ปัญหาของแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ไปจนถึงรถยนต์ ก็มักจะต้องเจอกับปัญหา “แบตเสื่อม” อยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถป้องกันและคอยเช็คได้ ว่าสุขภาพแบตของมือถือจะอยู่ไปได้นานอีกแค่ไหน
แบตเตอรี่ของมือถือนั้น อายุการใช้งานมักจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 ปี อยู่ที่พฤติกรรมการใช้งาน และการรักษาการใช้งานด้วย ถ้าใช้อย่างรักษาหน่อย ก็อาจจะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตได้นานยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากใช้อย่างเดียว ไม่สนใจอะไรเลย ก็อาจทำให้แบตยิ่งเสื่อมไว และถ้าหากแบตเริ่มเสื่อม จนถึงขั้นแบตบวม คงทำให้มือถือทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ และลุกลามไปจนถึงเครื่องพังได้เลย วันนี้เราจะมาแนะนำ วิธีเช็คอาการแบตเสื่อมของมือถือ และวิธีป้องกันไม่ให้แบตเสื่อมก่อนสายเกินไป ตามมาดูกันได้เลย
แบตเตอรี่มือถือในปัจจุบัน ใช้แบบไหนอยู่?
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับแบตเตอรี่ ในโทรศัพท์มือถือในสมัยนี้กันก่อน ไม่นับรวมแบตสมัยก่อนที่สามารถถอดเปลี่ยนเองได้ อย่างพวกนิเกิลนะครับ เพราะว่าไม่ค่อยนิยมนำมาใช้กันแล้ว ซึ่งในปัจจุบันนี้มีแบตประเภทไหนอยู่บ้าง ที่ใช้กันอยู่ ทั้ง iPhone และเหล่า Android ส่วนใหญ่แบตเตอรี่ที่ใช้หลักๆ ตอนนี้คือแบบ Lithium Ion (Li-Ion) และ Lithium Ion Polymer (Li-po) ทั้งสองตัวนี้จะมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร เรามาดูกันว่าต่างกันอย่างไรบ้าง
Lithium Ion (Li-Ion)
แบตเตอรี่ชนิดนี้ ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ในปี 1912 แต่เมื่อวร้างมาแล้ว ไม่ได้เป็นที่รู้จัก และไม่ค่อยมีคนใช้มากนัก จนกระทั่งในปี 1991 ทางบริษัท Sony ได้ลองเลือกใช้แบตชนิดนี้มาใช้งาน คนจึงเริ่มรู้จัก และหันมาสนใจในตัวแบตตัวนี้ แบตเตอรี่ Lithium Ion (Li-Ion) จะมีลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นก้อน ทรงกระบอก และจำกัดในแบบ “สี่เหลี่ยมผืนผ้า”
มีความเบากว่าแบตจำพวกนิเกิล มีความหนาแน่นของพลังงานสูง แต่การปลดปล่อยพลังงานจะต่ำ และราคาไม่แพงมาก การใช้งานเริ่มแรก จะไม่ต้องทำแบบสมัยก่อน ที่ต้องชาร์จก่อนใช้งานข้ามวันข้ามคืน เมื่อซื้อมือถือมาก็สามารถใช้ได้เลย ใกล้หมดแล้วค่อยชาร์จให้เต็ม 100 % ทีเดียว นอกจากการใช้งานในมือถือแล้ว แบตเตอรี่ Lithium Ion (Li-Ion) ยังนิยมใช้ในอุปกรณ์อย่าง แบตสำรอง และ Notebook เป็นส่วนใหญ่ด้วย
Lithium Ion Polymer (Li-Po)
แบตตัวนี้ได้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 1970 ที่สร้างมาจาก อิเล็กโทรไลท์ และโพลิเมอร์ นำมารวมกันให้เป็นแบบแข็ง และ แห้ง และคล้ายกับแผ่นฟิล์มพลาสติก ที่นำมาวางเป็นชั้นเลเยอร์ซ้อนทับกัน ผลที่ได้ตามมาคือตัวแบตเตอรี่ จะมีความบาง และสามารถทำให้แบตเตอรี่ เปลี่ยนเป็นรูปทรงใดก็ได้ มีน้ำหนักเบากว่าพวกนิเกิล และมีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่าแบบเก่า
อายุการใช้งานของแบตเตอรี่พวก Lithium Ion Polymer (Li-Po) จะสามารถใช้ได้นานกว่า และที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องชาร์จก่อน ซื้อมาแล้วใช้ได้เลย คล้ายกับแบต Lithium Ion (Li-Ion) แต่ราคาจะสูง และความหนาก็จะสูงกว่าแบต Lithium Ion (Li-Ion) ด้วย
แบตเตอรี่ของ iPhone
สำหรับแบตเตอรี่ใน iPhone นั้น ถึงแม้ว่าตรงข้างล่างแบตจะบอกว่าเป็น Li-Ion แต่ความจริงแล้ว ก็คือแบต Lithium Ion Polymer (Li-Po) ที่เขียนไว้ด้านบนของแบตเช่นกัน ซึ่งแบตของ iPhone นั้นจะมีการชาร์จเร็วในช่วง 0-80% และเมื่อชาร์ทเกิน 80% ไปแล้ว โปรแกรมในเครื่องจะจำกัดการชาร์จ เพื่อกันไม่ให้อุณหภูมิของตัวเครื่องขึ้นสูงเกินไป กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ชาร์จไวขึ้น แต่เป็นการยืดอายุของแบตเตอรี่ไปด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไม เราถึงควรใช้สายชาร์จแบตของแท้ของ iPhone
แบตเตอรี่ของ Android
ในตัวเครื่องของ Android แบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง Samsung, Huawei, Redmi ถ้าเป็นเครื่องใหญ่สเปคแรง หรือเครื่องที่มีราคาสูง ส่วนใหญ่จะใช้แบตเตอรี่ของ Lithium Ion Polymer (Li-Po) แต่ถ้าเป็นเครื่องเล็กส่วนใหญ่ก็จะใช้ Lithium Ion (Li-Ion) ซึ่งการใช้งานก็จะแตกต่างกันออกไปตามสเปคของเครื่อง และต้องรองรับ Fast Charge ด้วย การชาร์จจะมีการผ่อนความแรงในตอนท้ายเหมือนกัน เพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิเครื่องขึ้นสูงเกินไป และยืดอายุการใช้งานของแบตไปด้วย
ทั้งสองตัวของแบตเตอรี่ Lithium Ion (Li-Ion) และ Lithium Ion Polymer (Li-Po) มีข้อดีและข้อเสียไม่ต่างกันมาก การใช้งานก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ Lithium Ion Polymer (Li-Po) ได้ถูกพัฒนาต่อขึ้นมา และทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงทำให้สามารถมีรูปทรงที่ไม่จำกัดเหมือน Lithium Ion (Li-Ion) แต่ก็จะมีราคาที่สูงกว่าเช่นกัน
สาเหตุที่ทำให้แบตเสื่อม
การใช้มือถือ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่แบตเตอรี่จะต้องค่อยๆ เสื่อมลง แต่สาเหตุอื่นนอกจากการใช้งานแบบปกติ นั้นมีอะไรบ้าง ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้งานของเราเองทั้งนั้น เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นสาเหตุ นอกเหนือจากการใช้งานปกติมาให้ดูกัน ว่ามีอะไรบ้าง ดังนี้
1. การเสียบสายชาร์จแบตเตอรี่
การชาร์จแบตปกติที่คนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก คิดว่าแค่เสียบๆ ไป ให้ไฟเข้าก็พอ ความเข้าใจแบบนี้เป็นสิ่งที่ผิดแน่นอน การเสียบสายก่อนชาร์จ และหลังชาร์จ ก็มีขั้นตอนอยู่พอสมควร เพื่อเป็นการถนอมแบตเตอรี่ และยังช่วยรักษาระบบภายในของตัวมือถือได้อีกด้วย วิธีการเสียบสายชาร์จก็มได้ยุ่งยาก เพียงแค่ต้องระวังนิดหน่อย มีวิธีทำตามนี้
- ถ้าเป็นอุปกรณ์ชาร์จแบต แบบแยกส่วน ที่มี USB กับ Adapter แยกกันมา ส่วนใหญ่สมาร์ทโฟนสมัยนี้มักจะแยกกันมาให้แล้ว เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน และการเปลี่ยนอุปกรณ์ ให้เสียบสาย USB เข้ากับตัว Adapter ก่อน แล้วจึงนำไปเสียบกับปลั๊ก ถ้าไม่ใช่อุปกรณ์แยกก็ให้เสียบ Adapter เข้ากับปลั๊กก่อนเหมือนกัน
- เมื่อเสียบ Adapter เข้าปลั๊กเรียบร้อยแล้ว ถึงจะเสียบหัวฝั่ง MicroUSB เข้ากับตัวมือถือ
- เมื่อแบตเต็มให้ดึงหัวฝั่ง MicroUSB ออกก่อน แล้วค่อยถอด Adapter ที่ปลั๊กออก
วิธีทำแบบนี้ จะช่วยให้ไฟที่เข้าไปสู่แบตเตอรี่ในมือถือ ไม่เกิดการกระชาก ที่เป็นสาเหตุของแบตเตอรี่ที่เสื่อมได้ และยังช่วยป้องกันไม่ให้ระบบในตัวเครื่องเสียหายอีกด้วย
2. ใช้มือถือจนแบตหมด
หลายคนคงเคยได้ยินมาแล้วบ้าง ว่าการใช้มือถือจนแบตหมด เป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเสื่อมได้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่คิดว่า การใช้แบตให้หมดไปเลยค่อยชาร์จให้เต็มไม่เป็นอะไร ซึ่งมันสามารถทำได้จริง ในแบตเตอรี่ประเภทเก่าแก่ที่ใช้วัสดุ อย่างพวก นิกเกิล – แดคเมียม (Ni-Cd) ที่มีระบบ Memory Effect ที่หากแบตยังไม่หมดแล้วนำไปชาร์จ ก็จะทำให้ตัวแบตนั้นมีความจุลดลงได้
แต่ในสมัยใหม่ ที่มีการใช้แบตเตอรี่ประเภท Lithium Ion (Li-Ion) และ Lithium Ion Polymer (Li-po) ที่มีการจัดระบบเป็นแบบ Charge Cycle คือนับรอบตามการชาร์จเมื่อครบ 100% ถ้าหากปล่อยให้แบตหมดจนเหลือ 0% บ่อยๆ จะยิ่งทำให้แบตเสื่อม และคายประจุออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วแบตมือถือเราก็จะจุได้น้อยลง ทางที่ดีควรชาร์จไว้เสมอ ก่อนเครื่องดับไป
3. ใช้เครื่องจนร้อนเกินไป
เราคงเคยเล่นเกมที่ใช้สเปคสูงนานๆ หรือเล่นมือถือตอนตากแดด แล้วรู้สึกว่าทำไมเครื่องมันร้อนจัดขนาดนี้ นั่นก็เพราะแบตเตอรี่ที่ทำงานหนัก จนทำให้เกิดอุณภูมิที่ร้อนขึ้น และเมื่อร้อนมากๆจนเกินมาตรฐาน ที่ทางผู้ผลิตตั้งเอาไว้ ก็จะทำให้ เซลล์ของแบตเตอรี่ค่อยๆ เสื่อมลงตามไปด้วย เมื่อเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ยิ่งทำให้แบตปล่อยประจุมากขึ้น สุดท้ายก็ทำให้แบตค่อยๆ ลดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะทิ้งเครื่องวางไว้เฉยๆก็ตาม
การเลือกใช้เคส ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ตัวเครื่อง ของมือถือเก็บความร้อนไว้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะพวกเคสที่เป็นสิลิโคนแข็ง และระบายความร้อนออกยาก ยิ่งเราใช้งานหนักก็ยิ่งทำให้ตัวเครื่องร้อนเร็วขึ้น ส่งผลไปยังแบตเตอรี่ที่ร้อนตามไปด้วย และทำให้แบตเสื่อมไปในที่สุด
4. เปิดแสงหน้าจอสว่างสุดค้างไว้
การใช้งานแอปพลิเคชันในมือถือ ทุกแอปฯล้วนต้องใช้ปริมาณทรัพยากรณ์แบตเตอรี่เยอะอยู่แล้ว แต่การที่เราเปิดแสงหน้าจอ โดยปรับไว้ที่ความสว่างสุด ถึงแม้จะปิดแอปฯไปหมดแล้วก็ตาม ก็ยิ่งทำให้แบตเตอรี่ใช้งานหนักมากขึ้นตามไปด้วย
ส่วนใหญ่แล้ว Hardware ที่แบตเตอรี่จ่ายไฟให้มากที่สุด ก็คือหน้าจอนั่นเอง ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์ก็อยู่ราวๆ 60% – 80% ได้เลยทีเดียว ถ้าไม่ได้ตั้งค่าเอาไว้ วิธีง่ายๆ ก็เพียงแค่เปิดโหมด Auto Brightness เพื่อให้หน้าจอปรับแสงโดยอัตโนมัติ จะยิ่งช่วยให้แบตทำงานได้น้อยลงไม่ถึง 50% ในการจ่ายไฟให้กับหน้าจอด้วย
5. ใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ปลอม
ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก และมักจะเป็นสาเหตุหลักๆ รองมาจากการปล่อยให้แบตเตอรี่หมดได้เลย เนื่องจากการใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้เป็นของจากโรงงาน คุณภาพตั้งแต่ภายนอก ไปจนถึงคุณภาพของสายไฟข้างใน มักจะไม่ได้มาตรฐานของแบรนด์ ที่ทำเอาไว้ ผลที่ตามมาก็คือ มีการจ่ายไฟสะดุด กระแสไฟที่ส่งเข้ามาในเครื่องอาจไม่นิ่ง หรือไฟกระชากได้เลย
และถ้ายิ่งมีการจ่ายไฟที่ผิดปกติไปจากของเดิม แน่นอนว่าแบตเตอรี่ และระบบภายในเครื่องก็จะเสื่อมตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นอาจทำให้แบตร้อนเกินไป หรือไฟรั่วจนนำมาซึ่งเหตุอันตรายร้ายแรงอย่าง เครื่องระเบิด เครื่องไหม้ จนอันตรายมาถึงตัวเราแทน ทางที่ดีก็ควรซื้อของแท้ใช้ดีกว่า หรือถ้ากลัวของแท้แพงก็ใช้ของเก่าให้ดี และรักษาให้สามารถเก็บไว้ใช้ได้นานๆ
วิธีเช็คแบตเสื่อม
วิธีเช็คแบตเตอรี่ว่ายังใช้งานได้ปกติหรือไม่นั้น สามารถเช็คได้จากการดูด้วยตัวเอง ไปจนถึงใช้แอปพลิเคชัน เพื่อเข้าไปถึงระบบข้างในเลยว่ายังใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความเสื่อมเสียไปมากแค่ไหนแล้ว ในกรณีนี้จะไม่ได้พูดถึงแบตเตอรี่แบบเก่า ที่สามารถถอดออกมาเช็คได้ด้วยตัวเอง ถ้าเป็นแบตเตอรี่รุ่นเก่า สามารถเอาออกมาดูได้เลยว่าบวมมั้ย ถ้าเริ่มบวมก็เปลี่ยนได้เลย แสดงว่าเริ่มเสื่อมแล้ว แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่ใหม่ ที่เป็น Lithium Ion (Li-Ion) และ Lithium Ion Polymer (Li-po) ในตัวเครื่องที่ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ออกมาได้ด้วยตัวเอง เราก็มีวิธีเช็คได้ดังนี้
1. สังเกตแบตเตอรี่ด้วยตัวเอง
การดูแบตเตอรี่ด้วยตัวเอง สามารถสังเกตได้หลายอย่าง ตั้งแต่การดูปริมาณการลด ของแบตเตอรี่ โดยในปกติแล้ว การบอกค่าแบตเตอรี่ สามารถเปิดให้เราเห็นเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ โดยแบตเตอรี่จะลดทีละ 1% และค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะใช้งานเยอะ หรือเล่นเกมไปด้วยอย่างน้อยก็ต้องเห็นได้ว่าลด ไม่เกิน 2% แต่ถ้าลดฮวบแบบทีเดียว 5-10% ก็ต้องเริ่มสงสัยได้แล้วว่า อาการของแบตเตอรี่ของมือถือเรา เริ่มเสื่อมแล้วหรือไม่
แบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อแบตเสื่อมไม่ใช่เพียงแต่การใช้งานหนัก แล้วแบตเตอรี่จะลดลงเร็วเท่านั้น แต่ถ้าหากเราไม่ได้ใช้งานเลย แต่แบตเตอรี่ลดลงไปอย่างรวดเร็วโดยเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างง่ายๆ แบตเตอรี่เฉลี่ยที่ใช้งานเต็มที่จะใช้ได้เกินครึ่งวัน ถ้าไม่ได้ใช้งานหนักอาจอยู่ได้ทั้งวันเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากยังไม่ได้ใช้อะไรเลย แล้วแบตเตอรี่ ใกล้หมดในเวลาเพียงครึ่งวัน แค่นี้ก็เป็นตัวบอกได้แล้ว ว่าแบตเตอรี่เสื่อมแล้วนั่นเอง
2. ความจุของแบตเตอรี่ลดลง
ความจุของแบตเตอรี่โดยปกติแล้ว ถ้าเปิดให้เห็นเปอร์เซ็นต์ เวลาชาร์จหรือใช้งาน จะสังเกตได้ว่า มันจะค่อยๆ เพิ่ม – ลด ครั้งละ 1% เท่านั้น ในตอนที่ซื้อมาใช้ครั้งแรก แต่เมื่อใช้ไปนานๆแล้ว ก็จะค่อยๆเสื่อมลงแน่นอน แต่จะเสื่อมมากเสื่อมน้อย เราสามารถสังเกตได้จากการลดของแบตเตอรี่ โดยความจุของแบตเตอรี่ จะค่อยๆลดลงตามความเสื่อมไปด้วย
ก็คือ เมื่อความจุลดลง ซึ่งเกิดจากการเก็บประจุได้ไม่ดีพอ การชาร์จแบตเตอรี่ในแต่ละครั้ง จะเร็วผิดปกติ อย่างเช่น ตอนแรกแบตเตอรี่มีอยู่ 20% แต่เสียบสายชาร์จเพียงแค่ไม่กี่นาที แบตกลับขึ้นใกล้เต็ม บางเครื่องหนักๆหน่อยก็เต็มไปเลย (ทีไม่ใช่ Flash Charge 125W นะ) หรือในทางกลับกัน เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มแล้ว ถอดออกมาใช้งานเพียงไม่กี่ชั่วโมง แบตเตอรี่ก็ขึ้นเตือนว่าใกล้หมดแล้ว แบบนี้สามารถคอนเฟิร์มได้เลย ว่าแบตเสื่อมแน่นอน รีบเปลี่ยนด่วนได้เลย
3. แบตเตอรี่รวน
อาการรวนแบบหลอนๆ ของแบตเตอรี่ สามารถสังเกตได้ง่ายที่สุด เพราะปกติแล้วแบตเตอรี่จะมีแค่ ลดลงกับเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าหากชาร์จเต็ม 100% แล้ว ใช้ไปสักพักแบตเตอรี่ลดลงไปเหลือ 80% ก็อาจจะดูปกติของการใช้งาน แต่ถ้าเรามาดูอีกที แบตเตอรี่กลับขึ้นมาเป็น 90% โดยที่ยังไม่ทันได้ชาร์จเพิ่มเลย อันนี้เห็นได้ชัดว่าแบตเสื่อมแน่ๆ
หรือในอีกกรณีคือ ใช้แบตเตอรี่จนถึงประมาณ 20 – 30% แล้วอยู่ดีดี เครื่องก็วูบไปเลยไม่มีบอกกล่าวใดๆ เมื่อเปิดเครื่องกลับมาใหม่ ก็ยังอาจเห็นว่าแบตเตอรี่ยังไม่หมด ยังเหลือเกิน 20% แต่ทำไมมันถึงดับไปได้ ซึ่งข้อนี้ก็เป็นอาการที่บ่งบอกว่า แบตเตอรี่ใช้ไม่ได้แล้ว ต้องรีบเปลี่ยน และอย่าปล่อยผ่าน หรือฝืนใช้งานต่อ เพราะการที่สมาร์ทโฟนมีการปิดเครื่องเองบ่อยๆ ก็เหมือนการปล่อยให้แบตเตอรี่ดับไปเอง อาจส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของมือถือ และทำให้พังไปทั้งเครื่องเลยก็ได้
4. แบตเตอรี่บวม
ในเครื่องสมาร์ทโฟนใหม่ๆ ที่อาจจะดูยากสักหน่อยว่าบวมถึงแค่ไหนแล้ว อาจสังเกตได้จากหัวข้อบนๆก่อน แต่ถ้าไม่มีอาการใดๆเลย ไม่มีการลดลง หรือเพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่ที่ผิดปกติ ซึ่งส่วนใหญ่แบตเตอรี่ที่จะบวมได้นั้น มักเกิดจากการที่ปล่อยให้มือถือร้อนจนเกินไป ไม่ว่าจะด้วยการเล่นเกม หรือใช้งานหนัก รวมไปถึงตากแดดทิ้งไว้นานๆด้วย การใช้งานจนแบตเตอรี่เสื่อมตามสภาพ หรือการใช้อุปกรณ์การชาร์จ ที่เป็นของปลอมก็อาจส่งผลให้แบตเตอรี่บวมได้เหมือนกัน
วิธีสังเกตง่ายๆ ให้ลองวางมือถือแนบไปกับโต๊ะ ที่มีพื้นที่เรียบแล้วก้มลงไปมองว่า ฝาหลังแนบสนิทกับพื้นโต๊ะหรือไม่ ในกรณีมือถือที่มีกล้องนูนขึ้นมา ให้วางตำแหน่งกล้องเหลื่อมลงขอบโต๊ะก่อน แล้วค่อยก้มลงไปดู หรือให้ลองดูความเรียบของหน้าจอมือถือกับขอบด้านข้าง ว่าหน้าจอปูดบวมขึ้นมาหรือไม่ ถ้าเริ่มดูไม่เรียบก็ต้องรีบเปลี่ยนโดยด่วน ไม่งั้นอาจถึงขั้นแบตเตอรี่ไหม้ได้เลย
5. เช็คในระบบของเครื่องเอง ในระบบ iOS
การเช็คประสิทธิภาพแบตเตอรี่ใน iPhone นั้น สามารถกดเช็คดูได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้แอปพลิเคชันในการดูเพิ่มเติม โดยวิธีกดดูให้เข้าไปที่ การตั้งค่า > แบตเตอรี่ > สุขภาพแบตเตอรี่ ถ้าเมนูภาษาอังกฤษไปที่ Settings > Battery > Battery Health
เมื่อกดเข้ามาแล้ว หน้าจอในหัวข้อแรกก็จะบอกว่า ความจุสูงสุดของแบตเตอรี่ในตอนนี้ ว่าสามารถจุได้เท่าไหร่ ถัดมาเป็นการบอกประสิทธิภาพในการทำงานของ iPhone ที่ใช้อยู่ในตอนนี้ ส่วนอันสุดท้ายจะเป็นปุ่มให้เปิด ปิด Optimize ชองแบตเตอรี่ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่แบบถนอมของเครื่อง iPhone และยิ่งถ้าเลขเปอร์เซ็นต์ของแบตลดน้อยลง ก็ยิ่งบ่งบอกว่าแบตเตอรี่นั้น เริ่มเสื่อมแล้ว
ในส่วนของ Android ในเวอร์ชัน 10 ยังไม่มีฟีเจอร์นี้ ทำได้แค่ดูประสิทธิภาพของแบตเตอรี่เท่านั้น ต้องรอลุ้นกันในเวอร์ชัน 11 และ 12
การป้องกันไม่ให้แบตเสื่อม
แม้ว่าการใช้แบตเตอรี่จะหมดอายุตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เราก็สามารถป้องกันไม่ให้มันเสื่อมก่อนถึงเวลาได้ มีวิธีดังนี้
- อย่าใช้มือถือในอุณหภูมิที่ร้อนเกินไป
- ใช้อุปกรณ์การชาร์จแบตเตอรี่ ของแท้เท่านั้น
- อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดจนเครื่องดับไปเอง
- เลือกเคสที่ระบายความร้อนได้ เพราะความร้อนเป็นสาหตุที่ทำให้แบตเสื่อมได้
- หากใช้ iPhone ให้เปิดโหมด Optimized Battery Charging เพื่อถนอมแบตเตอรี่ไม่ให้เสื่อมไว
- ใช้ฟีเจอร์ Auto Brightness เพื่อให้แบตทำงานน้อยลง
- ชาร์จแบตเตอรี่อย่างถูกวิธี
สรุป
การใช้แบตเตอรี่อย่างถูกวิธี จะยิ่งช่วยทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานของมือถือดียิ่งขึ้น ถ้าสาเหตุที่ทำให้แบตเสื่อมอันไหนเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง ยิ่งใช้อย่างรักษาก็จะยิ่งเป็นการถนอมให้แบตเตอรี่ และมือถือนั้นอยู่กับเราได้นานกว่าเดิม แต่ถ้าใช้มานานแล้วก็สามารถเช็คได้ง่ายๆ ตามที่กล่าวไว้ด้านบน แล้วนี่ก็เป็นทริคดีดีที่ทาง specphone นำมาฝากกัน ถ้ามีอะไรน่าสนใจอีกเราก็จะนำมาฝากกันเรื่อยๆ นะครับ