แนะนำเคส iPhone 16, iPhone 16 Pro กันกระแทก แบบใส หรือใส่แบบไหนดี แบบไหนเหมาะกับใครบ้าง
จากที่เราได้แนะนำร้านขายเคสของ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro กันไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็มีหลายคนที่อยากจะรู้ว่าควรจะเลือกเคสแบบไหนดีให้เหมาะกับการใช้งาน เพราะว่าเคสแต่ละแบบที่มีให้เลือกนั้นเยอะมาก มีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นเคสแบบใส เคสเน้นกันกระแทกเป็นหลักแบบรอบตัวเครื่อง เน้นแค่ขอบ เคสที่มีลวดลายน่ารักๆ ลายอาร์ตๆ ลายมินิมอล และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการใช้งานแบบไหนและเน้นเรื่องอะไรเป็นหลัก วันนี้ทาง Specphone เลยจะมาแนะนำให้ว่าจะเลือกซื้อเคส iPhone 16 หรือ iPhone 16 Pro ใส่แบบไหนดี และแบบไหนเหมาะกับใครบ้างไปดูกัน
- เคส iPhone 16 และ iPhone 16 Pro มีกี่แบบ ต่างกันยังไง และแบบไหนเหมาะกับใครบ้าง?
- เคสซิลิโคน หรือ เคสแข็งเลือกแบบไหนดี?
เคส iPhone 16 และ iPhone 16 Pro มี MagSafe หรือไม่มี MagSafe ต่างกันยังไง?
ขอเริ่มต้นที่เรื่องของ MagSafe กันก่อนเลย เพราะว่าก่อนที่จะเลือกซื้อเคสว่าจะใช้รูปแบบไหน ก็ควรจะรู้ก่อนด้วยว่าว่าประเภทของเคสนั้นมีทั้งแบบที่รองรับ MagSafe และแบบเคสปกติที่ไม่มี MagSafe ซึ่งทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างกันในด้านการใช้งานแน่นอน
โดยเคสที่ไม่มี MagSafe นั้นจะเป็นเคสปกติที่เราสามารถหาซื้อได้ทั่วไป มีราคาที่ต่ำกว่า และมีให้เลือกค่อนข้างหลากหลายกว่า เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ MagSafe เป็นหลักอยู่แล้ว อย่างเช่นการชาร์จไร้สายด้วย MagSafe หรือว่าใช้อุปกรณ์อย่างกระเป๋าสตางค์ MagSafe ที่เอาไว้ติดข้างหลังตัวเครื่อง ถ้าใครคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้งานอยู่แล้วก็เลือกซื้อแบบที่ไม่มี MagSafe ได้เลย
แต่สำหรับคนที่ต้องการใช้งานกระเป๋าสตางค์ MagSafe เอาไว้ใส่เงิน บัตรเครดิตหรือบัตรต่างๆ รวมไปถึงการชาร์จไร้สายด้วย MagSafe (ที่ iPhone 16 รุ่นนี้เน้นเรื่องชาร์จไวจาก MagSafe มาให้ด้วย) ก็แนะนำว่าควรจะต้องซื้อเคสประเภทที่รองรับ MagSafe ด้วย เพราะถ้าหากต้องการใช้งาน MagSafe เป็นหลักอยู่แล้วก็จำเป็นต้องใช้เคสที่รองรับ MagSafe เพื่อให้ตัวแม่เหล็กสามารถยึดเกาะได้นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนี้หลายๆ เคสที่รองรับก็จะมีแรงดูดของแม่เหล็กที่ค่อนข้างแรงอยู่แล้วด้วย ทั้งนี้เคสแบบนี้ก็จะมีราคาที่สูงกว่า และส่วนใหญ่ก็จะมีลวดลายของ MagSafe ที่ด้านหลังตัวเครื่องด้วย
เคส iPhone 16 และ iPhone 16 Pro มีกี่แบบและแบบไหนเหมาะกับใครบ้าง?
หลังจากที่รู้จักกับ MagSafe ไปแล้ว ก็มาดูที่ตัวเลือกเคสในแต่ละแบบกันบ้างที่ประเภทของเคสนั้นมีให้เลือกอยู่หลายแบบก็จริง แต่ถ้าดูจากการใช้งานหลักๆ แล้วจะมีประเภทเคสอยู่ 5 ประเภทหลักให้เลือกซื้อกัน แต่ว่ารายละเอียดแยกย่อยนั้นจะมีให้เลือกอีกหลายรูปแบบมากๆ โดยเราสามารถแยกแต่ละแบบและการใช้งานได้ดังนี้
1. เคสกันกระแทก
เคสสำหรับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro แบบแรกนั่นก็คือเคสที่เน้นเรื่องการกันกระแทกเป็นหลัก เพื่อป้องกันตัวเครื่องและหน้าจอในกรณีที่ร่วงหล่น แน่นอนว่าเคสแบบนี้จะเหมาะมากๆ สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมักจะทำมือถือร่วงบ่อย หรือว่าคนที่ต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง โดยส่วนใหญ่แล้วเคสกันกระแทกที่ดีจะมีการรับรองในระดับ Military Grade (MIL-STD) ที่เป็นมาตรฐานทางการทหารของสหรัฐอเมริกาที่รับรองว่าอุปกรณ์เหล่านั้นสามารถป้องกัน และมีความทนทานสูง
ซึ่งเคสส่วนใหญ่ที่เน้นเรื่องความแข็งแรงทนทานนั้น มักจะมีการป้องกันทั้งมุมเครื่อง หน้าจอ เลนส์กล้อง ตัวอย่างเช่นเคสของ UAG, Case-Mate, Pelican, RHINOSHIELD, CASETiFY และอื่นๆ ก็มีให้เลือกทั้งแบบใส หรือว่ามีลวดลาย และรูปแบบดีไซน์กันกระแทกโดยเฉพาะของแบรนด์เหล่านั้น ดังนั้นใครที่คิดว่าต้องการการปกป้องตัวเครื่องและหน้าจอเป็นหลักก็ควรเลือกเคสกันกระแทกมาใช้งานได้เลย
- ข้อดี – สามารถกันกระแทกได้รอบตัวเครื่อง, มีมาตรฐานการป้องกันสูง, กันรอยขีดข่วนได้ดีเยี่ยม
- ข้อเสีย – ตัวเคสมีน้ำหนักเยอะ, มีขอบหนาอาจจับไม่ถนัด (สำหรับบางคน), ราคาค่อนข้างสูง
2. เคสใส
เคส iPhone 16 และ iPhone 16 Pro แบบต่อมานี้เป็นแบบที่ได้รับความนิยม และมีให้เลือกเยอะมากที่สุดแล้วก็ว่าได้ เพราะทุกแบรนด์ต่างก็ต้องมีเคสมาตรฐานที่เป็นเคสใสกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะแบรนด์ดังหรือแม้กระทั่งของ Apple เองก็ยังมีให้เลือกซื้อ โดยเคสใสนั้นจะมีทั้งแบบทั่วไปที่มีความเบาบาง และแบบกันกระแทกขั้นสูง มีลวดลายหรือไม่มีลวดลาย ขึ้นอยู่กับว่าอยากได้ความใสในระดับไหน เพราะบางแบรนด์ก็มีเคสใสที่ใส่สีเพิ่มเข้ามาให้เลือกกันด้วย และก็ยังมีทั้งแบบเคสิลิโคนหรือแบบเคสแข็งให้เลือกอีกด้วย
ซึ่งเคสใสนั้นจะเหมาะกับคนที่ต้องการให้เห็นสี ลวดลาย และความสวยงามของตัวเครื่อง สามารถมองเห็นได้ว่ามีฝุ่นหรือมีอะไรแปลกปลอมเข้าไปอยู่ในเคส โดยส่วนใหญ่แล้วแต่ละแบรนด์ก็จะมีเคสใสตามความแข็งแกร่งให้เลือกกันอยู่หลายแบบเลยทีเดียว สำหรับใครที่ชอบสีสันของตัวเครื่องและต้องการให้เห็นรอบๆ ก็แนะนำว่าให้เลือกใส่เคสใสกันได้เลย
- ข้อดี – มองเห็นตัวเครื่องรอบด้าน, มีให้เลือกเยอะมาก, มีตั้งแต่ราคาหลักร้อยถึงหลักหลายพันบาท, มีทั้งกันกระแทกและแบบทั่วไป, ตัวเคสส่วนใหญ่จะบางเบา
- ข้อเสีย – ส่วนใหญ่ใช้ไปนานๆ แล้วเคสเหลือง, อาจมีรอยนิ้วมือติดเยอะในบางรุ่น, หากเป็นเคสไม่ดีอาจกินสีตัวเครื่อง
3. เคสทึบหรือเคสสีที่เป็นสีล้วน
อีกหนึ่งรูปแบบของเคส iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้เคสใสเลยก็คือเคสที่เป็นสีล้วน หรือว่าเคสทึบ ที่ส่วนใหญ่หลายๆ แบรนด์ก็จะทำเป็นเคสมาตรฐานเอาไว้เช่นกัน รวมไปถึงของ Apple ก็ทำออกมาด้วยเช่นกัน โดยเคสรูปแบบนี้มีให้เลือกทั้งแบบซิลิโคน แบบแข็ง และแบบอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเคสระดับการป้องกันทั่วไปตั้งแต่ระดับน้อยถึงกลางๆ แต่ด้วยสีสันที่มีให้เลือกเยอะแบบเยอะมากๆ จึงทำให้เคสสีนั้นได้รับความนิยมสูง
โดยเคสสีหรือว่าเคสทึบนั้นจะเหมาะกับคนที่ชอบสีใดสีหนึ่งเป็นหลัก และอยากให้มือถือของเรานั้นมีสีสันตามที่ต้องการ จะใส่ตามธีมของเสื้อผ้า สายมู สีมงคล หรือว่าจะใส่ให้ iPhone ดูเด่นขึ้นมาก็ทำได้ง่ายๆ นอกจากจะมีสีล้วนแล้วบางแบบก็มีสีสันผสมผสานหรือหลายสีรวมกันในเคสเดียวก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าอยากจะใช้สีไหนเป็นหลักตามความชอบของตัวเอง
- ข้อดี – มีสีให้เลือกเยอะมากๆ, เคสส่วนใหญ่เป็นซิลิโคนน้ำหนักเบา, หาซื้อได้ง่าย มีราคาหลักร้อยถึงหลักพัน, ส่วนใหญ่จะไม่ทำให้รอยนิ้วมือติด
- ข้อเสีย – อาจป้องกันได้ไม่ดีนักหากเจอเคสคุณภาพต่ำ, ไม่เห็นสีของตัวเครื่อง, หากเป็นเคสซิลิโคนที่ไม่ได้มาตรฐานอาจเจอสีเคสละลายติดตัวเครื่อง
4. เคสฝาพับ
เคส iPhone 16 และ iPhone 16 Pro แบบต่อมาอาจจะไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก แต่ก็มีเคสแบบฝาพับสำหรับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ออกมาวางขายแล้ว โดยเคสรูปแบบนี้จะเป็นเคสที่สามารเปิด-ปิดในส่วนขอหน้าจอได้ ป้องกันได้ทั้งตัวเครื่องและหน้าจอ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเคสที่ใช้วัสดุเป็นหนังแท้ หนังเทียม หรือหนังกลับ แต่ก็มีบางรูปแบบที่เป็นเคสแข็ง หรือแบบกระเป๋าที่ใส่บัตรด้านในได้ด้วย
เคสแบบฝาพับนี้จะเหมาะกับคนที่ต้องการใช้เคสที่มีตัวปิดหน้าจอ เอาไว้ป้องกันได้ในระดับหนึ่ง และบางรูปแบบก็สามารถใช้ใส่บัตร หรือว่าพับครึ่งเพื่อให้ตัวเครื่องตั้งได้ เอาไว้เปิดดูเนื้อหาคอนเทนต์ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม ส่วนใหญ่จะเป็นเคสแบบทึบพร้อมลวดลาย หรือว่าเป็นแบบหนัง
- ข้อดี – ดูมีภูมิฐาน, ป้องกันตัวเครื่องและหน้าจอได้, วางตั้งได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม, บางรุ่นใส่บัตรเพิ่มได้
- ข้อเสีย – หาซื้อค่อนข้างยาก, การถือใช้งานอาจไม่ค่อยสะดวก, ต้องเปิด-ปิดฝาพับบ่อย อาจมีอายุได้ไม่นานนัก, หากเป็นหนังคุณภาพไม่ดีอาจทำให้ลอกติดตัวเครื่องได้
5. เคสที่มีลวดลาย
เคส iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ประเภทสุดท้ายนี้ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงมาก เพราะมีให้เลือกหลายหลายกว่าทุกแบบ โดยเคสที่ไม่ว่าจะเป็นเคสใส เคสสี หรือเคสกันกระแทกต่างก็ต้องมีลวดลายเสริมเข้ามาเพื่อให้ดูน่าสนใจและน่าใช้งานมากกว่าปกติ โดยเคสที่มีลวดลายนั้นจะมีทั้งแบบที่มีลายมินิมอลเล็กน้อย ไปจนถึงลวดลายแบบเต็มทั้งเคส ซึ่งแต่ละแบรนดืนั้นก็อาจจะมีลายของตัวเอง หรือว่าลายที่ทำร่วมกับการ์ตูน หรือศิลปินนักวาดที่นำมาใส่ในเคสเหล่านั้น นอกจากนี้บางแบรนด์ยังสามารถใส่ไอเดียและตกแต่งเคสด้วยตัวเองได้ด้วย
แน่นอนว่าเคสประเภทลลวดลายนี้ จะเหมาะกับคนที่ชอบให้มือถือหรือว่าเคสนั้นมีลายสวยงามตามตัวการ์ตูน แฟชั่น หรือว่าศิลปินอาร์ตต่างๆ ที่ตัวเองชอบ ไม่เพียงแต่ชอบลวดลายเพียงอย่างเดียว แต่เคสประเภทนี้ก็มีอยู่ในทุกๆ รูปแบบของประเภทเคสเลย ทำให้เราสามารถเลือกได้ว่าอยากจะได้เคสกันกระแทกเป็นหลัก เคสใสให้เห็นตัวเครื่อง เคสสีทึบตามสีที่ชอบ หรือเคสฝาพับเองก็มีลายด้วย ก็สามารถเลือกแบบที่มีลวดลาตามที่ต้องการได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากให้เคสแบบไหนมีลายแบบไหนนั่นเอง
- ข้อดี – มีให้เลือกหลายรูปแบบ, มีลวดลายให้เลือกเยอะมาก, สามารถเลือกปรับแต่งเองได้, มีราคาหลักร้อยถึงหลักพัน, หาซื้อง่าย
- ข้อเสีย – หากเลือกประเภทเคสไม่ดีอาจทำให้สีลอกติดได้, ข้อเสียอื่นๆ ขึ้นอยู่กับประเภทเคสที่เลือก, หากลายที่มีลิขสิทธิ์แท้จะมีราคาสูง
เคสซิลิโคน หรือ เคสแข็งเลือกแบบไหนดี?
นอกจากจะมีการเลือกประเภทเคส iPhone 16 และ iPhone 16 Pro กันไปแล้ว ก็มีอีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อเคสอยู่ด้วย นั่นก็คือรูปแบบวัสดุของเคส ที่ส่วนใหญ่จะมีให้เลือกเป็นแบบซิลิโคนนุ่มนิ่ม และแบบเคสแข็งที่ด้านหลังเป็นอะคริลิคหรือว่ากระจก โดยทั้งสองรูปแบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันออกไปคือ
เคสซิลิโคน – จะมีความนุ่ม จับถือได้ง่ายและมีน้ำหนักเบา ไม่ติดรอยนิ้วมือ สามารถใส่เข้ากับตัวเครื่องได้โดยที่ไม่ทำร้ายขอบเครื่อง มีแบบใสและแบบสีสันหรือรูปแบบให้เลือกค่อนข้างเยอะ สามารถกันกระแทกได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจจะไม่ได้กันกระแทกมากเท่ากับแบบอื่นๆ นอกจากนี้ก็ยังต้องระวังฝุ่นที่จะเข้าไปได้ง่ายเพราะมีความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ถ้าหากเป็นวัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้สีลอกติดหรือว่าสกปรกได้ง่ายอีกด้วย
เคสแข็ง – เด่นมาในเรื่องของความแข็งแรงสูง ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการกันกระแทกที่ทำได้ดีกว่าแบบซิลิโคน มีอายุการใช้งานที่นานกว่า มีให้เลือกทั้งแบบใสแบบมีสีและอีกหลายๆ แบบ แต่ก็ต้องระวังถ้าหากด้านหลังเป็นกระจกหรืออะคริลิคที่อาจได้รับการกระแทกแรงๆ แล้วจะแตกหรือร้าว ที่สำคัญก็คือถ้าเป็นเคสที่ไม่ได้มาตรฐานอาจกินขอบเครื่อง ทำให้สีตัวเครื่องหลุดหรือเป็นรอยได้เลย นอกจากนี้ก็ยังมีราคาที่สูงกว่าแบบซิลิโคนอีกด้วย
ดังนั้นในการเลือกซื้อทั้งสองรูปแบบนี้ก็ต้องดูว่าเราอยากจะได้เคสแบบไหนมาใช้งานเป็นหลัก ถ้าเน้นเรื่องความนุ่มนิ่มและไม่อยากให้เครื่องเป็นรอยก็เลือกใช้แบบซิลิโคน แต่ก็ต้องระวังหากร่วงหรือได้รับแรงกระแทกที่อาจป้องกันได้ไม่ดีนัก แต่ถ้าใครเน้นเรื่องความแข็งแรง ใช้งานได้ยาวนาน และมีประสิทธิสูงก็ต้องแบบแข็งที่มีการป้องกันดีกว่า มีให้เลือกอยู่หลายแบบซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเคสแข็งนี่แหละ แต่ก็ควรซื้อเคสที่ได้มาตรฐานจะได้ไม่เจอเคสกินขอบเครื่องนั่นเอง
ใส่ที่ติดมือถือกับเคสดีหรือไม่?
สำหรับคนที่ชอบถือ iPhone นานๆ อาจจะมีอาการเมื่อยหรือว่าหลุดมืออยู่บ่อยๆ ทำให้ต้องหาซื้อที่ติดมือถือมาแปะไว้กับเคส ซึ่งการใช้งานร่วมกับ iPhone 16 หรือ iPhone 16 Pro นั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่เช่นกัน ข้อดีก็คือสามารถตั้งเครื่องเพื่อดูวิดีโอต่างๆ ได้ง่าย ถือหรือจับได้สะดวกโดยไม่ทำให้หลุดมือ และยังมีลวดลายน่ารักๆ ให้เลือกอีกเพียบ
แต่ก็มีข้อที่ต้องคิดหนักในเรื่องของ MagSafe เพราะถ้าติดที่ติดมือถือไปแล้วก็จะใช้ MagSafe ไม่ได้ ในกรณีที่เป็นที่ติดแบบกาว ยกเว้นแต่ว่าจะเป็นที่ติดมือถือที่ถอดและใส่ได้เข้ากับ MagSafe ได้ แต่ก็จะมีราคาสูงขึ้นอีกหน่อย และมีขนาดที่ใหญ่เท่ากับตัว MagSafe เลย ถ้าใครไม่ได้ใช้ MagSafe อยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะใช้ MagSafe ไปด้วยก็จะลำบากกันนิดนึง
เคสราคาถูกกับเคสราคาแพงต่างกันยังไง จำเป็นไหมที่ต้องใช้ของแพง?
ปัจจัยหลักอีกอย่างในการเลือกซื้อเคส iPhone 16 หรือ iPhone 16 Pro ก็คือเรื่องของราคา เพราะถ้าหากเราดูจากร้านค้าขึ้นห้างหรือว่าร้านชื่อดัง ส่วนใหญ่ก็จะมีเคสที่ราคาตั้งแต่ 490 บาท ไปจนถึงเคสในราคา 3,xxx บาทเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นร้านนอกหรือร้านค้าออนไลน์ก็จะเห็นเคสในราคาหลักสิบ จนถึงหลักร้อยที่มีให้เลือกกันอยู่เยอะพอสมควร และเคสราคาถูกกับราคาแพงต่างกันยังไงบ้าง
จุดหลักๆ ของความต่างเลยก็คือวัสดุและคุณภาพของเคส และยังรวมไปถึงการป้องกันทั้งตัวเครื่อง กันกระแทก หรือว่ากันเคสเหลืองในกรณีที่เป็นเคสใสได้ดีกว่าของทั่วไป เพราะเคสที่มีราคาสูงส่วนใหญ่ก็จะได้รับการรับรองทั้งเรื่องของความแข็งแรง รับรองวัสดุ ทำให้เรามั่นใจได้ว่าเมื่อซื้อมาใช้แล้วเครื่องจะไม่เป็นรอย ไม่กินขอบ ร่วงแล้วจอไม่แตกไม่เป็นรอย ซึ่งจะต่างจากเคสราคาหลักสิบที่มักมีคุณภาพที่ไม่สูงมาก หากซื้อมาแล้วไม่ได้มาตรฐานก็อาจเจอเคสกินขอบ หรือว่าใช้ไปนานๆ แล้วสีลอกติดได้ และด้วยราคาของ iPhone 16 หรือ iPhone 16 Pro นั้นค่อนข้างสูง ก็ควรที่จะต้องรักษาการใช้งานเอาไว้ให้ดีที่สุด
ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลการแนะนำเคส iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ในรูปแบบต่างๆ พร้อมทั้งข้อดีและข้อเสียของแต่ละแบบ รวมไปถึงเกร็ดความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับการซื้อเคสมาใช้งาน เพื่อเป็นข้อมูลในการเลือกซื้อเคสว่าควรจะเลือกแบบไหนดี ให้เหมาะกับการใช้งานของตัวเองมากที่สุด โดยสรุปแล้วก็จะมีทั้งเคสที่สามารถป้องกันการกระแทกได้ดี, เคสใสที่เน้นให้เห็นตัวเครื่อง, เคสสีที่ทำให้เข้ากับธีมและได้สีที่ตัวเองชอบ, แบบฝาปิดที่ทำให้ดูมีภูมิฐาน หรือแบบลวดลายที่ครอบคลุมทุกรูปแบบ และเหมาะกับคนที่อยากให้มือถือมีลวดลายสวยงามได้อีกด้วย