รวมรุ่นรถ Tesla มีกี่รุ่นที่ขายในปัจจุบันปี 2022 และแต่ละรุ่นมีราคาเท่าไหร่บ้างในตอนนี้
ถ้าให้นึกถึงรถ EV (Electric Vehicle) หรือว่ารถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในปัจจุบัน (ดูรถ EV ที่ขายในไทย 8 รุ่นที่นี่) เชื่อว่าหลายคนก็ต้องนึกถึงรถของ Tesla กันบ้างไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้จะยังไม่ได้มีรถเทสล่า นำเข้ามาขายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่ช่วงหลังไม่กี่เดือนที่ผ่านมาหลังจากที่ทาง Tesla ได้เข้ามาเปิดบริษัทในไทยอย่างเป็นทางการชื่อว่า บริษัท เทสลา (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 ก็ทำให้หลายคนหันมาสนใจกันมากขึ้นกว่าเดิมอีก อย่างไรก็ตามหลังจากที่เปิดบริษัทไปแล้ว ก็ยังต้องมรอลุ่นกันอีกทีว่าจะมีการนำเข้าวางขายอย่างเป็นทางการในไทยเมื่อไหร่ ซึ่งในปัจจุบันการซื้อรถเทสล่านั้น สามารถติดต่อจากผู้จัดจำหน่ายนำเข้าอิสระ แน่นอนว่าจะต้องเสียภาษีอีกพอสมควร แต่ถ้าทางบริษัท Tesla นำเข้ามาขายเอง ทาง ส.อ.ท. ก็ได้เผยออกมาว่าอาจปรับลดจากราคาปกติในตอนนี้ได้ถึง 800,000 บาทเลยทีเดียว สำหรับใครที่อยากรู้ว่าในตอนนี้ Tesla มีรถกี่รุ่นทาง Specphone จะมารวบรวมรุ่นรถ Tesla ว่ามีกี่รุ่นที่ขายในปัจจุบันปี 2022 และแต่ละรุ่นมีราคาเท่าไหร่บ้างในตอนนี้ หากเทียบจากราคาของสหรัฐอเมริกา
ทำความรู้จักกับ Tesla กันหน่อย
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันในเบื้องต้นก่อนว่าบริษัท Tesla นั้นมีจุดเริ่มต้นมาอย่างไร สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักหรือว่าอยากจะรู้ประวัติในเบื้องต้น โดยแรกเริ่มนั้นเทสล่านั้นได้ก่อตั้งขึ้นโดย มาร์ติน อีเบอร์ฮาร์ด (Martin Eberhard) และ มาร์ก ทาร์เพนนิง (Marc Tarpenning) สองวิศวกรชาวอเมริกัน ในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2003 และตั้งชื่อว่า Tesla Motors ซึ่งนำชื่อมาจาก นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) นักฟิสิกส์ วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า และนักประดิษฐ์ โดยตั้งใจว่าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด
จนกระทั่งในปี 2004 อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ก็ได้เข้าร่วมกับเทสล่าด้วย แต่ก็ถือว่าทุลักทุเลพอสมควรกว่าจะเริ่มสร้างรถคันแรกคือ “Roadster” ในปี 2008 ที่เป็นรถสปอร์ตและหยุดผลิตในปี 2012 พร้อมกับเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกมาใน Model S และรุ่นอื่นๆ ตามมาจนถึงปัจจุบันทั้งหมด 4 รุ่นคือ Model S, 3, X, Y ที่มีจุดเด่นต่างกันไปทั้งการออกแบบการใช้งานที่ต่างกัน รวมไปถึงระบบขับขี่อัตโนมัติที่หลายคนให้ความสนใจด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกสามรุ่นที่ทำออกมา และต้องสั่งจองก่อนนั่นก็คือรุ่น Roadster (2020), Semi และ Cybertruck กับการวางขายแผ่น Solar Roof อีกด้วย โดยในแต่ละรุ่นของ Model S, 3, X, Y ก็ยังมีแบ่งแยกย่อยรายละเอียดลงไปอีก ใครสนใจรุ่นไหนก็กดเข้าไปดูรายละเอียดกันได้เลย
Tesla Model S
เริ่มต้นกันที่รถ Model แรกกับ Model S กันก่อนเลย ซึ่งรุ่นนี้ได้ถูกผลิตขึ้นมาวางขายเป็นครั้งแรกในปี 2012 ต่อจากรุ่น Roadster 2008 โดยรถ Model S นั้นเป็นรถแบบ Sedan 5 ประตูหรือจะบอกว่าเป็นแบบ Liftback หรือเอสยูวีก็ไม่ผิดเท่าไหร่นัก และรุ่น Model S ก็ยังแบ่งออกเป็นรุ่นย่อยที่วางในปัจจุบันอีก 2 รุ่นคือ Model S Dual Motor All-Wheel Drive กับ Model S Plaid Tri Motor All-Wheel Drive (ก่อนหน้านี้มี Plaid+ ด้วย) ภายในของรุ่นนี้จะมีพวงมาลัยแบบ Yoke Steering หรือแบบครึ่งวงคล้ายๆ กับพวงมาลัย F1 กับระบบ Autopilot และยังมีหน้าจอ 17 นิ้วความละเอียด 2200 x 1300 ที่หันซ้ายขวาได้จากด้านหลัง พร้อมกับจอด้านหลังสำหรับคนนั่งด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์มือถือเข้ากับรถแบบง่ายๆ ทั้ง Bluetooth, USB C หรือ Wireless Charge พร้อมกับระบบเสียงรอบทั้งคันจากลำโพง 22 ตัวภายในรถ และพื้นที่ใช้สอยที่เหลือเฟือเลยทีเดียว ส่วนรายละเอียดการขับขี่ตามรุ่นดังนี้
Model S Dual Motor All-Wheel Drive: ราคาเริ่มต้น 104,990 USD ประมาณ 3,780,000 บาท (ตามค่าเงินปัจจุบัน ไม่รวมภาษี)
- เป็นระบบมอเตอร์คู่ (Dual) ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำความเร็วจาก 0-96 km/h ในเวลา 3.1 วินาที 670 แรงม้า และวิ่งได้ความเร็วสูงสุด 250 km/h ระยะทางที่วิ่งได้ประมาณ 600-650 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้ง มีขนาดล้อติดรถ 19 นิ้วและเลือกเป็น 21 นิ้วได้โดยเพิ่มอีก 4,500 USD
Model S Plaid Tri Motor All-Wheel Drive: ราคาเริ่มต้น 135,990 USD ประมาณ 4,900,000 บาท (ตามค่าเงินปัจจุบัน ไม่รวมภาษี)
- เป็นระบบมอเตอร์สามตัว (Tri) ขับเคลื่อนสี่ล้อเหมือนกัน ทำความเร็วจาก 0-96 km/h ในเวลา 1.99 วินาที 1,020 แรงม้า และวิ่งได้ความเร็วสูงสุด 320 km/h ระยะทางที่วิ่งได้ประมาณ 560-640 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้ง มีขนาดล้อติดรถ 19 นิ้วและเลือกเป็น 21 นิ้วได้โดยเพิ่มอีก 4,500 USD เช่นกัน
Tesla Model 3
รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงมากๆ หนึ่งรุ่นของเทสล่าเลยก็ว่าได้สำหรับ Model 3 รุ่นนี้ที่เป็นรถไฟฟ้าแบบ Sedan 4 ประตูรูปทรงแบบ Fastback ผลิตมาในช่วงปี 2017 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งรุ่นนี้ก็ได้ถูกนำเข้ามาวางขายในประเทศไทยด้วย ที่สำคัญคือรุ่นนี้มีราคาที่ไม่ได้สูงกว่ารุ่นอื่นๆ ด้วย ภายในของ Model 3 จะมีพวงมาลัยแบบเต็มวงพร้อมระบบ Autopilot และมีหน้าจอ 15 นิ้วด้านหน้าคนขับ อีกทั้งยังมีหลังคาเป็นแบบ Glass Roof อีกด้วย ซึ่งรุ่นนี้มีระบบมอเตอร์คู่ และเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังในรุ่นปกติ กับขับเคลื่อนสี่ล้ออีกสองรุ่น สำหรับรุ่นย่อยที่มีอยู่ 3 รุ่นนั่นก็คือ Model 3, Model 3 Long Range และ Model 3 Performance โดยมีรายละเอียดการใช้งานดังนี้
Model 3: ราคาเริ่มต้น 46,990 USD ประมาณ 1,700,000 บาท (ตามค่าเงินปัจจุบัน ไม่รวมภาษี)
- ระบบมอเตอร์คู่ (Dual) ขับเคลื่อนล้อหลัง ทำความเร็วจาก 0-96 km/h ในเวลา 5.8 วินาที วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 225 km/h ระยะทางที่วิ่งได้ประมาณ 430-437 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้ง มีขนาดล้อติดรถ 18 นิ้วและเลือกเป็น 19 นิ้วได้โดยเพิ่มอีก 1,500 USD
Model 3 Long Range: ราคาเริ่มต้น 57,990 USD ประมาณ 2,090,000 บาท (ตามค่าเงินปัจจุบัน ไม่รวมภาษี)
- ระบบมอเตอร์คู่ (Dual) ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำความเร็วจาก 0-96 km/h ในเวลา 4.2 วินาที วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 233 km/h ระยะทางที่วิ่งได้ประมาณ 540-576 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้ง มีขนาดล้อติดรถ 18 นิ้วและเลือกเป็น 19 นิ้วได้โดยเพิ่มอีก 1,500 USD
Model 3 Performance: ราคาเริ่มต้น 62,990 USD ประมาณ 2,270,000 บาท (ตามค่าเงินปัจจุบัน ไม่รวมภาษี)
- ระบบมอเตอร์คู่ (Dual) ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำความเร็วจาก 0-96 km/h ในเวลา 3.1 วินาที วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 260 km/h ระยะทางที่วิ่งได้ประมาณ 507 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้ง มีขนาดล้อติดรถ 18 นิ้วและเลือกเป็น 19 นิ้วได้โดยเพิ่มอีก 1,500 USD เช่นกัน
Tesla Model X
สำหรับ Model X นั้นเป็นรุ่นที่เปิดตัววางขายออกมาก่อนหน้าของ Model 3 แล้วเมื่อปี 2015 โดยเป็นรถแบบ SUV ขนาดกลาง (Crossover) ที่นั่งได้สูงสุดถึง 7 คน และรุ่นนี้ก็มีจุดเด่นตรงที่ประตูหลังที่เป็นแบบ Falcon Wing หรือเปิดขึ้นไปด้านบนแบบปีกนก เพื่อให้ขนของหรือยกของขึ้นบนรถได้ง่ายกว่ารุ่นอื่นๆ ในส่วนอื่นๆ นั้นจะบอกว่าคล้ายๆ กับตัว Model S ก็ได้ โดยมีพวงมาลัยเป็นแบบ Yoke Steering ครึ่งวงและมีระบบ Autopilot พร้อมกับหน้าจอขนาด 17 นิ้วแบบหันซ้าย-ขวาได้ มีความละเอียด 2200 x 1300 และมีอีกจอที่ด้านหลังคนนั่ง กับลำโพงรอบคันอีก 22 ตัวด้วยเช่นกัน ส่วนรุ่นย่อยของตัวนี้จะมีสองรุ่นคือ Model X และ Model X Plaid มีรายละเอียดคือ
Model X Dual Motor All-Wheel Drive: ราคาเริ่มต้น 120,990 USD ประมาณ 4,350,000 บาท (ตามค่าเงินปัจจุบัน ไม่รวมภาษี)
- ระบบมอเตอร์คู่ (Dual) ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำความเร็วจาก 0-96 km/h ในเวลา 3.8 วินาที 670 แรงม้า และวิ่งได้ความเร็วสูงสุด 250 km/h ระยะทางที่วิ่งได้ประมาณ 530-564 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้ง มีขนาดล้อติดรถ 20 นิ้วและเลือกเป็น 22 นิ้วได้โดยเพิ่มอีก 5,500 USD
Model X Plaid Tri Motor All-Wheel Drive: ราคาเริ่มต้น 138,990 USD ประมาณ 5,000,000 บาท (ตามค่าเงินปัจจุบัน ไม่รวมภาษี)
- ระบบมอเตอร์สามตัว (Tri) ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำความเร็วจาก 0-96 km/h ในเวลา 2.5 วินาที 1,020 แรงม้า และวิ่งได้ความเร็วสูงสุด 262 km/h ระยะทางที่วิ่งได้ประมาณ 499-539 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้ง มีขนาดล้อติดรถ 20 นิ้วและเลือกเป็น 22 นิ้วได้โดยเพิ่มอีก 5,500 USD
Tesla Model Y
ปิดท้ายด้วยรถ Tesla Model Y ที่เปิดตัวออกมาวางขายในช่วงปี 2020 และเป็นรถแบบ SUV ขนาดกลาง (Crossover) นั่งได้สูงสุด 7 คนหรือ 5 คนก็ได้ หรือจะพับเบาะลงมาเพื่อเก็บของก็ได้เช่นกัน และมีต้นแบบมาจากตัว Model 3 แต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่ากันเยอะ รวมไปถึงการใช้งานที่เป็นขับเคลื่อนสี่ล้อแบบแยกมอเตอร์หน้า-หลัง ทำให้สามารถวิ่งได้ทั้งบนถนน หิมะ ฝน หรือโคลนได้สบายๆ แน่นอนว่าภายในก็จะคล้ายๆ กับ Model 3 ด้วยที่มีพวงมาลัยเต็มวงกับหน้าจอ 15 นิ้วที่ด้านคนขับ และรุ่นนี้ก็มีให้เลือกอยู่ 2 รุ่นย่อยคือ Model Y Long Range และ Model Y Performance (จากเดิมมีรุ่นธรรมดาด้วย) มีรายละเอียดคือ
Model Y Long Range: ราคาเริ่มต้น 65,990 USD ประมาณ 2,370,000 บาท (ตามค่าเงินปัจจุบัน ไม่รวมภาษี)
- ระบบมอเตอร์คู่ (Dual) ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำความเร็วจาก 0-96 km/h ในเวลา 4.8 วินาที วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 217 km/h ระยะทางที่วิ่งได้ประมาณ 505-531 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้ง มีขนาดล้อติดรถ 19 นิ้วและเลือกเป็น 20 นิ้วได้โดยเพิ่มอีก 2,000 USD
Model 3 Performance: ราคาเริ่มต้น 69,990 USD ประมาณ 2,520,000 บาท (ตามค่าเงินปัจจุบัน ไม่รวมภาษี)
- ระบบมอเตอร์คู่ (Dual) ขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำความเร็วจาก 0-96 km/h ในเวลา 3.5 วินาที วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 250 km/h ระยะทางที่วิ่งได้ประมาณ 487 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเต็มหนึ่งครั้ง มีขนาดล้อติดรถ 19 นิ้วและเลือกเป็น 20 นิ้วได้โดยเพิ่มอีก 2,000 USD
แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลรุ่นทั้งหมดของ Tesla ที่เราได้นำมาฝากกันทั้งหมด 4 รุ่นที่มีการวางขายอย่างเป็นทางการในตอนนี้ทั้ง Model S, Model 3, Model X และ Model Y โดยสามารถแบ่งได้ตามการใช้งานแบบง่ายๆ ก็คือรถที่เป็นรถ Sedan ที่ใช้กันปกติสองรุ่นคือ Model S และ Model 3 ส่วนรถที่เป็น SUV และมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก็จะเป็นรุ่น Model X และ Model Y ที่ทั้งหมดนี้ก็ต้องบอกก่อนว่ายังไม่ได้มีการนำเข้ามาวางขายอย่างเป็นทางการจาก Tesla โดยตรง และราคาทั้งหมดเป็นราคาที่แปลงมาจากค่าเงินของ USD อีกที จะมีเพียงการนำเข้าจากผู้จัดจำหน่ายนำเข้าอิสระเท่านั้น ใครที่สนใจอยากจะซื้อกับ Tesla ก็ต้องรอกันอีกหน่อย แต่ถ้ารอไม่ได้ก็สามารถติดต่อหาซื้อได้จากผู้นำเข้าอิสระกันได้เลย แล้วถ้ามีเรื่องไหนน่าสนใจอีก เราก็จะนำมาฝากกันอีกเรื่อยๆ เลยนะครับ