สำหรับ Apple Watch Series 6 ที่เปิดตัวกันไปแล้ว เมื่อคืนวันที่ 16 กันยายน 2020 ที่ผ่านมา พร้อมกับ iPad Air และ iPad8 ด้วย ซึ่งก็ได้เพิ่มฟีเจอร์ และสเปคภายนอก ทั้งสีและสายใหม่เข้ามาอีกมากมาย
ทั้งนี้ Apple Watch นั้น ก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์พกพา ที่มีการพัฒนาเพื่อการใช้งานให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา และเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน รวมไปถึงตัว Series 6 นี้เช่นกัน ที่ได้พัฒนาหลายๆ อย่าง เพื่อการใช้งานที่ดีขึ้นไปด้วย วันนี้เราก็ได้รวบรวมสเปค และฟีเจอร์ต่างๆ ที่ได้เปิดตัวกันไปแล้ว มาดูกันเลยว่าตัว Series 6 นี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
สรุป ข้อมูลสำคัญ Apple Watch Series 6
หลังจากที่ได้มีการเปิดตัว Apple Watch Series 6 จบลงไปแล้ว ก็ได้มีฟีเจอร์เพิ่มขึ้นมาจากตัว Apple Watch Series 5 อยู่เยอะพอสมควร หรือจริงๆ อาจจะบอกได้ว่ารุ่นนี้ เป็นรุ่นที่อัพเกรดมาจาก Series 5 ก็ว่าได้ เนื่องจาก ได้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้ไวขึ้น ทั้งเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมถึงปริมาณแบตเตอรี่ที่มากขึ้น และฟีเจอร์ต่างๆ ที่ช่วยให้การออกกำลังกาย กับการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้น มากกว่าของเดิม รวมไปถึง Watch OS7 ด้วย มาดูกันเลยว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง เราได้สรุปข้อมูลสำคัญเอาไว้แล้ว คือ
- หน้าจอ OLED เหมือนกับรุ่น Series 5
- ขนาดของตัวเรือน : 40 มม. และ 44 มม.
- มีสองรุ่นคือ GPS และ GPS+Cellular
- มีรุ่นใหม่คือ Apple Watch SE
- Apple Watch SE มี Cellular เพื่อรองรับ Family Setup
- วัสดุใหม่ เป็นอะลูมิเนียมแบบรีไซเคิล 100%
- มีสีแดง และ สีน้ำเงิน เพิ่มเข้ามาใหม่
- สายใหม่ แบบ Solo Loop ที่ไม่มีตัวล็อค ไม่มีเข็มแบบปรับขนาดได้ จะเป็นเหมือน Wisrt Band แทน
- แบตเตอรี่ 303.8 mAh ใช้งานได้ยาวนาน 18 ชั่วโมง
- ไม่มีอแดปเตอร์แถมมาให้แล้ว
- ฟีเจอร์ใหม่ วัดออกซิเจนในเลือดได้ วัดระดับความสูงได้ตลอดเวลา
- VO2 Max วัดออกซิเจนขณะออกกำลังกาย
- Family Setup สำหรับติดตามคนในครอบครัว ส่งข้อความหากันได้ เหมาะสำหรับเด็ก ที่สำคัญรองรับในไทยด้วย
- Watch Face แบบใหม่ คือ GMT, Time Roman, Memoji Face
- ชิปเซต S6 Dual-core ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ และช่วยให้จอสว่างขึ้น
- Always on Display หน้าจอเปิดตลอดเวลา
- Digital Crown ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม
- ราคา Apple Watch Series 6 เริ่มต้น 13,400 บาท และ Apple Watch SE เริ่มต้น 9,400 บาท วางจำหน่ายในเร็วๆ นี้
- Watch OS7 จะเปิดให้ใช้งานในรุ่น Series 3 ขึ้นไป ในวันที่ 17 กันยายน 2020 และต้องใช้ iPhone 6s หรือรุ่นใหม่กว่าที่มี iOS14 คุณสมบัติบางอันอาจใช้ไม่ได้ในบางเครื่องด้วย
1. สเปค
ในเรื่องของการดีไซน์ ต้องบอกว่า ยังคงคล้ายกับรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Series 5 ที่หน้าจอยังเป็น OLED Retina แบบ Always on Display เปิดตลอดเวลา แต่จะสว่างกว่า Apple Watch Series 5 ในตอนกลางวันถึง 2.5 เท่า และ Digital Crown ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแบบ Touch ID แต่อย่างใด ส่วนขนาดของรุ่นนี้จะมีมาให้เลือก 2 ขนาด ก็คือ 40 มม. และ 44 มม. และมี 2 รุ่นให้เลือก คือ GPS และ GPS+Cellular เหมือนเดิม ส่วนวัสดุนั้นจะมีทั้งแบบ อะลูมิเนียม สแตนเลสสตีล และไทเทเนียม ส่วนที่มีข่าวว่าจะมีพลาสติก ก็ไม่ได้ทำขึ้นมา แต่มีรุ่น Watch SE เพิ่มเข้ามาแทน
แต่สิ่งที่น่าสนใจของวัสดุในรุ่นใหม่นี้ ที่เป็นอะลูมิเนียม ทาง Apple ได้ออกมาบอกว่า สามารถรีไซเคิลได้ 100% เพื่อช่วยลดขยะให้กับทั่วทั้งโลก และทำให้เห็นถึงความใส่ใจในการผลิตวัสดุ ที่มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งทางด้านความแข็งแรงทนทาน ก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่ แต่ยังกระแทกแรงๆแล้วเป็นรอยอยู่นะ ต้องระวังตรงนี้ด้วย
ส่วนทางด้านของซิปเซตของรุ่นนี้นั้น จะเป็น S6 SiP และเป็นโปรเซสเซอร์ Dual-core ใหม่ที่ใช้ A13 Bionic ใน iPhone 11 ด้วย เพิ่มการทำงานให้เร็วขึ้นถึง 20% นอกจากนี้ Apple Watch Series 6 ยังมีชิป U1 และ Ultra-wideband ด้วย ที่จะสามารถเปิดใช้งานแบบไร้สายในระยะสั้นได้ อย่างเช่น กุญแจรถดิจิทัลในรุ่นใหม่ๆ
เรื่องของแบตเตอรี่ที่เป็นความคาดหวังของหลายๆ คนนั้น รุ่นนี้ก็ได้เพิ่มความจุมาให้เป็น 303.8 mAh สามารถใช้ได้อย่างยาวนานถึง 18 ชั่วโมง ก็พอๆกับรุ่นก่อนนั่นแหละ แต่การชาร์จจะชาร์จเร็วขึ้นชาร์จ โดยสามารถชาร์จให้เต็มได้ภายในเวลา 1.5 ชั่วโมง และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็ยาวนานขึ้นด้วย ส่วนสำคัญอีกอย่างที่ Apple มองว่าอแดปเตอร์ที่ให้มานั้น เป็นการทำลายธรรมชาติ และอาจเป็นขยะที่อันตรายได้ รุ่นนี้จึงไม่มีการแถมอแดปเตอร์มาให้แล้ว
2. สีและสายใหม่
Apple Watch Series 6 นี้ได้เพิ่มสีใหม่เข้ามา เป็นตัวเรือนอะลูมิเนียมสีน้ำเงิน และ (Product) Red ก็คือสีแดงทั้งตัวเรือนไปเลย เพิ่มสีสันให้ดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีกระดับ เท่าที่ดูจากตัวเครื่องแล้ว ก็ทำสีออกมาได้สวยจริง
ส่วนในเรื่องของสายใหม่นั้น Apple ก็ได้ทำสายที่เรียกว่า Solo Loop ขึ้นมาใหม่ โดยจะเป็นเส้นเดียวไปเลยแบบ Slip on สามารถสวมใส่ได้ทันที มีความยืดหยุ่นและใส่ง่ายขึ้น ตัดตัวล็อคออก และไม่มีเข็มแบบปรับขนาด แถมยังมีสีสันให้เลือกอีกด้วย ส่วนวัสดุของสายแบบ Solo Loop นี้จะมี 2 แบบ ก็คือแบบเรียบๆ ที่เป็นซิลิโคนแบบนิ่ม และแบบสายถักที่เป็นวัสดุเป็นเส้นด้ายรีไซเคิลที่ถักเข้ากับด้ายซิลิโคน มีน้ำหนักเบามากกว่าที่ผ่านๆมา
3. ฟีเจอร์วัดออกซิเจนในเลือด
ในรุ่นนี้ได้ปรับปรุงความแม่นยำของเซ็นเซอร์ ในการวัดออกซิเจนในเลือดมากขึ้น โดยจะใช้ไฟ LED สีเขียว สีแดง จะเป็นอินฟราเรดสี่ตัว พร้อมกับโฟโตไดโอดสี่ดวง ที่อยู่ด้านหลังของตัวเรือน เพื่อวัดแสงจากเลือดของเราที่ข้อมือ และมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Blood Oxygen ที่ออกแบบมาเพื่อวัดระดับออกซิเจนในเลือดระหว่าง 70 เปอร์เซ็นต์ ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ หากเกินหรือต่ำกว่านี้ ก็จะมีการเตือนขึ้นมาให้รู้ทันที นอกจากนี้ยังมีสัญญาณ ที่บอกถึงระบบทางเดินหายใจ หากมีความเสี่ยงในเรื่องของการเป็น ไข้หวัดใหญ่ และ COVID-19 ด้วย
4. การวัดระดับความสูง ที่เปิดอยู่ตลอดเวลา (Always-On Altimeter)
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ เครื่องวัดความสูง ที่เปิดอยู่ตลอดเวลา ให้เราได้รู้ระดับความสูงแบบเรียลไทม์ ตลอดทั้งวันโดยใช้เครื่องวัดความสูงแบบ barometric ที่ช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้น พร้อมการเชื่อมต่อด้วย GPS และ Wi-Fi
5. Watch Face แบบใหม่
Watch Face ก็เป็นอีกอย่างที่ทาง Apple ได้นำเสนอเข้ามาใหม่ด้วย โดยหน้าจอของตัว Watch Series นี้จะมี Watch Face ใหม่ที่เข้ามาคือ GMT, Time Roman, Memoji Face ที่ให้เราสามารถใส่หน้าตัวเองที่เป็น Memoji เคลื่อนไหวได้ ก็ดูน่าสนใจ และช่วยให้ดูมีลูกเล่นมากขึ้นเยอะเลย
6. Apple Watch Collection
คอลเลคชันของตัว Series 6 นี้ก็จะลดระดับจากรุ่นก่อนหน้าลงมาหน่อย โดยจะมีรุ่นที่เป็น Standard หรือรุ่นปกติ ที่เป็นอะลูมิเนียม กับ สแตนเลสสตีล รุ่น Nike ที่เป็นวัสดุอะลูมิเนียมพร้อมกับสายสวยงามเหมือนเดิม Apple Watch Hermès ที่สายจะเบาบางกว่า Series 5 แต่จะเพิ่มเข้ามาในส่วนของสีสันที่มากขึ้น และวัสดุเป็นสแตนเลสสตีล และสุดท้ายคือแบบ Watch Edition ที่วัสดุเป็นไทเทเนียม
7. Family Setup
ระบบ Family Setup ที่ครอบครัวสามารถเข้าถึงกันได้ตลอดเวลา และเหมาะสำหรับเด็ก หรือคนที่มีอายุที่ยังไม่มี iPhone ก็สามารถเชื่อมต่อเข้าถึงกันได้ โดยจะเชื่อมต่อกันเพื่อสื่อสาร และการรับรู้ถึงการกระทำต่างๆ และหากเกิดเหตุขึ้นก็จะมีการส่งสัญญาณ SOS อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีโหมดใหม่ที่เรียกว่า Schooltime ที่ช่วยจัดตารางการเรียน และการทำการบ้านได้อีกด้วย
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ Fitness+ ที่จะคอบเป็นไกด์ ช่วยในการออกกำลังกาย อย่างเช่นท่าทาง และวิดีโอสอนการออกกำลังกายท่าต่างๆ มากถึง 10 ท่า โดยจะทำการลิงก์เข้ากับอุปกรณ์ของ Apple เลย แถมยังเชื่อต่ออัตราการเต้นของหัวใจร่วมไปด้วยอีก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นออกกำลังกาย หรือผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นอย่างมาก
8. ราคา
ราคาที่จะวางจำหน่ายในเร็วๆนี้ ได้แก่
- Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS) เริ่มต้น 13,400 บาท
- Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS + Cellular) เริ่มต้น 16,900 บาท
แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นสเปค และฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในตัวของ Apple Watch Series 6 ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อคืนนี้เอง ส่วนถ้ามีอะไรมาอัพเดทใหม่อีก เราก็จะมาอัพเดทกันอีกครั้ง โดยรวมแล้วถือว่ามีอะไรที่เข้ามาใหม่ และน่าสนใจเยอะมาก ส่วนเรื่องวันวางจำหน่าย ในประเทศไทย รวมไปถึงโปรโมชันต่างๆ หากมีการอัพเดทเพิ่มเติม ทาง specphone จะมาบอกกันอีกครั้งนะครับ