ในงาน Mobile World Congress 2024 หรือ MWC 2024 ณ เมืองบาร์เซโลน่า สเปน Xiaomi ได้ทำการเปิดตัว Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra แบบ Global เป็นที่เรียบร้อย แถมตามมาด้วย Xiaomi Pad 6s Pro และ Xiaomi Watch หลายรุ่น แต่บอกเลยว่าไฮไลท์ที่น่าสนใจที่สุดยังไงก้ไม่พ้น Xiaomi 14 Ultra ที่ในที่สุดก็ออกมาขายนอกประเทศจีนกันเสียที
Xiaomi 14
แต่ก่อนจะไปตัว Ultra ก็ต้องมาที่ตัวเริ่มต้นกันก่อนอย่าง Xiaomi 14 ที่จะมาพร้อมหน้าจอแบบใหม่ TCL C8 LTPO OLED ขนาด 6.36 นิ้ว ที่มีอัตราส่วนหน้าจอมากถึง 93.3% มาพร้อมอัตรารีเฟรชที่ 1 – 120Hz มีความสว่าวหน้าจอมากถึง 3000nits แต่ที่พิเศษกว่าก็คือขอบหน้าจอที่แคบเพียง 1.61 มม. และขอบล่างแคบเพียง 1.71 มม. ซึ่งแคบกว่า Xioami 13 ที่เป็นรุ่นก่อนเสียอีก
ชิปประมวลผลตัวเครื่องแน่นอนว่าต้องใช้เป็น Snapdragon 8 Gen 3 ที่เป็นชิปเรือธงในขณะนี้ มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4610mAh ที่ทาง Xiaomi เคลมว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 15 ขั่วโมงกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบชาร์จ 90W HyperCharge ที่สามารถชาร์จ 0-100% ได้ภายในเวลาเพียง 31 นาที และ 50W Wireless HyperCharge ที่สามารถชาร์จ 0-100% ได้ภายในเวลาเพียง 46 นาทีเท่านั้น
มาที่ตัวกล้องบ้าง โดย Xiaomi 14 จะมาพร้อมเซ็นเซอร์ 3 ตัว พร้อมชุดเลนส์ไฮเอ็นรุ่นใหม่อย่าง LEICA Summilux ซึ่งจะประกอบไปด้วยกล้องหลักเป็น Light Fusion 900 ความละเอียด 50MP f/1.6 ขนาด 1/1.31″, กล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 50MP มุมกว้าง 115 องศา และกล้องเทเลโฟโต้ความละเอียด 50MP ที่สามารถซูมแบบ Optical ได้ที่ระยะ 3.2 เท่า
สำหรับราคานั้น Xiaomi 14 ในรุ่น Global จะวางจำหน่ายในรุ่น 12GB + 256GB ด้วยราคา 999 ยูโร หรือราว 39,100 บาท
Xiaomi 14 Ultra
มาถึงคิวพระเอกของงานอย่าง Xiaomi 14 Ultra สมาร์ทโฟนเรือธงที่แต่เดิมจะขายเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ตอนนี้ออกมาสู่ Global เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหน้าตานี้เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนนิดหน่อยตรงที่ด้านหลังเครื่องบริเวณกล้องจะไม่ได้มาแบบสโลปแล้วแต่จะเรียบเนียนเสมอกันหมด โดยจะมีให้เลือกแค่ 2 สีคือขาวและดำ และใช้วัสดุฝาหลังเป็นหนังวีแกน
ในส่วนของหน้าจอนั้นจะมาพร้อมหน้าจอเทคโนโลยีใหม่ C8 OLED LTPO ที่ทาง Xiaomi และ CSOT ร่วมกันพัฒนาขึ้นมา มีขนาดจอแสดงผลอยู่ที่ 6.73 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ รองรับอัตรารีเฟรช 1-120Hz รองรับการแสดงผล HDR10+ และ Dolby Vision พร้อมด้วยความสว่างสูงสุด 3000nits และ 1920Hz PWM Dimming อีกทั้งปกป้องกันจอด้วย Xiaomi Shield Glass และยังกันน้ำ IP68 ด้วยนะ
สำหรับชิปประมวลผลที่ใช้นั้นคือชิป Snapdragon 8 Gen 3 ตัวแรงของ Qualcomm ที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนแบบใหม่ Dual Channel Ice Loop เป็นระบบระบายความร้อนที่ช่วยลดทั้งความร้อนจากทั้งชิป และโมดูลกล้องโดยเฉพาะ สามารถทำงานได้ดีกว่าระบบ Vapor Chamber แบบธรรมดา 3 เท่า ส่วนแบตเตอรี่จะมีขนาดอยู่ที่ 5300mAh พร้อมระบบชาร์จเร็ว 90W HyperCharge และ 80W Wireless HyperCharge แถมยังเชื่อมต่อดาวเทียมได้ด้วยนะ
ตัวกล้องที่เป็นไฮไลท์เด่นที่สุดเป็นกบ้อวที่พัฒนาขึ้นมาร่วมกับทาง Leica โดยตัวโมดูลจะออกแบบในสไตล์ Cloud de Paris และใช้กล้องหลังเป็น Leica VARIO-SUMMILUX 4 ตัว ซึ่งที่เด่นสุดก็คือกล้องหลักที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony LYT-900 ที่มีความละเอียด 50MP ขนาด 1 นิ้ว , f/1.63 ~ f/4.0 รูรับแสงปรับแบบ Stepless ได้ 1,024 ขั้น และ แบบ Physical ได้ 3 stop, กล้องอัลตร้าไวด์ระยะ 12 มม. มีความละเอียด 50MP ที่ถ่ายได้มุมกว้าง 122 องศา, กล้องเทเลโฟโต้ระยะ 75 มม. มีความละเอียด 50MP รองรับการซูมแบบ Optical ที่ระยะ 3.2 เท่า และสามารถถ่ายภาพแบบ close-up macro ได้ด้วย และกล้องตัวสุดท้ายเป็นกล้องเพอริสโคประยะ 120 มม. ความละเอียด 50MP ที่รองรับการซูมแบบ Optical ที่ระยะ 5 เท่า ซึ่งกล้องรองทั้ง 3 ตัวใช้เซ็นเซอร์ตัวเดียวกันคือ Sony IMX858
อีกทั้ง Xiaomi 14 Ultra จะเป็นสมาร์ทโฟนตัวแรกของโลกที่ใช้ “กลไกการถ่ายภาพเชิงคำนวณด้วย AI” (AI Computational Photography Engine) ที่เรียกว่า “Xiaomi AISP” โดยจะให้ AI ทำงานร่วมกับ ALM และ HyperOS มาช่วยกันประมวลผลภาพ เพื่อให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดเยอะและละเอียดที่สุด และยังช่วยในเรื่องของ Fusion Capture ที่มีระบบตัวช่วยจับโฟกัสในการถ่าย Ultra Zoom ที่ระยะซูม 30 เท่าขึ้นไป และยังมีโหมด Master Portrait ที่ได้มาจากการประมวลผล เพื่อให้ได้ภาพ Portrait ที่สมจริงที่สุด
อีกหนึ่งไฮไลท์ของซีรี่ส์ Ultra เลยก็คืออุปกรณ์เสริมอย่าง Photography Kit ที่จะเป็น Grip ให้ได้การจับถือแบบเดียวกับกล้องจริงๆ โดยภายในตัว Grip นี้จะมีแบตเตอรี่อีก 1500mAh และยังรองรับการชาร์จ 90W ด้วยนะ อีกทั้งบนตัว Grip ยังมีปุ่มกดเปิด-ปิดเครื่องได้, มีปุ่ม Dial สามารถปรับค่าชดเชยแสง EV, มีปุ่มชัตเตอร์แบบ 2 Step ที่สามารถหมุนเลนส์เพื่อซูมได้ และมีปุ่มเสริมใช้สำหรับกดถ่ายวิดีโอได้ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีวงแหวนอะแดปเตอร์สำหรับใส่ Filter ขนาด 67 มม. และอุปกรณ์เสริม ที่ช่วยขยายการจับสัญญาณดาวเทียมบริเวณเลนส์กล้อง และยังช่วยเพิ่มอัตราการจำสัญญาณดาวเทียมได้เร็วขึ้นกว่า 129% โดยตัวอุปกรณ์จะเป็นฝาปิดปกป้องเลนส์ สามารถใช้เป็นขาตั้งเครื่องได้ด้วย
สำหรับราคาค่าตัว Xiaomi 14 Ultra รุ่น Global นั้นจะวางจำหน่ายในรุ่น 16GB+512GB ด้วยราคา 1,499 ยูโร หรือราว 58,600 บาท
Xiaomi Pad 6s Pro
นอกเหนือจากสมาร์ทโฟนแล้ว Xiaomi ยังมีการเปิดตัวแท็บเล็ตเพิ่มอีก 1 รุ่นด้วยนั่นก็คือ Xiaomi Pad 6s Pro ที่เป็นแท็บเล็ตจอใหญ่ขนาด 12.4 นิ้ว บอดี้ทำจากอลูมิเนียมอัลลอยด์ สีเทาแกรไฟต์ บาง 6.26 มิลลิเมตร น้ำหนัก 590 กรัม มีหน้าจอที่ออกแบบมาที่มีอัตราส่วน 3:2 ใกล้เคียงกับพีซี
ตัวหน้าจอเป็นจอความบละเอียด 3.2K อัตรารีเฟรช 144Hz มีความสว่าวง 900nits มาพร้อมชิป Snapdragon 8 Gen 2 มีแบตเตอรี่ขนาด 10000mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวๆ 22 ชั่วโมง พร้อมชาร์จเร้ว 120W และลำโพง 6 ตัวพลังเสียง Dolby Atmos
ตัว Xiaomi Pad 6s Pro นั้นจะมี AI Art ที่สามารถ generate ภาพที่เราสเกตช์หรือวาดไว้ให้สวยขึ้นได้ และยังสามารถซิงก์กล้องกับมือถือของ Xiaomi ได้ด้วย และยังมี Xiaomi Smart Hub ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่นๆ ได้โดยตรงจากตัวแท็บเล็ต เช่น รับสาย-วางสาย, แชต และอื่นๆ
สำหรับราคาค่าตัวนั้น Xiaomi Pad 6S Pro จะวางจำหน่าวยในรุ่นความจุ 8GB+256GB ด้วยราคาที่ 699 ยูโร หรือราว 27,400 บาท ซึ่งจะวางจำหน่ายแยกกับ Touchpad คีย์บอร์ด ที่ราคา 169 ยูโร หรือราว 6,600 บาท และ Focus Pen ที่ราคา 99 ยูโร หรือราว 3,900 บาท
Xiaomi Smart Band 8 Pro
ถ้าไม่เปิดตัว AIoT ก็ไม่ใช่ Xiaomi แล้วกับผลิตภัณฑ์สายรัดข้อมืออัจฉริยะรุ่นใหม่ของ Xiaomi กับ Xiaomi Smart Band 8 Pro มาพร้อมหน้าปัดขนาด 1.74 นิ้ว จอแสดงผลแบบ AMOLED ความละเอียด 336×480 พิกเซล พร้อมสายต่าง ๆ ให้เลือกซื้อมากมาย ความสว่างสูงสุด 600 นิต อัตรารีเฟรช 60 Hz ออกแบบมาให้มีความบางเบา หน้าปัดบาง 9.99 มม. เบาเพียง 22.5 กรัม มาพร้อม Corning Gorilla Glass และระบบกันน้ำระดับ 5ATM หรือกันน้ำในระดับ 50 เมตร มาพร้อมการอัปเกรดเรื่องระบบตรวจสอบสุขภาพ พร้อมโหมดออกกำลังกายมากกว่า 150 ประเภท ใช้งานได้ต่อเนื่อง 14 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
สำหรับราคาค่าตัว Xiaomi Smart Band 8 Pro สนนราคาอยู่ที่ 69 ยูโร หรือราว 2,700 บาท
Xiaomi Watch S3
Xiaomi Watch S3 ที่มาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว ขอบบาง มี 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีเงิน และยังมาพร้อมสายหลากหลายแบบ สามารถเปลี่ยนขอบตามสายได้ด้วย มี Hand Gesture ที่เมื่อเขย่าแขน หน้าจอจะเปลี่ยนการแสดงผลให้โดยอัตโนมัติ ใช้งานได้ 15 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มีระบบตรวจสอบสุขภาพและโหมดออกกำลังกายกว่า 150 ประเภทเช่นดียวกัน
สำหรับราคาค่าตัว Xiaomi Watch S3 สนนราคาอยู่ที่ 149 ยูโร หรือราว 5,800 บาท
Xiaomi Watch 2
Xiaomi Watch 2 มาพร้อมความร่วมมือกับ Google สามารถติดตั้งแอปฯ ต่าง ๆ ผ่าน Google Play Store โดยจะมีลักษณะภายนอกดูสปอร์ตขึ้น น้ำหนักเบาลง มาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon W5+ Gen 1 ขนาด 4 นาโนเมตร เพิ่มเติมเซ็นเซอร์เทคโนโลยีเข้าไป เพื่อช่วยในเรื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบสุขภาพแม่นยำขึ้น มีการเพิ่มโหมดใหม่อย่าง Ski Mode และ Snowboarding โหมดเพื่อตรวจสอบความลาดชันของพื้นที่ ความจุกว่า 32GB และมีอายุการใช้งานแบตฯ สูงสุด 65 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
สำหรับราคาค่าตัว Xiaomi Watch 2 สนนราคาอยู่ที่ 199 ยูโร หรือราว 7,800 บาท