE 4 vs iPhone 16 จะซื้อรุ่นไหนดี?

จากการเปรียบเทียบสเปคและข้อมูลต่างๆ จากข่าวลือที่ออกมานั้น ก็ต้องบอกว่า iPhone SE 4 รุ่นใหม่นี้มีสเปคที่อัพเกรดใหม่ได้น่าสนใจมากๆ แต่ถ้าจะต้องเทียบกับ iPhone 16 แล้วก็ยังถือว่ามี่ความแตกต่างกันอยู่เยอะพอสมควร โดย iPhone SE 4 นั้นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการ iPhone รุ่นใหม่ในราคาประหยัด โดยได้ชิปประมวลผลและฟีเจอร์ AI เหมือนกับ iPhone 16 แต่ราคาถูกกว่าหมื่นในรุ่นเริ่มต้น แม้จะมีข้อจำกัดด้านกล้อง หน้าจอและแบตเตอรี่ที่เล็กกว่า แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่า ก็อาจจะทำให้คุ้มค่ากับราคาและสเปคได้มากกว่า

แต่ถ้าหากใครที่ไม่ได้จำกัดงบไว้อยู่แล้ว และต้องการรุ่นที่มีฟีเจอร์รองรับการใช้งานได้มากกว่า โดยเฉพาะการถ่ายภาพและ Dynamic Island รวมถึงฟีเจอร์อื่นๆ ที่ใหม่และดีกว่า iPhone 16 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์การใช้งานได้มากกว่าอยู่ดี ซึ่งทั้งสองซีรีส์นี้ก็มีความแตกต่างในตัวเองอยู่แล้วด้วย ดังนั้นก็ควรที่จะดูจุดประสงค์ในการใช้งานของตัวเองและงบประมาณเป็นหลักด้วย