iPhone 17, iPhone Air และ iPhone 17 Pro Series ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อคืนวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา และผลการทดสอบประสิทธิภาพจาก Geekbench ก็ได้เผยข้อมูลแรกเกี่ยวกับชิป Apple A19 และ A19 Pro ที่ใช้ใน iPhone รุ่นใหม่นี้ตามมาติดๆ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาประสิทธิภาพในส่วนของ CPU และ GPU เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอยู่เยอะพอสมควร
iPhone 17: ชิป A19 กับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น

iPhone 17 (รหัสรุ่น 18,3) มาพร้อมชิป Apple A19 โดยทำคะแนนทดสอบ CPU แบบ single-core ได้ 3,608 คะแนน และ multi-core ได้ 8,810 คะแนน ซึ่งสูงกว่ารุ่น iPhone 16 ที่ใช้ชิป A18 ถึง 10% ใน single-core และ 11% ใน multi-core นอกจากนี้ iPhone 17 ยังมาพร้อม RAM แบบ LPDDR5x ขนาด 8GB ส่วนประสิทธิภาพ GPU นั้น iPhone 17 ทำคะแนน Metal ได้ 37,014 ซึ่งดีขึ้นถึง 33% เมื่อเทียบกับ iPhone 16
iPhone Air: ชิป A19 Pro รุ่นปรับแต่ง

iPhone Air (รหัสรุ่น 18,4) ใช้ชิป A19 Pro รุ่นที่ถูกปรับแต่ง (binned version) ซึ่งมี CPU 6 คอร์ และ GPU 5 คอร์ (น้อยกว่าชิป A19 Pro ปกติ 1 คอร์) โดยทำคะแนน single-core ได้ 3,674 และ multi-core ได้ 8,824 พร้อม RAM LPDDR5x ขนาด 12GB ส่วนคะแนน GPU อยู่ที่ 37,743 คะแนน ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับ iPhone 17 แต่ดีกว่าเล็กน้อยในบางด้านอย่างกราฟิก และการประมวลผล
iPhone 17 Pro: พลังจาก GPU ที่เหนือกว่า

iPhone 17 Pro (รหัสรุ่น 18,1) ทำคะแนน single-core ได้ 3,523 และ multi-core ได้ 9,028 พร้อม RAM LPDDR5x ขนาด 12GB คะแนน GPU อยู่ที่ 44,342 ซึ่งสูงกว่า iPhone Air ถึง 17% เนื่องจากมี GPU คอร์เพิ่มขึ้น และเมื่อเทียบกับ iPhone 16 Pro คะแนน GPU ดีขึ้นถึง 32%
iPhone 17 Pro Max: สุดยอดประสิทธิภาพ

iPhone 17 Pro Max (รหัสรุ่น 18,2) มาพร้อมคะแนน single-core ที่ 3,781 และ multi-core ที่ 9,679 ซึ่งเป็นรุ่นที่ทรงพลังที่สุดในซีรีส์นี้ ส่วนคะแนน GPU อยู่ที่ 45,657 ซึ่งสูงกว่า iPhone 16 Pro Max ถึงเกือบ 40% สะท้อนถึงการพัฒนาที่สำคัญในด้านกราฟิก และการทำงานในด้านต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม
iPhone 17 Series ทุกรุ่นที่มีคะแนนการทดสอบเผยออกมา แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาประสิทธิภาพ CPU และ GPU ที่ดีขึ้นค่อนข้างเยอะ แม้ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพ CPU จะอยู่ในระดับปานกลาง แต่การพัฒนาด้าน GPU โดยเฉพาะในรุ่น Pro และ Pro Max นั้นเห็นได้ชัดว่าดีขึ้นมากๆ จากคะแนน Metal Score ที่สูงขึ้นสูงสุดถึง 40% คงต้องรอการทดสอบในสถานการณ์จริงเพื่อดูว่าประสิทธิภาพเหล่านี้ ส่งผลต่อการใช้งานจริงมากน้อยแค่ไหนกันแน่
ที่มา: GSMArena