ก่อนหน้านี้เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินข่าวของมือถือที่สามารถเปลี่ยนโมดูลของตัวเครื่องเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานของมือถืออย่างโปรเจกต์ ARA จาก Google กันมาบ้างแล้ว ซึ่งก็ยังไม่น่าเชื่อว่าจะมีมือถือที่สามารถทำแบบนี้ได้เกิดขึ้นจริงๆ จนได้เห็นการปรากฎตัวของ LG G5 มือถือที่สามารถถอดเปลี่ยนโมดูลตัวเครื่องเพื่อใช้งานอุปกรณ์พิเศษอย่างเช่น LG Cam Plus เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการถ่ายภาพ หรือ LG Hi-Fi Plus โมดูลที่จะทำให้ LG G5 เป็นเครื่องเล่นเพลงระดับ Hi-End ด้วยลำโพงที่ดีไซน์โดย Bang and Olufsen (B&O) เป็นต้น
และล่าสุด Moto By Lenovo ได้เปิดตัวมือถือเรือธงรุ่นล่าสุดซึ่งก็คือ Moto Z อย่างเป็นทางการแล้วในตอนนี้ และนอกจากเรื่องของสเปคตัวเครื่องที่น่าสนใจแล้ว จุดเด่นของมือถือรุ่นนี้นั่นคือดีไซน์ตัวเครื่องที่สามารถถอดเปลี่ยนโมดูลของตัวเครื่องได้ และในบทความนี้ผมจะพาไปทำความรู้จักกับ Moto Z มือถือแปลงร่างได้รุ่นล่าสุดจากค่าย Moto By Lenovo ไปดูกันเลยว่าจะน่าสนใจขนาดไหน
MotoMods
ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องสเปคตัวเครื่องหรือดีไซน์ของ Moto Z ผมขอแนะนำสิ่งที่เป็นจุดแข็งของมือถือรุ่นนี้เสียก่อน นั่นก็คือ MotoMods โมดูลที่จะเปลี่ยน Moto Z ให้เป็นมากกว่ามือถือเรือทั่วไป โดย Moto Z จะมาพร้อมกับความสามารถในการถอดฝาหลังเพื่อเพิ่มความสามารถให้กับตัวเครื่องได้ โดยจะมีโมดูล 3 แบบให้เลือกใช้งานดังต่อไปนี้
1.JBL SoundBoost Speaker
เริ่มจากโมดูลแรกที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในด้านระบบเสียงด้วยลำโพงคุณภาพสูงแบบ built-in จาก JBL โดยจากภาพด้านบนจะเห็นได้ว่าเมื่อประกอบตัวโมดูลเข้ากับ Moto Z จะทำให้ตัวเครื่องนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นพอสมควร ซึ่งในการเปลี่ยนโมดูลของตัวเครื่อง Lenovo เลือกใช้แม่เหล็กแรงสูงเข้ามาช่วยยึดให้ตัวเครื่องของ Moto Z และ MotoMods ติดกันเองโดยธรรมชาติ และไม่แน่ว่าสิ่งนี้อาจจะทำให้ Moto Z นั้นเป็นมือถือที่ฟังเพลงเพราะเป็นอันดับต้นๆ เลยก็เป็นได้
2.Moto Insta-Share Projector
และโมดูลต่อไปก็คือ Moto Insta-Share Projector โปรเจคเตอร์เทคโนโลยีจาก DLP ที่สามารถฉายภาพเทียบเท่ากับหน้าจอกว้าง 70 นิ้วในอัตราส่วนแบบ 16:9 ความสว่างที่ 50 lumens โดยประมาณ และสิ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือตัว Moto Insta-Share Projector นั้นสามารถปรับองศาภาพที่ฉายออกไป โดยจะมีข้อแม้เพียงแค่พื้นที่ที่จะฉายนั้นจะต้องเป็นพื้นที่เรียบเท่านั้น ในเรื่องของการใช้พลังงานนั้น Moto Insta-Share Projector มาพร้อมกับแบตเตอรี่ในตัว 11,000 mAh
3.Incipio offGRID™ Power Pack
และโมดูลตัวสุดท้ายนั้นได้แก่ Incipio offGRID™ Power Pack ขนาด 2,220 mAh โมดูลที่จะเป็นแบตเตอรี่เสริมให้เราสามารถใช้งาน Moto Z ได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อใส่ตัว Incipio offGRID™ Power Pack เข้ากับ Moto Z จะทำให้เราสามารถใช้งาน Moto Z ได้นานขึ้นถึง 22 ชั่วโมงเลยทีเดียว และที่พิเศษมากๆ นั่นคือ Incipio offGRID™ Power Pack ยังสามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายได้อีกด้วย (เฉพาะเวอร์ชั่นที่รองรับ Wireless Charging) และนี่ก็คือ MotoMods ทั้ง 3 ตัวที่จะใช้ร่วมกันกับ Moto Z
ดีไซน์
หากไม่นับเรื่องการใส่โมดูลเข้ากับตัวเครื่อง Moto Z จัดว่าเป็นมือถือที่มีความบางมากที่สุดในโลกในปัจจุบันนี้ ตัวเครื่องของ Moto Z มีความบางอยูที่ 5.19 มม.ซึ่งทาง Moto ได้ตัดช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มม. ออกไปและแทนที่ด้วย USB Type-C ที่จะทำหน้าที่เป็นช่องเสียบหูฟังด้วยเช่นกัน และนั่นหมายความว่าสายเสียบหูฟังจะต้องเป็นพอร์ท USB Type-C ด้วยเช่นกัน
นอกจากเรื่องของการปรับปรุงในด้านความบางของตัวเครื่องแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จัดว่าน่าสนใจนั่นคือฝาหลัง (ที่ไม่ใช่โมดูล) ของตัวเครื่องที่มีหลากหลายแบบให้เลือกใช้งาน จากวัสดุหลากหลายประเภทอาทิเช่น ไม้แท้จากธรรมชาติ , หนังสัตว์ หรือ ฝาหลังที่ทำจากเนื้อผ้า ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นอีกจุดขายที่ทำให้ Moto Z นั้นเป็นมือถือที่น่าสนใจ
สเปค
และเรื่องต่อไปนั่นคือเรื่องของสเปคตัวเครื่อง Moto Z มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ขนาด 5.5 นิ้วความละเอียดแบบ QHD ความหนาแน่นพิกเซลอยู่ที่ 535 ppi เรื่องของความคมชัดนั้นหายห่วงอย่างแน่นอน ในเรื่องของการประมวลผล Moto Z มาพร้อมกับซีพียู Snapdragon 820 แบบ Quad core ความเร็ว 2.2 GHz พร้อมกับแรมขนาด 4 GB หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง Moto Z ก็มาพร้อมกับหน่วยความจำให้เลือกใช้งาน 2 ขนาดนั่นคือ 32 GB และ 64 GB
ในส่วนของกล้องถ่ายภาพ Moto Z ก็มาพร้อมกับกล้องถ่ายภาพความละเอียด 13 ล้านพิกเซลรูรับแสงกว้าง ƒ/1.8 , OIS กันสั่น , แฟลชแบบ Dual LED และเทคโนโลยีเลเซอร์โฟกัส ในส่วนของกล้องหน้า Moto Z นั้นก็มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รองรับการใช้งาน USB Type-C , เทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่เร็ว และเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคตัวเครื่อง
ซอฟท์แวร์
และเรื่องสุดท้ายได้แก่เรื่องของซอฟท์แวร์ Moto Z มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Android 6.0.1 Marshmallow และนี่คืออีกสิ่งที่ดีของการใช้มือถือ Moto นั้นก็คือผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์ใช้งานที่ใกล้เคียงกับการใช้ Stock Android จาก Google โดยจะมีการปรับเปลี่ยนนิดหน่อยจากทาง Moto อย่างเช่น Widget , นาฬิกา หรือการปรับแต่งซอฟท์แวร์กล้องถ่ายภาพ เป็นต้น โดยข้อดีของมือถือที่มาพร้อมกับ UI แบบ Pure Google นั้นก็คือจะรู้สึกได้ถึงความลื่นไหลในการใช้งานที่มากกว่ามือถือที่ใช้ UI แบบ Custom ที่ทางค่ายมือถือนำไปปรับแต่งเพิ่มเติม
และนี่ก็คือสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Moto Z มือถือเรือธงระดับพรีเมี่ยมภายใต้การดูแลของ Lenovo ซึ่งก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่าฟีเจอร์อย่างเช่น โปรเจคเตอร์เทคโนโลยีจาก DLP นั้นปรากฎอยู่ในแท็บเล็ตระดับพรีเมี่ยมแบบ Lenovo YOGA Tab 3 Pro และลำโพงจาก JBL นั้นก็ปรากฎอยู่ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คจาก Lenovo ก็ถือว่าน่าสนใจที่ Lenovo ได้นำทั้งสองอย่างนี้มารวมกันใน Moto Z จนทำให้ตอนนี้มีมือถือที่น่าใช้งานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรุ่น
ที่มา PhoneArena