จบไปแล้วสำหรับงาน Google I/O 2018 ซึ่งในงานนี้ก็จะมีเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะเป็นระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟน Android เวอร์ชั่นใหม่ประจำปี ซึ่งปีนี้ก็เป็น Android เวอร์ชั่นที่ 9 แล้ว โดยชื่อในการพัฒนาว่า Android P ส่วนชื่อเต็มนั้นก็น่าจะเป็นชื่อขนมเหมือนเดิม แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะใช้ชื่อว่าอะไร เราจึงสรุปฟีเจอร์เด่น ๆ ของ Android P มาให้ชมกันที่ด้านล่างเลยครับ
Adaptive Battery
ดูเหมือน Google จะเน้นเรื่องแบตเตอรี่เป็นพิเศษจากที่พัฒนาฟีเจอร์ Doze mode มาหลายเวอร์ชั่นจาก Android เวอร์ชั่นก่อน และใน Android P ก็มีฟีเจอร์ใหม่ Adaptive Battery ที่จะทำให้ยืดอายุของแบตเตอรี่ขึ้นไปได้อีก จากการลดการใช้พลังงานของแอพพลิเคชั่นที่ไม่คอยได้ใช้งานจะถูกจำกัดการทำงานของ CPU ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
New System Navigation
การปรับเปลี่ยนการใช้งานบริเวณปุ่มโฮมเป็นแบบใหม่ กดปุ่มตรงกลางแล้วลากขึ้นเพื่อเข้าสู่หน้าเมนู ส่วนการสลับแอพพลิเคชั่นก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เลยโดยการกดแล้วลากไปทางขวา ก็จะแสดงหน้าแอพทั้งหมดที่เปิดค้างไว้และทำการสลับได้เลย โดยการเลื่อนเหมือนกับในภาพด้านบน ซึ่งน่าใช้งานมากกว่าแบบเดิมและลบปุ่ม Multitasking ออกไปจากหน้าจอได้เลย
Manual rotation
หากใครที่หงุดหงิดเวลานอนเล่นโทรศัพท์ แล้วอยากใช้งานในแนวตั้งเมื่อตั้งออโต้ไว้หน้าจะก็หมุนเป็นแนวนอนให้ ต้องเข้าไปปิดเองถึงจะเป็นแนวตั้งให้ ตอนนี้ Android P เพิ่มฟีเจอร์ลัดเข้ามาช่วยแล้วโดยเราสามารถปิดโหมดออโต้ได้เลย เพื่อปรับเข้าสู่โหมดแมนนวล เมื่อพลิกหน้าจอจะมีปุ่มลัดขึ้นมาชั่วคราวเพื่อให้เรากดเปลี่ยนรูปแบบแนวตั้งแนวนอนได้ทันที
App Actions
App Actions พูดง่าย ๆ คืิอเป็น AI ของ Android ที่ทำหน้าที่จดจำการใช้งานของผู้ใช้งาน โดยระบบจะเรียนรู้จากการใช้งานในชีวิตประจำวันเพื่อนำไปประยุกต์ให้เข้ากับผู้ใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ระบบจะจดจำว่าแอพพลิเคชั่นไหนที่เราใช้งานบ่อย ๆ จะทำการรันแอพไว้เบื้องหลัง เมื่อเปิดใช้งานครั้งต่อไปก็สามารถใช้งานต่อได้เลยอย่างรวดเร็ว
Slices
เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้เข้าถึงแอพพลิเคชั่นได้เร็วขึ้น และลดขั้นตอนการทำงาน ยกตัวอย่างจากภาพ เมื่อเราทำการค้นหาแอพที่ชื่อ Lyft (แอพเรียกแท็กซี่ของต่างประเทศ) ภายในเครื่อง ระบบจะทำการขึ้นหน้าเมนูลัดให้ทันทีเพื่อเรียกแท็กซี่บริเวณนั้นโดยแสดงสถานที่ที่เราไปบ่อย หรือที่ทำการบันทึกไว้ พร้อมกับแสดงเวลาที่จะถึง ระยะทาง และราคาโดยประมาณได้ทันที พร้อมกับเรียกแท็กซี่ได้เลย
Digital Wellbeing
เป็นฟีเจอร์ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ว่าเราใช้แอพพลิเคชั่นไหน มากน้อยเพียงใด และสามารถจัดการตั้งเวลาการใช้งานแอพพลิเคชั่นให้แจ้งเตือนเมื่อใช้งานเกินเวลา และมีโหมด Wind Down ที่สามารถปรับเปลี่ยนแสงให้เหมาะกับการใช้งานและช่วยถนอมสายตา
ทั้งหมดนี้ก็เป็นฟีเจอร์เด่น ๆ ของ Android P ที่ยังเป็นเวอร์ชั่น Beta อยู่ในขณะนี้ โดยมีสมาร์ทโฟนบางรุ่นที่สามารถอัพเกรดเวอร์ชั่น Beta ได้ทันทีซึ่งถือว่าเร็วมาก ๆ ได้แก่
- Google Pixel
- Pixel XL
- Pixel 2
- Pixel 2 XL
- Essential Phone
- Nokia 7 plus
- OnePlus 6
- Oppo R15 Pro
- Sony Xperia XZ2
- Vivo X21
- Vivo X21UD
- Xiaomi Mi Mix 2S
ที่มา Phonearena ขอบคุณภาพประกอบจาก Phonearena