หลังจาก Asus ได้ปล่อย Zenfone 2 ออกวางจำหน่ายก็นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับวงการสมาร์ทโฟนเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะมุ่งเน้นในด้านของความคุ้มค่าแล้ว ความโดดเด่นในด้านของดีไซน์ก็ถือได้ว่าไม่เป็นรองใครเลยล่ะครับ อีกทั้งราคาของ Zenfone 2 ยังเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานได้อย่างทั่วถึง สเปคของตัวเครื่องก็เรียกได้ว่าออกมาให้เลือกซื้อกันชนิดที่ว่าเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว วันนี้ผมจะมารีวิวสมาชิกใหม่จากอารยธรรมเซนซึ่งก็คือ ZenFone 2 Deluxe หลายคนเริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมครับว่าทำไม Zenfone 2 Deluxe และ Zenfone 2 รุ่น Ram 4 GB ถึงใช้รหัสรุ่นเป็น (ZE551ML) เหมือนกัน สเปคจะมีอะไร แตกต่างจาก Zenfone 2 รุ่น Ram 4GB บ้าง ไปติดตามกันได้เลยครับ
สเปค Zenfone 2 Deluxe (ZE551ML)
- ชิปประมวลผล Intel Atom Z3580 Quad Cores 64-bit ความเร็ว 2.3 GHz
- ชิปกราฟฟิก PowerVR Rogue G6430
- Android 5.0 มาพร้อม Zen UI 2.0
- แรม 4 GB
- หน่วยความจำภายใน 128 GB
- หน้าจอขนาด 5 นิ้ว ความละเอียดแบบ Full HD ( 1080 x 1920 ) Corning Gorilla Glass 3
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล PixelMaster 2.0 พร้อมแฟลชคู่แบบ Real Tone
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล PixelMaster 2.0
- รองรับ Micro SD สูงสุด 128 GB
- รองรับการใช้งาน 2 ซิม 3G/4G LTE ทุกเครือข่าย ( ซิม 2 สามารถใช้ 2 G ได้เท่านั้น )
- แบตเตอรี่ Li-Polymer 3000 mAh แบบไม่สามารถถอดได้
- ราคา 12,990 บาท
ดูจากสเปคคร่าวๆเราจะเห็นได้ว่า Zenfone 2 Deluxe น้องใหม่ของเรานั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างจากรุ่นพี่อย่าง Zenfone 2 (ZE551ML) เลยครับ เว้นแต่ส่วนที่ผมทำตัวหนาไว้เท่านั้น โดยราคาของ Zenfone 2 Deluxe แพงกว่ารุ่นพี่อย่าง Zenfone 2 (ZE551ML) เพียง 1,000 บาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้เพิ่มมา คือหน่วยความจำภายในที่เพิ่มจากเดิมถึง 64 GB เลยทีเดียว สำหรับคนที่กำลังจะซื้อ Zenfone 2 ผมเชื่อว่าอาจจะเปลี่ยนใจมาซื้อ Zenfone 2 Deluxe ได้ไม่ยากเลยล่ะครับ
จุดเด่น
– ตัวเครื่องมีแรมเยอะสามารถเปิดแอพพลิเคชั่นได้พร้อมกันหลายแอพพลิเคชั่น
– หน่วยความจำในตัวเครื่องสูงถึง 128 GB รองรับ Micro SD 128 GB หมดปัญหาเรื่องแอพพลิเคชั่นเต็ม
– งานประกอบทำได้แน่นหนา
– มีฟีเจอร์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง เช่น BoostMaster
ข้อสังเกต
– ปุ่ม Power อยู่ด้านบนค่อนข้างกดยาก และ ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง อยู่ด้านหลังตัวเครื่อง เวลาใช้งานจริงค่อนข้างลำบาก
– แอพพลิเคชั่นบางแอพพลิเคชั่นยังเกิดปัญหาจากความเข้ากันได้ของชิพ Intel ทำให้ เกิดปัญหาขณะใช้งานอยู่บ้าง
– ตัวเครื่องค่อนข้างมีน้ำหนัก
บทสรุป
หากใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่ราคาปานกลางแต่ได้สเปคเทียบเท่าเรือธง หลายรุ่นอาจจะเลือกซื้อได้ไม่ยาก เพราะนอกจากความเร็วแรงของเครื่องแล้ว หน่วยความจำของตัวเครื่องก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าประหยัดงบประมาณในการซื้อ Micro SD ไปได้มากทีเดียว เพราะ Zenfone 2 Deluxe มาพร้อมหน่วยความจำมากถึง 128 GB และด้วยรูปลักษณ์ของตัวเครื่องที่มาในดีไซน์แบบ Crystal Cut ที่ดูสวยงาม งานประกอบที่แน่นหนา อีกทั้งยังมีแรมสูงถึง 4 GB ที่จะทำให้การใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง เพียงเท่านี้ Zenfone 2 Deluxe อาจจะเป็นสมาร์ทโฟนในฝันของใครหลายคนก็เป็นได้ โดยราคาจำหน่าย Zenfone 2 Deluxe จะอยู่ที่ 12,990 เท่านั้น
BEST PRICE
Design
พูดถึงเรื่องดีไซน์กับบ้างดีกว่า Zenfone 2 Deluxe จะมีทั้งหมด 2 สีด้วยกันนั่นคือสี Stardust Purple และสี White Pearl เครื่องที่เราจะมารีวิววันนี้จะเป็นสี White Pearl ครับ Zenfone 2 Deluxe มาพร้อมดีไซน์ที่เราอาจจะคุ้นตากันดีเพราะเรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบรุ่นพี่อย่าง Zenfone 2 (ZE551ML) มาทุกประการเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเหมือนกันเป๊ะเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ครั้งนี้ได้เพิ่มเติมความสวยงามให้กับตัวเครื่องมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ด้านหน้าของตัวเครื่องจะเป็นหน้าจอ IPS ขนาด 5.5 นิ้วแบบ Full HD ( 1080 x 1920 ) พร้อมเทคโนโลยีกันรอยขีดข่วนแบบ Corning Gorilla Glass 3 ความหนาแน่นพิกเซลอยู่ที่ 401 ppi แน่นอนว่าหน้าจอของ Zenfone 2 Deluxe ยังคงมีความสดใสและสีสันที่สวยงามเช่นเดียวกับ Zenfone 2 (ZE551ML) หน้าจอสามารถสู้แสงแดดได้เป็นอย่างดีการตอบสนองต่อการสัมผัส ก็ทำได้อย่างดีอีกเช่นเคย พื้นที่ของหน้าจอคิดเป็นประมาณ 72 % ของตัวเครื่องด้านหน้า
ด้านบนของหน้าจอจะประกอบไปด้วยกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซลที่มีเทคโนโลยี PixelMaster 2.0 มาช่วยคมชัดมากยิ่งขึ้น ใกล้กันเป็นลำโพงสนทนา และเซ็นเซอร์ Proximity Sensor ที่จะช่วยปิดหน้าจอในขณะที่เราสนทนาเพื่อเป็นการประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่สมาร์ทโฟนทุกเครื่องควรจะมีเซ็นเซอร์นี้อยู่
ด้านล่างของหน้าจอจะเป็นปุ่มควบคุมแบบสัมผัสของตัวเครื่องซึ่งในรุ่นนี้ก็ยังคงไม่มีไฟ LED ใส่มาให้ครับ ทำให้การใช้งานเวลากลางคืนอาจจะต้องอาศัยความเคยชินอยู่บ้างและที่ด้านล่างสุดของหน้าจอจะเป็นพลาสติกขัดเงาให้ความรู้สึกคล้ายกับโลหะ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเอกลักษณ์ของ Zenfone ไปซะแล้ว ด้านข้างของตัวเครื่องบางเพียง 3.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ทั้งสองด้านไม่มีปุ่มควบคุมใด ๆนอกจากช่องสำหรับแกะฝาหลังที่ด้านขวาของหน้าจอ
ด้านบนของตัวเครื่องมีปุ่ม ปิด/เปิด เครื่อง ใกล้ๆกันเป็นช่องสำหรับเสียบหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร และไมค์ตัดเสียงรบกวน ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องสำหรับชาร์จแบตเตอรี่และเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แบบ Micro USB และไมค์สนทนา จุดเด่นที่จะไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้นั่นก็คือด้านหลังของตัวเครื่อง เพราะคราวนี้ ASUS ได้เปลี่ยนดีไซน์ใหม่ทั้งหมดจากเดิมที่เคยใช้พลาสติกขัดเงาจนดูคล้ายกับโลหะเปลี่ยนมาเป็นฝาหลังแบบ Crystal Cut ลายโพลีกอนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้ตัวเครื่องดูหรูหราขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้านหลังของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วย กล้องขนาด 13 ล้านพิกเซลพร้อมเทคโนโลยี Pixel Master 2.0 ที่ช่วยเพิ่มความคมชัดของภาพ ทำให้ได้ภาพที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
และจุดเด่นที่จะไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ นั่นก็คือด้านหลังของตัวเครื่อง เพราะคราวนี้ ASUS ได้เปลี่ยนดีไซน์ใหม่ทั้งหมดจากเดิมที่เคยใช้พลาสติกขัดเงาจนดูคล้ายกับโลหะเปลี่ยนมาเป็นฝาหลังแบบ Crystal Cut ลายโพลีกอนสะท้อนแสงที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้ตัวเครื่องดูหรูหราขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้านหลังของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วย กล้องขนาด 13 ล้านพิกเซลพร้อมเทคโนโลยี Pixel Master 2.0 โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ ด้านบนของกล้องจะเป็นแฟลชคู่ LED แบบ Real Tone ที่ช่วยให้สีผิวมีสีสันสมจริงมากยิ่งขึ้นเวลาถ่ายภาพในที่แสงน้อย
ด้านล่างของกล้องจะเป็นปุ่มลด/เพิ่ม เสียง และเราจะเห็นโลโก้ ASUS เด่นชัดอยู่ตรงกลางฝาหลังและที่ด้านล่างสุดจะเป็นช่องลำโพงซึ่งยังคงเป็นลำโพงเดี่ยวเหมือนเดิม เสียงที่ออกมาจากลำโพงจัดว่าธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ตัวเครื่องมีงานประกอบที่แน่นหนาดีทีเดียว ถึงแม้ว่าวัสดุจะทำจากพลาสติก แต่กลับให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง มีจุดสังเกตเล็กน้อยว่าฝาหลังของตัวเครื่องแกะยากไปหน่อย ถ้าใครเล็บสั้นๆ นี่แกะทีเจ็บนิ้วเลย
เมื่อเปิดฝาหลังจะพบแบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh แบบไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ช่องใส่ซิมการ์ด แบบ Micro Sim 2 ช่องโดยช่องที่หนึ่งจะรองรับการใช้งาน 2G/3G/4G ทุกเครือข่ายแต่ในขณะที่ ช่องที่ 2 จะรองรับการใช้งานแค่ 2G เท่านั้น ช่องใส่ Micro SD (รองรับความจุสูงสุด 128 GB) และที่ฝาหลังด้านในจะเป็นเซนเซอร์สำหรับใช้งาน NFC โดยรวมสำหรับการออกแบบยังคงทำได้ดีเหมือนเดิม การพกพาก็ทำได้สะดวก เพราะตัวเครื่องมีน้ำหนักเพียง 170 กรัมเท่านั้น และด้วยการดีไซน์แบบ Crystal Cut ทำให้เราสามารถถือ Zenfone 2 Deluxe ได้กระชับมือมากยิ่งขึ้น
Software
Zenfone 2 Deluxe มาพร้อม Android 5.0 ครอบทับด้วย Zen UI 2.0 แน่นอนว่ารองรับแอพพลิเคชั่นใหม่ๆได้อย่างแน่นอนครับรวมไปถึงยังมีแอปพลิเคชันติดตั้งมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันพื้นฐานจาก Google และแอปพลิเคชัน เบ็ดเตล็ด ต่างๆ อย่างเช่น แอปพลิเคชันเครื่องคิดเลข, เครื่องบันทึกเสียง, เข็มทิศ และวิทยุ FM Stereo นอกจากแอพพลิเคชั่นจากGoogle แล้ว ASUS ยังใส่ฟีเจอร์ต่างๆที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานมาให้อีกด้วย
การเข้าถึง Google Now ก็ทำได้อย่างรวดเร็วโดย เราสามารถเข้าถึง Google Now ได้ด้วยการกดปุ่ม Home ค้างไว้ประมาณ 2 วินาทีเท่านั้น Zenfone 2 Deluxe ให้หน่วยความจำภายในถึง 128 GB ( เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 112 GB ) เรียกได้ว่าแทบไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่ม Micro SD เข้าไปอีกเลยล่ะครับ แต่ถ้ายังไม่จุใจก็ยังสามารถใส่ Micro SD เพิ่มได้อีก 128 GB เยอะสะใจเลยทีเดียว และด้วย Ram ที่ให้มาถึง 4 GB ก็สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นพร้อมกันหลายแอพพลิเคชั่นได้สบายๆ
Feature
ASUS Zenfone 2 Deluxe มาพร้อมฟีเจอร์ที่หลากหลายและมีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งวันนี้ผมจะมาพูดถึงฟีเจอร์ที่ใช้งานหลักๆ ว่าจะมีฟีเจอร์อะไรบ้าง ติดตามได้เลยครับ
Zen Motion
เป็นฟีเจอร์แรกที่ต้องพูดถึง เนื่องจากเราจะใช้งานฟีเจอร์นี้บ่อยที่สุด พูดอีกอย่างก็คือ Gesgure นี่ล่ะครับ โดยหลักๆจะเน้น Touch Gesgure หรือแบบสัมผัสนั่นเอง เป็นการใช้งานแบบสัมผัสขณะเครื่องอยู่ในโหมด Sleep สามารถตั้งค่าได้อย่างหลากหลาย เช่น
- แตะที่หน้าจอสองครั้งเพื่อเปิด/ปิด หน้าจอ( แทนการกดด้วยปุ่ม Power )
- วาด W เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น Browser
- วาด S เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น ข้อความ
- วาด E เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น E-mail
- วาด C เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น กล้อง
- วาด Z เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น Asus Boost
- วาด V เพื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น โทรศัพท์
และเรายังสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเป็นแบบที่เราต้องการได้เช่น วาด C เพื่อเปิดเพลงหรือแอพพลิเคชั่นอื่นๆตามที่เราต้องการโดยจะมีรูปแบบการวาดทั้งหมด 6 แบบด้วยกัน
และนอกจากนี้ยังมีโหมดใช้งานมือเดียวครับ เราจะเข้าสู่โหมดนี้ด้วยการกดปุ่ม Home 2 ครั้งโดยจะย่อส่วนหน้าจอให้เล็กลงจนเราสามารถใช้งานมือเดียวได้ ซึ่งก็สะดวกและมีประโยชน์เหมือนกัน อย่างเช่นเวลาที่เราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถใช้สองมือได้ถนัด ก็เปลี่ยนมาใช้โหมดใช้งานมือเดียว ก็ใช้งานได้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
การปรับแต่ง Theme และ Font
แน่นอนว่าเราอาจจะได้เห็นการตั้งค่าการใช้งานที่หลากหลาย จากมือถือสัญชาติจีนเป็นส่วนใหญ่ และ Zen UI 2.0 ก็สามารถทำได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนธีม เปลี่ยนไอคอนต่างๆในเครื่อง ซึ่งตอนนี้ ASUS ก็ได้เริ่มทยอยปล่อยธีมใหม่ออกมาให้ได้ใช้งานกันเรื่อยๆ และเรายังสามารถดาวน์โหลดไอคอนจาก Play Store มาลงที่เครื่องได้อีกด้วย
ส่วนในเรื่องของการปรับแต่ Font นั้นก็ทำได้ง่ายมาก เพียงแค่โหลด Font จาก Play Store มาติดตั้ง จากนั้นให้เข้าที่ การตั้งค่า > การแสดงผล > ลักษณะแบบอักษร
Font ที่เราทำการดาวน์โหลดมาจะปรากฏอยู่ในตัวเลือก ทั้งนี้ยังสามารถปรับแต่งส่วนอื่นได้ เช่น ความโปร่งใสของแถบสถานะ เปลี่ยนภาพพื้นหลังในแอพพลิเคชั่นพื้นฐานของเครื่อง ซ่อนแอพพลิเคชั่นที่เราไม่ต้องการให้แสดงอยู่ใน App Drawer ก็สามารถทำได้ครับ
ASUS Mobile Manager
เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มักจะใช้งานบ่อย โดยฟีเจอร์นี้จะมุ่งเน้นไปที่การจัดการทรัพยากรในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแบตเตอรี่ CPU หรือการรันแอพพลิเคชั่น โดยจะแบ่งเป็น 4 หมวดด้วยกันนั่นก็คือ
- Power Saver เลือกโหมดประหยัดพลังงาน แบบต่างๆ
- Auto-Start อนุญาตว่าเราจะให้แอพพลิเคชั่นใดเริ่มทำงานตั้งแต่เปิดเครื่อง
- Data Usage รายงานผลการใช้งาน 3G+Wifi
- Notifications อนุญาตว่าจะให้แอพพลิเคชั่นใดแสดงการแจ้งเตือนข่าวสารต่างๆ
Kids Mode
เป็นฟีเจอร์ที่เรียกได้ว่าออกแบบมาสำหรับเด็กๆโดยเฉพาะเลยก็ว่าได้ครับ บ่อยครั้งที่เวลาเผลอเด็กๆอาจจะมาหยิบโทรศัพท์ของเราเล่นและอาจจะเผลอกดโทรออกโดยไม่ตั้งใจ หรืออาจจะตั้งค่าล็อคเครื่องโทรศัพท์ของเราเลยทีเดียว จุดนี้ ASUS จึงได้ใส่ฟีเจอร์นี้เข้ามาเพื่อให้ผู้ปกครองนั้นสามารถควบคุมบุตรหลานในขณะที่ให้เด็กเล่นโทรศัพท์ได้ครับ โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้เด็กเล่นแอพพลิเคชั่นใดได้บ้าง เล่นได้กี่นาที รวมไปถึงการบล็อกสายโทรเข้าเพื่อป้องกันลูกหลานของเรารับสายในขณะที่กำลังเล่นเกมส์ต่างๆ ซึ่งจุดนี้ถือว่าทำได้ดีครับ
BoostMaster
เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่ของเราทำได้รวดเร็วขึ้น โดยสามารถชาร์จถึง 60% ใช้เวลาเพียง 39 นาทีเท่านั้น ทดสอบโดยการใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือประมาณ 20% นิดๆ แล้วเสียบสายชาร์จพบว่าเวลาผ่านไปประมาณ 40 นาทีปริมาณแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นถึง 60% เลยทีเดียวจัดเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์มากครับ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะสอดคล้องกับ Power Saver หรือโหมดประหยัดพลังงาน ถ้าเราเลือกเป็นโหมด Super Saving ตัว ASUS Zenfone 2 Deluxe ก็จะทำการปิดการรับส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ททำให้สามารถชาร์จเร็วขึ้นอีกครับ
Camera
ASUS Zenfone 2 Deluxe มาพร้อมกับกล้อง 13 พิกเซลพร้อมเทคโนโลยี PixelMaster 2.0 ที่จะช่วยให้ภาพมีความคมชัดมากขึ้นไปอีก ส่วนกล้องหน้าขนาด 5 ล้านพิกเซลก็ทำหน้าที่ในระดับทั่วไปได้เป็นอย่างดี จะว่าไปแล้วเรื่องกล้องของ Zenfone 2 Deluxe นั่นเรียกได้ว่าไม่แตกต่างจาก Zenfone 2 ( ZE551ML ) เท่าไร ฟังก์ชั่นก็ครบครันเหมือนเดิม โดยจะมีโหมดการถ่ายภาพมากถึง 19 โหมดด้วยกันเลยทีเดียว
แต่ที่ผมจะนำเสนอจะเป็นโหมดที่เราใช้งานกันบ่อยๆ นั่นก็คือ โหมด Beautification, Low Light, Super Resolution และ Manual
- Beautification หรือเราอาจเรียกว่าโหมดบิวตี้ก็ได้ครับ โหมดนี้อาจจะถูกใจสาวๆที่ชอบถ่ายเซลฟี่ครับ เพราะสามารถปรับแต่งได้หลากหลายครับ ไม่ว่าจะเป็นผิวเนียน ปรับโทนสีผิว หน้าเรียว ตาโต ก็สามารถปรับได้ตามใจครับ
- Low Light คือการปรับแต่งเม็ดพิกเซลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มความสว่างต่อพิกเซลให้มากขึ้น พูดง่ายๆก็คือสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น แต่การเปิดใช้ฟังก์ชั่นนี้ความละเอียดของกล้องถ่ายภาพจะถูกลดลงเหลือเพียง 3 ล้านพิกเซลเท่านั้นแต่ได้รายละเอียดของภาพที่ชัดเจนขึ้นครับ
- Super Resolution เป็นโหมดที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพด้วยความละเอียดสูงถึง 52 ล้านพิกเซลโดยหลักการทำงานคือระบบจะถ่ายภาพไว้ทั้งหมด 4 ครั้งแล้วจึงประมวลเข้าเป็นภาพความละเอียดสูง เหมาะสำหรับการนำภาพไปปรับแต่งต่อไป แต่ข้อเสียของการถ่ายภาพด้วยโหมดนี้นั่นก็คือไฟล์ภาพจะค่อนข้างใหญ่เพราะเกิดจากการรวมภาพ 4 ภาพเข้าด้วยกันแต่การถ่ายภาพด้วยโหมดนี้จะได้รายละเอียดของภาพมากกว่าการถ่ายแบบปกติครับ
- Manual หรือบางคนอาจจะเรียกว่าโหมดโปรครับ ซึ่งในโหมดนี้เราสามารถปรับแต่งค่าต่างๆของกล้องได้ทั้งหมด เช่น ค่า White Balance ซึ่งปรับได้ทีละ 50K ค่าความไวแสง (ISO) ที่ปรับได้ตั้งแต่ 50-800 ค่าความเร็วชัตเตอร์ก็สามารถปรับได้นานสุดที่ 1/2 วินาที ค่าการชดเชยแสง และ ระยะโฟกัสก็สามารถปรับได้ตามใจชอบครับ จะหน้าชัดหลังเบลอก็สามารถทำได้ง่ายดายทีเดียวครับ
Performance
พูดถึงประสิทธิภาพของการทำงานกันบ้าง ASUS Zenfone 2 Deluxe มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Atom Z3580 64-bit เมื่อพูดถึงชิป Intel ที่มีสถาปัตยกรรมแบบ X86 แล้ว หลายคนอาจจะเริ่มคิดแล้วว่าการใช้งานแอพพลิเคชั่นจะสู้มือถือรุ่นที่ใช้งาน CPU สถาปัตยกรรมแบบ ARM ได้หรือไม่ ต้องบอกว่าได้ครับเพราะปัจจุบันแอพพลิเคชั่นต่างๆ ก็รองรับชิป Intel เกือบทุกแอพพลิเคชั่นแล้ว จะมีเพียงไม่กี่แอพพลิเคชั่นเท่านั้นที่อาจพบปัญหาระหว่างการใช้งาน ซึ่งโดยมากปัญหาที่เกิดขึ้นมักเกิดจากความเข้ากันได้ระหว่างตัวแอพพลิเคชั่นและชิพประมวลผล Intel และเมื่อทำการอัพเดทแอพพลิเคชั่นใน Play Store พบว่าปัญหาได้หายไป
ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องด้วยแอพพลิเคชั่น Antutu Benchmark พบว่า Zenfone 2 Deluxe สามารถทำคะแนนได้สูงถึง 48,147 เลยทีเดียว (โหมดการใช้งานแบบ Performance) เมื่อทดสอบโดยการเลือกโหมด Normal พบว่า Zenfone 2 Deluxe สามารถทำคะแนนได้เพียง 42,179 คะแนนเท่านั้น การเชื่อมต่อต่างๆ เช่น Wifi และ NFC ก็สามารถเชื่อมต่อได้อย่างสมบูรณ์ จะเห็นได้ว่าปัญหาเรื่องสัญญาณ Wifi จากรุ่นก่อนๆกลับไม่พบปัญหาแล้วทั้งนี้เนื่องจาก ASUS ได้ทยอยปล่อยซอฟท์แวร์ออกมาให้อัพเดทแก้บัคต่างๆของระบบจนเรียกได้ว่าเท่าที่ได้ลองทดสอบดูปรากฏว่าการใช้งานพบปัญหาน้อยมาก ไม่มีอาการสัญญาณ Wifi ขาดหายให้พบแต่อย่างใด
การใช้งานแบตเตอรี่ถือว่าจัดสรรพลังงานได้ค่อนข้างดี ASUS Zenfone 2 Deluxe มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh ที่เรียกว่ากำลังพอดีและเรายังสามารถเลือกโหมดประหยัดพลังงานแบบต่างๆ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้ต้องถือว่าน่าชื่นชม เพราะถึงแม้ว่าเราจะใช้โหมด Performance ที่ค่อนข้างสูบแบตเตอรี่พอสมควรก็ยังมีเทคโนโลยี BoostMaster ที่ช่วยให้เราชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วมาทดแทน แต่หากต้องอยู่ในที่ที่ไม่สามารถเสียบสาย อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ได้อาจจะต้องพึ่งพา Powerbank อยู่บ้าง แต่ก็สามารถทดแทนด้วยโหมด Power Saving
ในการใช้งานกราฟิกหนักๆ เช่น การเล่นเกม แนะนำให้เปลี่ยนโหมดการใช้งานเป็นโหมด Performance ก่อนครับ หลังจากทำการทดสอบเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องสูงๆ อย่าง Asphalt 8, Modern Combat 5, Marvel Future Fight ก็เล่นได้อย่างลื่นไหลดีทีเดียว มีอาการเฟรมเรทตกบ้างแต่ก็ถือว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจาก ASUS Zenfone 2 Deluxe มาพร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิกอย่าง PowerVR Rogue G6430 ที่ตอบสนองต่อการใช้งานกราฟิกสูงๆ ได้เป็นอย่างดี