นอกจากมือถือ สมาร์ตโฟนจะเป็นหนึ่งในของจำเป็นสำหรับยุคนี้แล้ว หลาย ๆ ท่านก็อาจจะจำเป็นต้องมีหูฟังไร้สายติดตัวไว้ซักชุดนึง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้คุยโทรศัพท์ ฟังเพลงได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น ซึ่งในตอนนี้หูฟังไร้สายแบบที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็คือหูฟัง TWS (True Wireless) ที่จะเป็นแบบไร้สายจริง ๆ อาศัยการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth และมีกล่องใส่ที่สามารถชาร์จแบตกลับเข้าไปให้กับหูฟังได้ โดยปัจจุบันก็มีราคาจับต้องง่ายมากขึ้น แถมบางรุ่นก็ยังมีฟังก์ชันช่วยตัดเสียงรบกวนอีก ในบทความนี้เราจะมาดูกันครับว่าจะมีหูฟังแบบ TWS ที่มีระบบตัดเสียงได้ในราคาไม่ถึงพันรุ่นไหนที่น่าสนใจบ้าง
รวมหูฟัง TWS มีระบบตัดเสียง ราคาไม่ถึงพัน
ด้านบนนี้ก็จะเป็นตารางสรุปสเปคเทียบแต่ละรุ่นแบบคร่าว ๆ พร้อมราคานะครับ โดยในบทความจะเน้นหยิบมาเฉพาะรุ่นที่มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย สามารถหาซื้อได้ผ่านร้าน mall บนแพลตฟอร์มออนไลน์ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ประมาณ 600 บาทขึ้นไป แต่ราคาอาจจะมีปรับขึ้นหรือลงบ้างแล้วแต่ช่วงโปรโมชัน ช่วงเทศกาลลดราคาต่าง ๆ ทำให้บางทีอาจจะเจอราคาที่สูงกว่านี้บ้างเล็กน้อยได้เหมือนกัน
จากตารางก็จะมีหมายเหตุนิดนึงดังนี้
* ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ทั้งแบบการฟังเพลงและแบบทั้งหมดรวมแบตในเคส จะเป็นข้อมูลจากหน้าสเปคที่ระบุว่าเป็นการใช้งานปกติ ไม่ได้เปิดโหมดตัดเสียงรบกวน
* หูฟังหลายรุ่นจะไม่มีระบุไว้ว่ามีโหมด Gaming แต่จะมีระบุในสเปคหรือหน้าบรรยายคุณสมบัติว่ามีระบบช่วยลดระยะเวลา delay ลง แบบที่ไม่มีระบุค่าว่าอยู่ที่กี่วินาที
Redmi Buds 6 Lite
เริ่มกันที่หูฟัง TWS จากเครือแบรนด์ Xiaomi ที่คนไทยคุ้นเคยกันมาหลายปี โดยจะมาในรุ่น Redmi Buds 6 Lite ที่จะมีสีสันโทนสดใสให้เลือกอย่างสีฟ้าอ่อน ร่วมกับสีโทนคลาสสิกอย่างสีขาวและดำให้เลือก ด้านของสเปคก็จะให้มาค่อนข้างคุ้มทีเดียวเมื่อเทียบกับหูฟังรุ่นอื่นในราคาใกล้เคียงกัน อาทิการเชื่อมต่อจะเป็น Bluetooth 5.3 ที่ค่อนข้างใหม่ กันน้ำกันฝุ่นได้เต็ม ๆ ที่ระดับ IP54 ไดรเวอร์ขับเสียงก็มีขนาดใหญ่กว่าหลาย ๆ รุ่นในท้องตลาด แถมระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ยังจัดว่ายาวนานอีกด้วย ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งรอบ ประกอบกับราคาที่เปิดมาเพียง 599 บาทเท่านั้น จึงจัดว่าเป็นหูฟังแบบ TWS รุ่นเริ่มต้นที่น่าสนใจทีเดียว
ด้านของระบบตัดเสียง Redmi Buds 6 Lite ก็ให้มาเป็นแบบ Hybrid ANC (Active Noise Cancellation) ที่จะมีไมค์สองตัวในหูฟังช่วยรับเสียงจากภายนอก เพื่อนำไปประมวลผลในการตัดเสียงรบกวนจากรอบตัว เสียงลมออก ตรงนี้ Xiaomi ระบุว่าสามารถตัดเสียงรบกวนต่อเนื่องได้ที่ระดับ 40 dB ที่ช่วงความถี่ 2kHz ซึ่งเสียงลมพัดทั่วไปก็มักจะมีความถี่อยู่ในช่วงนี้พอดี ตัวหูฟังก็จะช่วยตัดเสียงรบกวนส่วนนี้ออก ช่วยให้สามารถฟังเพลงได้ชัดเจนขึ้น คุยโทรศัพท์ได้เสียงชัดกว่าปกติที่ไม่มีระบบ ANC ช่วย ตัวเคสมาพร้อมกับพอร์ตชาร์จ USB-C และไฟแสดงสถานะการชาร์จ ด้านการสั่งงานก็สามารถแตะที่ก้านหูฟังเพื่อควบคุมการทำงานได้
ในการใช้งานก็จะมีแอป Xiaomi Earbuds ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับ EQ เปิดโหมด Transparency เพื่อรับเสียงภายนอกเข้ามาบางส่วน และจัดการ ตั้งค่าอุปกรณ์ได้ มีให้โหลดทั้งใน Play Store และ App Store ส่วนถ้าใช้ร่วมกับมือถือ Android ก็ยิ่งสะดวกเข้าไปอีก เพราะ Redmi Buds 6 Lite รองรับระบบ Google Fast Pair ที่ช่วยให้สามารถจับคู่และเปิดใช้งานได้ง่ายคล้ายกับฝั่ง AirPods + iPhone อีกด้วย ทำให้รวม ๆ แล้วหูฟังรุ่นนี้ถือว่าน่าซื้อมาลองใช้งาน หรือจะซื้อมาเป็นหูฟังสำรองได้เลย
ราคา 599 บาท
AUKEY EP-M2
รุ่นที่สองก็จะมาจากแบรนด์สัญชาติเยอรมนี นั่นคือ AUKEY EP-M2 ที่โดดเด่นตั้งแต่เคสชาร์จที่กรอบด้านนอกจะเป็นฝาใส ทำให้มองเห็นหูฟังทั้งสองข้างในได้อย่างชัดเจน รองรับการชาร์จผ่านพอร์ต USB-C ส่วนของตัวหูฟังเองจะมีจุดขายในเรื่องของเสียง ด้วยไดรเวอร์ภายในที่มีขนาดใหญ่สุดใน 7 รุ่นที่ยกมา ทำให้ได้เสียงที่ครบถ้วน มีโหมดปรับ EQ ได้สามโหมดทั้งแบบที่เน้นความสมดุล ตอบโจทย์ด้านการฟังเพลง โหมดเน้นเบสและโหมดเน้นเสียงกลางเพื่อให้สามารถฟังรายการ ฟัง Podcast ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนการตัดเสียงก็จะเป็นการตัดเสียงรบกวนขณะโทรศัพท์เท่านั้น ไม่ได้เป็นแบบ ANC เหมือนในรุ่นแรก
เรื่องของดีไซน์ตัวหูฟังก็โดดเด่นไม่แพ้กัน กับน้ำหนักต่อข้างเพียงแค่ 3.5 กรัมเท่านั้น กันน้ำระดับ IPX4 ทำให้สามารถกันเหงื่อได้ประมาณนึง บริเวณก้านหูฟังก็รองรับการแตะเพื่อสั่งงานที่สามารถตั้งค่าได้ว่าจะใช้สำหรับการเปลี่ยนเพลง รับสาย เปลี่ยนโหมด EQ ไปจนถึงเรียกผู้ช่วยส่วนตัวของมือถือที่ใช้งานขึ้นมาก็ได้ด้วย แต่จะมีจุดอ่อนกว่ารุ่นอื่นในนี้เล็กน้อยก็คือระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่จะสั้นกว่ารุ่นอื่นพอสมควร
ราคา 699 บาท
Soundcore R50i NC
ต่อมาก็คือ Soundcore R50i NC ซึ่งเป็นรุ่นย่อยที่มีฟังก์ชันช่วยตัดเสียงแบบ ANC ด้วย ราคาบวกเพิ่มจากรุ่นปกติประมาณ 200 บาท โดยระบบตัดเสียง ANC ของรุ่นนี้จะสามารถตัดเสียงได้ที่ระดับ 42 dB ช่วงความถี่ 60-16kHz) จึงสามารถใส่ระหว่างนั่งรถ ใส่ฟังเพลงได้เต็มอรรถรส ลดเสียงรบกวนจากนอกลงได้เป็นอย่างดี ไดรเวอร์หูฟังมีขนาด 10 มม. มาพร้อมเทคโนโลยี BassUp ที่ช่วยเพิ่มพลังของเสียงเบสให้คมชัด หนักแน่นยิ่งขึ้น ส่วนการคุยโทรศัพท์ ตัวหูฟังมาพร้อมไมค์รวมทั้งหมด 4 ตัว ใช้ทั้งการรับเสียงพูดและรับเสียงจากภายนอกเพื่อมาใช้ประมวลผลในการตัดเสียงรบกวนด้วย นอกจากนี้ยังเป็นรุ่นที่กันน้ำกันฝุ่นได้ถึงระดับ IP54 จึงแทบไม่ต้องห่วงในการใช้งานเลย เปียกฝนเบา ๆ หรือตกน้ำเล็กน้อยก็ยังไม่มีปัญหา ขอแค่อย่าแช่น้ำนาน และอย่าโดนน้ำสาดใส่แรง ๆ ก็พอ
ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ของรุ่นนี้ก็ถือว่าทำได้นานทีเดียว เฉพาะตัวหูฟังอย่างเดียวแบบปิด ANC ก็ใช้ได้สูงสุด 10 ชั่วโมง รวมเคสแล้วก็เกือบสองวัน แต่ถ้าเปิด ANC ด้วยก็จะลดลงมาหน่อย ด้านของเคสชาร์จก็จะรองรับการชาร์จผ่านพอร์ต USB-C แต่ก็จะมีฟังก์ชันเสริมเล็กน้อยด้วย คือสามารถกางขาออกมาเพื่อใช้เป็นขาตั้งมือถือแบบในภาพด้านบนได้ด้วย ทำให้สามารถใช้ดูหนัง ดู YouTube แนวนอนได้เลยโดยไม่ต้องพกขาตั้งหรือใช้ griptok เพิ่มเติม ตัวหูฟังรองรับการใช้งานร่วมกับแอป Soundcore
ราคา 789 บาท
OPPO Enco Buds2
OPPO ก็เป็นอีกแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์ออกมาหลากหลาย แถมหูฟัง TWS ก็เป็นกลุ่มที่ทำราคามาได้ดี ฟีเจอร์น่าใช้งานด้วย อย่างตัวของ Enco Buds2 ก็เป็นหูฟังแนว earbuds ที่น่าสนใจ ด้วยดีไซน์ที่ใช้งานได้ง่าย มีก้านจับที่ใช้งานสะดวก รวมถึงยังมีการออกแบบบริเวณปุ่มสัมผัสให้มีหน้าตัดราบเพื่อให้ง่ายต่อการวางนิ้ว ซึ่งนอกจากใช้ในการควบคุมการเล่นเพลง กดรับสาย เพิ่มเสียง ลดเสียงได้แล้ว ยังสามารถแตะสองครั้งติด ๆ กันเพื่อใช้กดสั่งเป็นชัตเตอร์ให้มือถือถ่ายภาพได้อีกด้วย สามารถใช้งานได้นานสุดรวม 28 ชั่วโมง และเมื่อใช้เวลาชาร์จเพียง 10 นาที ก็จะสามารถใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้อีกนานสุดถึง 1 ชั่วโมงเลย
เรื่องของเสียงก็จะมาจากไดรเวอร์ขนาด 10 มม. ที่มีเทคโนโลยีช่วยเพิ่มพลังเบส และมีเอฟเฟกต์ Enco Live Stereo ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานเลือกระดับเสียงเบสที่ถูกใจ และได้เสียงกลางที่คมชัดด้วย ส่วนของการตัดเสียงจะเป็นเฉพาะขณะคุยโทรศัพท์ โดยใช้โหมด AI Deep Noise Cancellation ที่จะใช้ระบบมาช่วยในการตัดเสียงรบกวนจากภายนอก เพื่อให้เสียงพูดมีความชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงผู้ใช้เองก็ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายได้ชัดเจนด้วย ส่วนในการเล่นเกมก็จะมีโหมด gaming ซึ่งในหน้าเว็บไซต์ OPPO ระบุไว้ว่าเมื่อเปิดใช้งานแล้วจะลดค่า latency ลงมาเหลือแค่ 94ms เท่านั้น ทำให้สามารถใช้เล่นเกม ดูหนังได้แบบไม่เสียอรรถรส นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานร่วมกับแอป HeyMelody ซึ่งมีให้ใช้งานทั้งบน Android และ iOS
ราคา 799 บาท
HUAWEI FreeBuds SE 2
จัดว่าเป็นหูฟัง TWS รุ่นยอดนิยมในงบไม่ถึงพันเลยก็ว่าได้ ด้วยคุณสมบัติในด้านคุณภาพเสียงที่ดี น้ำหนักเบา แบตอึด ทั้งยังกันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP54 อีก จึงไม่แปลกใจที่จะมีคนซื้อ FreeBuds SE 2 ไปลองใช้แล้วติดใจ บอกต่อกันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับราคาที่ 799 บาท บางช่วงก็ใส่โค้ดลดได้เหลือประมาณ 600 นิด ๆ เท่านั้นเอง ดีไซน์ของหูฟังเองก็ได้รับการออกแบบมาให้ใส่ได้สบาย สามารถควบคุมการใช้งานผ่านจุดที่ก้านสัมผัสแต่ละข้างได้ รองรับการทำงานร่วมกับแอป AI Life ที่มีให้ใช้งานได้ทั้งบน Android และ iOS ส่วนถ้าใช้มือถือ HUAWEI ก็สามารถใช้งานได้ทันที สามารถค้นหาหูฟังผ่านแอปโดยกดให้หูฟังส่งเสียงออกมาก็ได้ด้วย
จุดเด่นเรื่องแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำมาได้ดีทีเดียว เฉพาะตัวหูฟังเองสามารถใช้งานได้นานสุด 9 ชั่วโมง รวมเคสแล้วก็ใช้งานได้นานสุดถึง 40 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จก็ทำได้เร็วมาก โดยชาร์จแค่ 10 นาทีก็สามารถนำไปใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้อีกนานสุดถึง 3 ชั่วโมงเลย ด้านของฟังก์ชันการตัดเสียงรบกวน จะเป็นเพียงการตัดเสียงรบกวนขณะโทรเท่านั้น ซึ่งก็ทำได้ค่อนข้างดีสมราคา
ราคา 799 บาท
1MORE Q20
1MORE ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีชื่อพอสมควร ในด้านของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเสียงสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป สำหรับหูฟัง TWS มีระบบตัดเสียงในราคาไม่แรงนักก็จะมี 1MORE Q20 ให้เลือกซื้อไปใช้งานกัน รูปร่างหน้าตาของทั้งเคสและตัวหูฟังเองก็จะใกล้เคียงกับแบรนด์อื่น ๆ คืออาศัยส่วนก้านยาวลงมาเป็นจุดที่เก็บแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถใช้ฟังเพลงได้ประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง (ปิด ANC) และถ้ารวมเฉพาะเคสด้วยก็จะใช้ได้นานสุดถึง 30 ชั่วโมง ส่วนถ้าเปิดระบบตัดเสียงรบกวน ANC ก็จะเหลือที่ 4 ชั่วโมงกับ 22 ชั่วโมงตามลำดับ บริเวณก้านก็รองรับการสั่งการแบบสัมผัส ที่สามารถใช้ทั้งเปลี่ยนเพลง หยุดเพลง รับสาย วางสาย ไปจนถึงเปลี่ยนโหมด ANC โหมด Pass-through เพื่อรับเสียงเข้า (transparency) ใช้เปลี่ยนโหมดเสียง รวมถึงใช้เปิด/ปิด Game Mode เพื่อช่วยลด latency ลงได้ด้วย
ซึ่งระบบตัดเสียงรบกวนนี้จะใช้เป็นเทคโนโลยี Quiet Max ของ 1MORE เองมาทำงานร่วมกับระบบ ANC ที่ใช้ไมค์รับเสียงจากภายนอกเข้ามาร่วมประมวลผล ทำให้ได้เสียงที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมมากนัก ลดเสียงลม เสียงรบกวนจากภายนอกลง ทำให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงได้แบบไม่เสียอรรถรส รวมถึงระหว่างคุยโทรศัพท์ก็จะได้ยินเสียงที่ชัดเจนอีกด้วย ส่วนถ้าต้องการเปิดเพลงแบบให้มีเสียงภายนอกเข้ามาบ้าง เผื่อเวลาที่ต้องใช้พูดคุยกับบุคคลรอบตัว ก็จะมีโหมด Transparency ให้ใช้งานด้วยเช่นกัน ซึ่งที่น่าสนใจคือทุกฟังก์ชันการปรับแต่งเหล่านี้ สามารถใช้งานจากที่หูฟังได้เลย ไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ราคา 899 บาท
UGREEN HiTune T3 Pro
มาถึงหูฟัง TWS รุ่นสุดท้ายนั่นคือ UGREEN HiTune T3 Pro ที่ราคาจากร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยจะอยู่ที่ 969 บาท ด้านความสามารถก็จัดว่าครบถ้วนเลย เริ่มตั้งแต่เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ให้มาเป็นรุ่นล่าสุดอย่าง Bluetooth 5.4 รองรับการปรับแต่งการทำงานร่วมกับแอป UGREEN ที่มีให้ใช้งานทั้งบน iOS และ Android ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่เฉพาะตัวหูฟังจะอยู่ที่สูงสุด 7 -7.5 ชั่วโมง รวมเคสก็ได้นานสุดถึง 30 ชั่วโมงแบบปิด ANC มีความสามารถในการกันน้ำได้ที่ระดับ IPX5
ส่วนระบบตัดเสียง ANC ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกลงได้สูงสุด 30 dB ทำให้สามารถใช้ฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกมได้แบบไม่ถูกรบกวน หรือถ้าต้องการเปิดรับเสียงภายนอก ก็จะมีโหมด transparency ให้เปิดใช้งานได้เช่นกัน ซึ่งสามารถเปิดและปิดการใช้งานได้จากก้านหูฟังได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการเล่นเพลงได้เพียงแค่การแตะบริเวณก้านหูฟังเท่านั้น สำหรับในการเล่นเกม ดูหนังก็จะมีโหมด gaming ที่ช่วยลด latency ลงเหลือต่ำสุด 60ms เพื่อให้ได้ภาพที่ตรงกับเสียงยิ่งขึ้น
ราคา 969 บาท