พบกับ SmartWatch ระบบปฎิบัติการ Android Wear OS แท้ๆ เจ๋งๆ ประจำช่วงต้นปี 2023 สำหรับผู้ที่อยากได้สมาร์ทวอทช์ที่เป็นระบบ Android แท้ๆ โดยเฉพาะตอนจบ
สำหรับผู้ใช้งาน Smartwatch หลายๆ คนนั้นอาจจะยังไม่ทราบว่าจริงๆ แล้ว Smartwatch ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันนั้นมีระบบปฎิบัติการที่แตกต่างกันไปตามราคาและแบรนด์นั้นๆ อย่างไรก็ตามแต่แล้วระบบปฎิบัติการหนึ่งที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันสำหรับการใช้งานร่วมกับ Smartwatch นั้นก็คือ Android Wear OS ที่มาจากทาง Google โดยเฉพาะ
แน่นอนว่าเมื่อมาจาก Google เองทำให้ Smartwatch ระบบปฎิบัติการ Android Wear OS นั้นรองรับการใช้งานกับสมาร์ทโฟน(และแท็บเล็ต) ระบบปฎิบัติการ Android อย่างเต็มรูปแบบ นอกไปจากนั้นแล้วยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่มากกว่า Smartwatch ทั่วไปตามตลาดให้ผู้ใช้สามารถได้ปรับแต่งการทำงานได้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี Smartwatch ระบบปฎิบัติการ Android Wear OS นั้นจะเป็น Smartwatch ที่ค่อนข้างมีราคาสูงพอสมควรคือราคาอาจจะอยู่ตั้งแต่ในระดับ 4,xxx ขึ้นไป ทำให้ในปัจจุบันอาจจะยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก ทว่าเมื่อมาพร้อมกับราคาที่อาจจะสูงนิดหน่อยแล้วนั้นเรื่องของแบรนด์, ดีไซน์การออกแบบรวมไปจนถึงความทนทานและความสามารถในการใช้งานนั้นก็จะมีมากกว่า Smartwatch ที่ราคาต่ำกว่า ในช่วงเวลาเช่นนี้หากท่านต้องการมองหา Smartwatch เครื่องใหม่มาไว้ใช้งาน(หรือเป็นของขวัญให้แฟน) แล้วล่ะก็ หลังจากที่เราได้แนะนำ Smartwatch ฝั่ง Android สุดหรูไปแล้วใน รวม SmartWatch ระบบ Android Wear OS เจ๋งๆ ช่วงต้นปี 2023 ตอนที่ 1 วันนี้เราขอเสนออีก 6 SmartWatch หรูให้คุณได้เลือกสรรค์กันในตอนจบ จะมีรุ่นไหนบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย
- Fitbit Sense 2
- Garmin Venu 2 Plus
- Fossil Gen 6 Wellness Edition
- Amazfit GTR 3 Pro
- Mobvoi TicWatch Pro 3 Ultra GPS
- Garmin Instinct 2 Solar
Fitbit Sense 2
SPECIFICATIONS | Display size: 1.58-inches, AMOLED (336 x 336) Band size: Custom, OSFA Weight: 37.64g Battery life: 6+ days OS: FitbitOS Colors: Shadow Grey / Graphite, Lunar White / Platinum, Blue Mist / Soft Gold Water-resistant: ✔️ (5ATM) LTE: 🚫 GPS: ✔️ NFC: ✔️ Heart rate monitor: ✔️ Automatic workout tracking: ✔️ Sleep tracking: ✔️ Wireless charging: 🚫 |
จุดเด่น | + มีเซ็นเซอร์ GPS, HRM และ SpO2 ในตัว + มีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ + สามารถทำการทดสอบความเครียดของผู้สวมใส่ได้อย่างต่อเนื่อง + รองรับ Google Map และ Google Wallet + ใช้งาน UI ครอบทับเป็น OS-lite ที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว |
จุดด้อย | – ไม่มีแหล่งเก็บข้อมูลสำหรับเก็บเพลง – ไม่มี Google Assistant |
แบรนด์สมาร์ทวอทช์สำหรับการออกกำลังกายส่วนใหญ่(เช่น Garmin) จะเน้นให้สมาร์ทวอทช์ของตนเองรองรับการออกกำลังกายเป็นส่วนใหญ่แล้วก็ทำการเพิ่มคุณสมบัติ “อัจฉริยะ” อย่างสมาร์ทวอทช์ขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในช่วงก่อนที่ Google จะเข้าซื้อซื้อกิจการ Fitbit(ในปี 2020) Fitbit เองนั้นก็เป็นแบรนด์สมาร์ทวอทช์ที่ไม่สามารถก้าวข้ามเส้นแบ่งได้เช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้เป็นที่น่าเสียมากเพราะ Fitbit Sense 2 ที่วางจำหน่ายในปี 2022 นั้นก็ได้รับความไม่เป็น “อัจฉริยะ” มาด้วยเหมือนกัน(ถึงแม้จะวางจำหน่ายหลังจาก Google เข้าซื้อแล้ว) ไม่ว่าจะเป็นการไม่รองรับแหล่งเก็บข้อมูลสำหรับเก็บเพลงและไม่รองรับ Google Assistant แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ก็มองข้าม Fitbit Sense 2 ไปไม่ได้จริงๆ เพราะ Fitbit Sense 2 นั้นถือว่าเป็นสมาร์ทวอทช์สำหรับการติดตามสุขภาพและการออกกำลังกายที่เยี่ยมเอามากๆ
Fitbit Sense 2 ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ, ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV), ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เป็นไปได้ (AFib), ออกซิเจนในเลือด, คุณภาพการนอนหลับ, ระดับความเครียดและอุณหภูมิผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ข้อสุดท้ายที่เป็นจุดเด่นที่ทำให้ Fitbit Sense 2 โดดเด่นเอามากๆ
Fitbit Sense 2 ยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์วัดค่าไฟฟ้าสถิตแบบต่อเนื่อง (cEDA) รุ่นใหม่ที่มีการติดตามการตอบสนองของร่างกายตลอดวันเพื่อเตือนคุณหากคุณมีความเครียดมากเกินไป ในขณะที่เซ็นเซอร์อุณหภูมิสามารถเตือนคุณหากคุณกำลังเครียดหรือไม่สบาย โดย Fitbit Sense 2 จะตัดสินได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของคุณทำร้ายคุณภาพการนอนหลับของคุณหรือไม่
แม้ Fitbit Sense 2 จะไม่ได้ใช้ Android Wear OS แต่ทว่ามันก็มาพร้อมกับวิธีที่การเชื่อมต่อของ Google เพื่อใช้งานเมนูที่เหมือน Wear OS เป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นปุ่มด้านข้างที่ได้รับการปรับปรุงแบบก้าวกระโดนจากปุ่ม capacitive บน Fitbit Sense อีกทั้ง Fitbit Sense 2 ยังใช้งานแอป Google บางตัวได้อีกด้วยต่างหากเช่น Wallet และ Maps ทำให้ Fitbit Sense 2 เป็นอุปกรณ์ Fitbit ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
นอกจากนี้ Fitbit Sense 2 ยังมีการออกแบบดีไซน์หน้าปัดเรือนนาฬิกาแบบวงกลมที่มีสไตล์พร้อมหน้าจอพาแนล AMOLED ที่สว่างสดใส Fitbit Sense 2 มาพร้อมอายุการใช้งานแบตเตอรี่ 6 วัน สำหรับการใช้งานมาตรฐานต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง หากคุณอยากได้ Google Pixel Watch ที่รองรับการติดตามค่าทางด้านสุขภาพและการออกกำลังกายแบบเต็มรูปแบบแล้วล่ะก็ Fitbit Sense 2 น่าจะเป็นตัวเลือกที่คุณควรมองมากกว่า Google Pixel Watch เสียด้วยซ้ำไป
Garmin Venu 2 Plus
SPECIFICATIONS | Display size: 43mm / 1.3-inch, 416×416 AMOLED Band size: 22mm Weight: 51g Battery life: 9 days OS: Garmin Colors: Slate, Silver, Light Gold Water-resistant: ✔️ (5ATM) LTE: 🚫 GPS: ✔️ NFC: ✔️ Heart rate monitor: ✔️ Automatic workout tracking: 🚫 Sleep tracking: ✔️ Wireless charging: 🚫 |
จุดเด่น | + หน้าจอสัมผัส AMOLED ที่ใช้งานคู้กับปุ่มได้เป็นอย่างดี + รองรับการโทรศัพท์และผู้ช่วยอัจฉริยะเพราะมาพร้อมไมค์กับลำโพงในตัว + รองรับการออกกำลังกายมากมายหลายรูปแบบ + รองการติดตามข้อมูลด้านสุขภาพหลากหลายและแม่นยำ + อายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุด 9 วัน + รองรับ Garmin Pay(แต่ใช้งานในไทยไม่ได้) + มีแหล่งเก็บข้อมูลสำหรับใช้ในการเก็บเพลงโดยเฉพาะ |
จุดด้อย | – มีราคาแพงมาก – มีตัวเลือกขนาดเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น |
ผุ้ผลิตสมาร์ทวอทช์ส่วนใหญ่มักใส่ฟีเจอร์ทางด้านการติดตามการออกกำลังกายลงในสมาร์ทวอทช์หรือสมาร์ทแบนด์มาแบบเหมือนพยายามยัดเยียดลงมาทั้งหมดทำให้สมาร์ทวอทช์นั้นๆ อาจจะมาพร้อมกับดีไซน์ที่ไม่น่าดึงดูดใจมากนักรวมทั้งประสบการณ์ในการใช้งานก็ไม่ดีอีกด้วยต่างหาก ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Garmin Venu 2 Plus ที่สร้างสมดุลในทุกๆ ด้านอย่างที่ผู้ใช้คาดหวังจากสมาร์ทวอทช์ไม่ว่าจะเป็นความพรีเมียม, ดีไซน์สวยงาม, ประสบการณ์การใช้งานที่น่าพึงพอใจและราคาที่สมเหตุสมผล
Garmin Venu 2 Plus คือสมาร์ทวอทช์เวอร์ชั่นอัปเกรดของ Garmin Venu 2 ที่ได้รับการอัปเกรดอย่างแท้จริง ข้อดีของรุ่นเก่านั้นถูกนำมาใส่บน Garmin Venu 2 Plus ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหน้าจอสัมผัส AMOLED ที่สวยงามพร้อมกรอบสแตนเลส, แหล่งเก็บข้อมูลภายในสำหรับเก็บเพลง, การจ่ายด้วยการใช้สมาร์ทวอทช์ทำการแตะ, อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานและซอฟต์แวร์ทั่วไปของ Garmin ในส่วนที่ปรับปรุงนั้นสิ่งที่เด่นชัดมากที่สุดก็คือประสบการณ์การใช้งานในการสั่งการที่นำเอาหน้าจอสัมผัสและปุ่มด้านข้างมาปรับแต่งให้ใช้งานร่วมกันได้อย่างลงตัวทำให้การใช้งานต่างๆ ของผู้ใช้นั้นง่ายมากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
นอกไปจากนั้น Garmin Venu 2 Plus ยังปรับปรุงจากรุ่นก่อนโดยเพิ่มไมโครโฟนและลำโพงเข้าไปทำให้สามารถที่จะรับสายโทรศัพท์หรือพูดกับ Google Assistant, Siri และ Bixby ได้อีกด้วยต่างหาก แถมยังมีการเพิ่มปุ่มที่ห้าสำหรับทางลัดพิเศษซึ่งช่วยให้คุณเข้าถึงเครื่องมือต่างๆ เช่น Garmin Pay หรือผู้ช่วยอัจฉริยะของคุณได้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาบน Garmin Venu 2 Plus นี้ลดอายุการใช้งานแบตเตอรี่โดยประมาณลงเหลือ 9 วัน ทว่าหากมองแล้วนั้นอายุการแบตเตอรี่ของ Garmin Venu 2 Plus ก็ยังดีกว่าสมาร์ทวอทช์ระบบปฎิบัติการ Android Wear OS ส่วนใหญ่อยู่ดี
Garmin Venu 2 Plus ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์เวอร์ชั้นอัปเกรดไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติมากมายในการติดตามสุขภาพและฟิตเนสของคุณ รวมถึงมี GPS ติดตั้งบนเครื่องโดยตรงทำให้สามารถใช้งาน Garmin Venu 2 Plus นำทางได้ ยังไม่พอ Garmin Venu 2 Plus ยังมาพร้อมกับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, การติดตามการนอนหลับ, การตรวจสอบออกซิเจนในเลือดและอื่นๆ ที่ดีมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
แต่ๆ Garmin Venu 2 Plus ก็มาพร้อมกับราคาแพงมากเมื่อเทียบกับสมาร์ทวอทช์ระบบปฎิบัติการ Android Wear OS รุ่นอื่นๆ ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ถ้าคุณเป็นผู้ใช้ที่เน้นเรื่องการออกกำลังเป็นพิเศษแล้วล่ะก็เชื่อเถอะว่า Garmin Venu 2 Plus นั้นคุ้มค่าที่จะลงทุนเพราะมันมาพร้อมตัวจับเวลา HIIT ที่ยอดเยี่ยมและรองรับการออกกำลังรายรูปแบบเป็นอย่างมาก ที่สุดคัญก็คือดีไซน์ของมันนั้นดูสไตล์และสวมใส่สบายเวลาออกกำลังกายอีกด้วยต่างหาก
Fossil Gen 6 Wellness Edition
SPECIFICATIONS | Processor: Qualcomm Snapdragon 4100+ RAM: 1GB Storage: 8GB Display size: 44mm / 1.3-inch, 416 x 416 AMOLED Band size: 20mm Weight: 43g Battery life: 1 day OS: Wear OS Colors: Black, Silver Water-resistant: ✔️ (3ATM) LTE: 🚫 GPS: ✔️ NFC: ✔️ Heart rate monitor: ✔️ Automatic workout tracking: 🚫 Sleep tracking: ✔️ Wireless charging: 🚫 |
จุดเด่น | + การดีไซน์ออกแบบที่สวยงามและมีสไตล์ + มีแอปเพื่อสุขภาพที่ใช้งานได้ + มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลเพิ่มเติมที่ช่วยปรับปรุงการติดตามสุขภาพ + จอแสดงผลคุณภาพเยี่ยม + การชาร์จที่รวดเร็วเป็นพิเศษ |
จุดด้อย | – ราคาค่อนข้างแพง – อัปเดท Wear OS 3 ลบ Google Assistant ไปแล้วแทนด้วย Alexa (แต่ก็บอกว่าจะมีการเปลี่ยนกลับมาเป็น Google Assistant ในอนาคต ) |
Fossil เปิดตัว Fossil Gen 6 ออกมาหลายรุ่นเป็นอย่างมากโดยแต่ละรุ่นมีฮาร์ดแวร์และรองรับ Wear OS 3 เหมือนกัน ทว่าจุดที่แตกต่างกันของ Fossil Gen 6 ในแต่ละรุ่นนั้นก็คือการออกแบบที่แตกต่างกันทำให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานหลายรูปแบบแต่เราจะแนะนำก็คือรุ่น Fossil Gen 6 Wellness Edition ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดและเป็นรุ่นท๊อปที่สุดของ Fossil Gen 6 ตัวเครื่อง Fossil Gen 6 Wellness Edition มาพร้อมกับสีโรสโกลด์และสีเงินพร้อมหน้าปัดนาฬิกาที่ไม่เหมือนใคร
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า Fossil Gen 6 จะมีสเปคเหมือนกันแต่เปลี่ยนในส่วนของดีไซน์ให้แตกต่างกัน ดังนั้น Fossil Gen 6 ทุกรุ่นจึงมาพร้อมกับชิปเซ็ท Qualcomm Snapdragon 4100+ จับคู่กับหน่วยความจำขนาด 1GB และแหล่งเก็บข้อมูลภายในความจุ 8GB นอกไปจากนั้นแล้ว Fossil Gen 6 ทุกรุ่นยังจะมาพร้อมหน่วยประมวลผลร่วมที่ช่วยให้ Fossil Gen 6 ทุกรุ่นสามารถทำการวัดค่าทางด้านสุขภาพได้ตลอดเวลาโดยไม่ขัดขวางประสิทธิภาพและยังยืดอายุแบตเตอรี่การใช้งานด้วยอีกต่างหาก ด้วยหน่วยประมวลผลร่วมนี้จะช่วยให้ Fossil Gen 6 สามารถวัดค่าอัตราการเต้นของหัวใจที่ละเอียดยิ่งขึ้น, การติดตามการนอนหลับที่แม่นยำยิ่งขึ้นและประมวลผลค่าทางด้านสถิติที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น
แม้ว่า Fossil Gen 6 จะไม่ใช่สมาร์ทวอทช์นี่มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด แต่ทว่า Fossil Gen 6 นั้นสามารถชดเชยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สั้นด้วยการมาพร้อมกับความเร็วในการชาร์จที่เร็วอย่างเหลือเชื่อ คุณสามารถที่จะชาร์จ Fossil Gen 6 จาก 0% ให้ไปอยู่ที่ 80% ในเวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น งานนี้เรียกได้ว่าคุณสามารถที่จะถอด Fossil Gen 6 แล้วชาร์จไว้ตอนอาบน้ำหลังจากนั้นก็เอาออกมาใส่ก่อนนอนเพื่อให้ Fossil Gen 6 ช่วยติดตามข้อมูลทางด้านสุขภาพของคุณตอนที่คุณนอนหลับแล้วเหลือแบตเตอรี่ไปใช้งานในเช้าวันหนึ่งได้แบบสบายๆ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า Fossil Gen 6 จะมาพร้อมกับฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับการติดตามสุขภาพและการออกกำลังกายแต่มันอาจจะไม่มากพอสำหรับผู้ใช้ที่เน้นเรื่องการติดตามทางด้านสุขภาพและการออกกำลังกายโดยเฉพาะ ดังนั้นเราจึงไม่ขอแนะนำให้ผู้ใช้ที่เน้นเรื่องดังกล่าวเป็นพิเศษใช้งาน Fossil Gen 6
อย่างไรก็ตามหากคุณเลือก Fossil Gen 6 แล้วล่ะก็ Fossil Gen 6 ก็ยังตอบสนองต่อการใช้งานสำหรับการติดตามค่าทางด้านสุขภาพและการออกกำลังกายได้ดีในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นปุ่มหมุนด้านข้างที่ตอบสนองต่อการเลื่อนได้อย่างราบรื่นรวดเร็วสำหรับการเลือกเมนูต่างๆ ระหว่างออกกำลังกาย นอกไปจากนั้น Fossil Gen 6 ยังสามารถตรวจจับได้อีกด้วยว่าเมื่อไรที่คุณเริ่มออกกำลังกาย
Fossil Gen 6 นั้นมาพร้อมกับ Wear OS 3 ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นอย่างดี มันมอบประสบการณ์การใช้ซอฟต์แวร์ที่ที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นหากเทียบกับสมาร์ทวอทช์ของทาง Fossil ในรุ่นเก่าๆ(รวมถึงสมาร์ทวอทช์ของผู้ผลิตบางแบรนด์ที่ใช้ Wear OS กัน) ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของ Wear OS 3 บน Fossil Gen 6 ก็คือมันดันไม่มีฟีเจอร์การใช้งาน Google Assistant ทว่า Fossil บอกว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาชั่วคราาวเท่านั้นเพราะจะรอให้ทาง Google ปรับปรุงการทำงาน Google Assistant บนชิป Snapdragon ให้ดีขึ้นกว่านี้(นั่นเป็นเหตุผลที่ Fossil ใส่ผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Alexa มาให้แทน)
Amazfit GTR 3 Pro
SPECIFICATIONS | Display size: 1.45-inch AMOLED (480×480, 331ppi) Band size: 22mm Weight: 32g Battery life: 12 days OS: Amazfit OS Colors: Brown leather, infinite black Water-resistant: ✔️ (5ATM) LTE: 🚫 GPS: ✔️ NFC: 🚫 Heart rate monitor: ✔️ Automatic workout tracking: 🚫 Sleep tracking: ✔️ Wireless charging: 🚫 |
จุดเด่น | + จอแสดงผล AMOLED ที่สว่างตลอดเวลา + แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนาน + รองรับการโทรศัพท์ผ่านทาง Bluetooth + รองรับผู้ช่วยอัจฉริยะ Alexa + การติดตามข้อมูลด้านสุขภาพและการออกกำลังกายมีเยอะมาก |
จุดด้อย | – ไม่สามารถติดตั้งแอปพลิเคชั่นเพิ่มเติมผ่าน Google Play Store ได้ – Amazfits รุ่นอื่นๆ มีราคาไม่แพงมาก ซึ่งอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้บางคน |
Amazfit มีสมาร์ทวอทช์หลากหลายประเภทที่จัดอยู่ในหมวดหมู่สมาร์ทวอทช์ Android ราคาประหยัด ซึ่งสมาร์ทวอทช์ราคาประหยัดของทาง Amazfit นั้นจะใช้งาน Amazfit OS แทน Wear OS ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณจะไม่ได้รับฟีเจอร์การผสานรวมกับสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android แบบเดียวกันที่สมาร์ทวอทช์ระบบปฎิบัติการ Wear OS สามารถทำได้
ที่สำคัญก็คือคุณจะไม่สามารถโหลดแอปพลิเคชั่นผ่านทาง Google Play Store สำหรับ Wear OS ลงบนสมาร์ทวอทช์ได้อีกด้วย ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า Amazfit นั้นมีสมาร์ทวอทช์ที่ให้ประสบการณ์ในการติดตามสุขภาพและการออกกำลังกายที่ดีเยี่ยม นอกจาไปนั้นแล้วสมาร์ทวอทช์ของทาง Amazfit เองนั้นก็มีความหลากหลายและมีความสวยงาม
ถึงแม้ Amazfit OS จะไม่ได้ดีเทียบเท่ากับ Android Wear OS ก็ตามทว่าสำหรับผู้ที่มองหาสมาร์ทวอทช์ระบบปฎิบัติการอื่นๆ ที่มีความสามารถคล้ายๆ กันกับ Android Wear OS และมีราคาถูกกว่าแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำ Amazfit GTR 3 Pro ซึ่งเป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีที่คุ้มค่ามากที่สุดในเรื่องของราคา(หากเทียบกับสมาร์ทวอทช์ที่เราแนะนำในบทความนี้ทั้งตอนที่ 1 และตอนจบ)
Amazfit GTR 3 Pro มาพร้อมไมโครโฟนและลำโพง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถรับสายที่ข้อมือหรือรับเสียงตอบรับและสั่งงานกับ Alexa ที่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทาง Amazfit เลือกใช้ได้ นอกไปนั้นแล้ว Amazfit GTR 3 Pro ยังมาพร้อมกับดีไซน์พรีเมียมและวัสดุที่ดูดีอย่างส่วนของเคสที่เป็นอะลูมิเนียมคุณภาพสูงซึ่งทำให้ Amazfit GTR 3 Pro นั้นมีรูปลักษณ์ดีไซน์ที่หรูหรามากกว่าสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่นๆ ของ Amazfit อย่างสิ้นเชิง
ยังไม่หมดแค่เพียงเท่าั้น Amazfit GTR 3 Pro นั้นถือว่าเป็นสมาร์ทวอว์ทที่ตอบสนองการสั่งงานในการทำงานด้านต่างๆ ของคุณได้อย่างรวดเร็ว การนำทางด้วย GPS นั้นถึงแม้จะไม่ได้ใช้ Google Map ที่หลายๆ คนคุ้นเคย ทว่า Amazfit GTR 3 Pro ก็ทำระบบนำทางออกมาให้ใช้งานได้ง่าย นอกไปจากนั้นการติดตามค่าทางด้านสุขภาพก็ราบรื่นไม่ว่าจะเป็นการตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, ออกซิเจนในเลือด, ระดับความเครียดและคุณภาพการนอนหลับ
เหนือสิ่งอื่นใด Amazfit GTR 3 Pro นั้นมาพร้อมแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 12 วันต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งทำให้เหมาะเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่ไม่ชอบชาร์จบ่อยๆ อย่างไรก็ตามอายุการใช้งานแบตเตอรี่จะลดลงเมื่อมีการใช้งานการติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่องหรือเปิดใช้งานฟีเจอร์การแสดงผลบนหน้าจอตลอดเวลา(AOD) ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วนั้นจะมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่อยู่ที่ราวๆ 6 วันซึ่งก็ยังสูงกว่าสมาร์ทวอทช์ระบบปฎิบัติการ Android ของแบรนด์อื่นๆ อยู่ดี
Mobvoi TicWatch Pro 3 Ultra GPS
SPECIFICATIONS | Processor: Qualcomm Snapdragon 4100 RAM: 1GB Storage: 8GB Display size: 48mm / 454×454 AMOLED + FSTN Band size: 22mm Weight: 41g Battery life: 3 days OS: Wear OS Colors: Shadow Black Water-resistant: ✔️ (IP68) LTE: 🚫 GPS: ✔️ NFC: ✔️ Heart rate monitor: ✔️ Automatic workout tracking: ✔️ Sleep tracking: ✔️ Wireless charging: 🚫 |
จุดเด่น | + มี GPS ในตัว + ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม + ปรับปรุงการแสดงผลแบบสองชั้น + ความทนทานดีเยี่ยม + อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น + รองรับ Google Pay |
จุดด้อย | – ราคาค่อนข้างแพง – ใหญ่เกินไปสำหรับข้อมือบางคน – ยังไม่ได้รับการอัปเดทเป็น Wear OS 3 |
เวลาที่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งบอกเราว่าทางแบรนด์จะมีการปล่อยผลิตภัณฑ์รุ่นปรับปรุงออกมาใหม่นั้นหลายครั้งมากที่ผู้ใช้อย่างเราๆ ท่านๆ จะเดาได้ยากมากว่าการปรับปรุงดังกล่าวนั้นจะมาในรูปแบบไหนและคุ้มหรือไม่หากจะเปลี่ยนมาใช้รุ่นปรับปรุงที่ออกมาจำหน่ายใหม่ ทว่ากับ Mobvoi นั้นแตกต่างออกไปเพราะบน TicWatch Pro 3 Ultra GPS นั้นถือได้ว่าเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ได้รับการปรับปรุงจากรุ่นพี่ของมันอย่าง TicWatch Pro 3 ในทุกๆ ด้าน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบปรับแต่งอะไรด้วยตัวเองบ้างล่ะก็คุณจะประทับใจกับการออกแบบที่ประณีตของการมีไฟพื้นหลังที่ปรับแต่งได้ใหม่บนชั้นบนสุดของจอแสดงผลบน TicWatch Pro 3 Ultra GPS นอกไปจากนั้น Mobvoi ยังเปิดตัวคุณสมบัติซอฟต์แวร์ใหม่อย่าง TicHealth ซึ่งมีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานสมาร์ทวอทช์สำหรับติดตามค่าทางด้านสุขภาพ นอกจากนั้น TicWatch Pro 3 Ultra GPS ยังมาความทนทานมากกว่ารุ่นก่อนหน้าด้วยการรองรับมาตรฐาน MIL-STD-810G อีกด้วยต่างหาก
อย่างที่บอกไปว่าหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าสนใจที่สุดของ TicWatch Pro 3 Ultra GPS คือจอแสดงผลแบบสองชั้นที่ชั้นหนึ่งมีไฟพื้นหลังซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้เอง(พร้อมตัวเลือกสีสดใส 18 สีที่ทำให้อ่านค่าต่างๆ ได้ง่าย) ส่วนอีกชั้นนั้นจะช่วยให้คุณสามารถทำการปรับแต่งการแสดงผลเพื่อให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น(ตามความต้องการ)
TicWatch Pro 3 Ultra GPS สามารถใช้งาน 3 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้งสำหรับการใช้งานแบบปกติ ซึ่งการใช้งานปกตินี้หมายถึงคุณได้ทำการเปิดฟีเจอร์การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจและการติดตามออกซิเจนในเลือดตลอด 24 ชั่วโมง, Wi-Fi, บลูทูธ, การติดตามการนอนหลับ, การแจ้งเตือนและแม้แต่การออกกำลังกายหนึ่งหรือสองครั้ง งานนี้เรียกได้ว่าเหมาะเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่อยากใช้งานสมาร์ทวอทช์แบบไม่ต้องชาร์จนานๆ โดยที่ยังต้องการสมาร์ทวอทช์ที่มาพร้อมกับดีไซน์หรูหรา, น้ำหนักไม่มากและราคาไม่ได้สูงเกินไปหากเทียบกับ Galaxy Watch 5 Pro
ข้อเสียอย่างเดียวของ TicWatch Pro 3 Ultra GPS ก็คือทาง Mobvoi ยังไม่ได้ปล่อยอัปเดท Wear OS 3 ออกมาให้ผู้ใช้ได้อัปเดทกันทั้งๆ ที่ตอนแรกสัญญาไว้ว่าจะปล่อยออกมาตั้งแต่ในปี 2022 และตอนนี้เองนั้นทาง Mobvoi เองนั้นก็ยังคงเงียบอยู่ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่กับอัปเดท Wear OS 3 สำหรับ TicWatch Pro 3 Ultra GPS
Garmin Instinct 2 Solar
SPECIFICATIONS | Display size: 0.9-inch, 176 x 176 AMOLED Band size: 22mm Weight: 53g Battery life: 2-day OS: Garmin OS Colors: Graphite, Electric Lime, Mist Gray, Tidal Blue Water-resistant: ✔️ (10ATM), MIL-STD-810G LTE: 🚫 GPS: ✔️ NFC: ✔️ Heart rate monitor: ✔️ Automatic workout tracking: ✔️ Sleep tracking: ✔️ Wireless charging: ✔️ (Solar) |
จุดเด่น | + ชาร์จโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ + อายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุดถึง 65 วัน + มีรุ่นพิเศษที่แตกต่างกัน(รุ่นย่อย) ให้เลือกซื้อได้ด้วย + ความสามารถในการติดตามกิจกรรมการออกกำลังการที่ยอดเยี่ยม + กันน้ำได้ถึง 10ATM |
จุดด้อย | – คุณสมบัติอัจฉริยะต่างๆ มีน้อยเอามากๆ – ไม่สามารถรับสายโทรศัพท์จากตัวสมาร์ทวอทช์ได้ – ราคาแพงสุดๆ(เพราะโซลาร์เซลล์) |
สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาของ Smartwatch ระดับพรัเมียมมาโดยตลอดก็คือเรื่องของเทคโนโลยีการชาร์จที่ส่วนใหญ่แล้วแต่ละผู้ผลิตจะมีจะใช้เทคโนโลยีการชาร์จแบบไร้สายที่เรียกว่า Qi ซึ่งในการชาร์จนั้นจะต้องใช้เวลาในการชาร์จพอสมควร แน่นอนว่าสิ่งนี้นั้นทำให้ผู้ใช้จำเป็นที่จะต้องถอด Smartwatch ออกจากข้อมือเพื่อที่จะทิ้งไว้สำหรับชาร์จในเป็นช่วงเวลาหนึ่ง นอกไปจากนั้นแล้วผู้ผลิตแต่ละแบรนด์ก็มักจะมีสายชาร์จเป็นของตัวเองซึ่งแตกต่างกันไปทำให้ใช้งานร่วมกันไม่ได้ ข้อจำกัดตรงนี้จะหมดไปเมื่อคุณได้พบกับ Garmin Instinct 2 Solar ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการชาร์จด้วยแสงอาทิตย์ผ่านทางโซลาร์เซลล์ในตัว
Garmin Instinct 2 Solar ให้สร้างความแตกต่างด้วยการยอมให้คุณวาง Smartwatch ของคุณไว้ที่ขอบหน้าต่างและปล่อยให้ Smartwatch ชาร์จไปได้แบบที่ไม่ต้องพกพาสายชาร์จไปไหนมาไหนให้แกะกะซึ่งหากจะว่าไปแล้วนี่คือข้อดีที่สุดของ Garmin Instinct 2 Solar(นอกเหนือไปจากเรื่องของการรองรับการติดตามการออกกำลังกายที่มากมาย) แต่สิ่งที่อาจจะต้องทำให้คุณคิดหนักหน่อยก็คือ Garmin Instinct 2 Solar นั้นไม่ค่อยที่จะเป็น Smartwatch มากสักเท่าไรเพราะคุณสมบัติในเรื่องของการเป็น Smartwatch นั้นหากเทียบกับ Smartwatch รุ่นอื่นๆ แล้ว Garmin Instinct 2 Solar ถือว่ามีความเป็น Smartwatch น้อยเอามากๆ
อย่างไรก็ตาม Garmin Instinct 2 Solar ถูกทดแทนด้วยคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอื่นๆ เช่นการกันน้ำได้สูงที่ระดับน้ำ 10ATM, สายรัดซิลิโคนที่สวมใส่สบาย, รองรับ Garmin Pay(ซึ่งยังใช้ในไทยไม่ได้), เซ็นเซอร์ Elevate v4 ที่ปรับปรุงใหม่เพื่อการติดตามอัตราการเต้นของหัวใจที่แม่นยำและการป้องกันการตกกระแทก MIL-STD-810G ซึ่งเป็นความแข่งแกร่งในระดับทหารเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้ Garmin Instinct 2 Solar ดีที่สุดคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งตามข้อมูลของ Garmin Instinct 2 Solar นั้นพบว่าจะมีอายุการใช้งานปกติสูงสุด 28 วันและสูงสุด 65 วันเมื่อใช้งานในโหมดนาฬิกาประหยัดแบตเตอรี่ หากคุณเป็นนักออกกำลังกายที่ต้องใช้ GPS แล้วล่ะก็ Garmin Instinct 2 Solar สามารถที่จะเปิด GPS เพื่อใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานสูงสุด 30 ชั่วโมงเลยทีเดียว(แน่นอนว่าเวลาเหล่านี้สามารถเพิ่มได้อีกจากการชาร์จที่เพียงแค่วาง Garmin Instinct 2 Solar ให้โดนแดดเอาไว้)
ดังนั้นแล้ว Garmin Instinct 2 Solar จึงเหมาะสมเป็นอย่างมากสำหรับผู้ใช้ที่เน้นการทำงานนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่(หรือผู้ใช้ที่ไม่ได้อยู่ในสำนักงานที่จะหาที่ชาร์จได้ตลอดเวลา) และหากคุณเน้นเรื่องอายุการใช้งานของสมาร์ทวอท์ชมากกว่าฟีเจอร์ความอัจฉริยะแล้วล่ะก็ Garmin Instinct 2 Solar น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับคุณเป็นอย่างยิ่ง
และนี่คือ Smartwatch 6 รุ่นสุดท้ายประจำต้นปี 2023 ที่เรานำมาแนะนำให้ทุกท่านได้ดูกัน การเลือก Smartwatch ระบบปฎิบัติการ Android Wear OS นั้นจริงๆ แล้วยังมีอีกหลายรุ่นหลายราคา อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นสิ่งหนึ่งที่ Smartwatch ระบบปฎิบัติการ Android Wear OS มีความเจ๋งและหรูหราดูฟรีเมียมกว่า Smartwatch ที่ใช้ระบบปฎิบัติการอื่นๆ (จะยกเว้นก็แต่ของทาง Huawei) ทว่ามันก็มาพร้อมกับราคาที่ค่อนข้างสูง แต่เชื่อเถอะว่าราคาที่สูงนั้นมาพร้อมกับความคุ้มค่าคุ้มราคากับเงินที่คุณจะต้องเสียไปอย่างแน่นอน(หากคุณเป็นคนที่ไม่ได้เปลี่ยน Smartwatch บ่อยๆ นะ)
ที่มา : androidcentral