ตอนนี้ บรรดาร้านตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple ในไทยก็ได้เปิดวางจำหน่าย iPad Air 2 และ iPad mini 3 ในรุ่น WiFi เครื่องศูนย์ไทยไปเรียบร้อยแล้วแทบทั้งนั้น และก็ได้กระแสตอบรับกันไปพอสมควร โดยเฉพาะรุ่นสีทองที่เป็นสีใหม่สำหรับ iPad?ทางเราก็ไม่รอช้าที่จะไปเสาะหามารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันครับ ที่จะเน้นก็เป็นตัวของ iPad Air 2 ที่ดูจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพอสมควร แต่ก่อนจะได้ชมรีวิว ก็ขอมาแกะกล่องให้ชมก่อนว่าภายในกล่อง iPad Air 2 มีอะไรมาให้บ้าง และหน้าตาจะเป็นอย่างไรกับ iPad Air 2 สีทอง WiFi ตัวนี้
หน้ากล่องก็ดีไซน์เรียบๆ ตามเคยครับ แต่สีของภาพตัวเครื่องหน้ากล่องก็จะเป็นไปตามสีเครื่องจริง อย่างในกรณีนี้เป็นสีทอง ภาพหน้ากล่องก็จะเป็น iPad Air 2 สีทองด้วย
เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา ก็จะพบกับ iPad Air 2 นอนรอให้สัมผัสอยู่ในทันที แนะนำว่าตอนเปิดฝากล่องออกมา ให้ค่อยๆ ดันขึ้นมานะครับ ไม่งั้นเครื่องอาจหลุดจากกล่อง ตกพื้นก็ได้นะ
ส่วนอุปกรณ์ภายในกล่องก็จะให้มาตามมาตรฐานปกติคือ อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ 10W, สาย Lightning, เอกสารคู่มือต่างๆ และสติ๊กเกอร์โลโก้ Apple ไม่มีหูฟังมาให้นะ
เปิดเครื่อง พร้อมใช้งานเรียบร้อยแล้วจ้า iPad Air 2 WiFi 16 GB สีทอง ตัวเครื่องด้านหน้าก็จะเป็นสีขาวเหมือนกับใน iPhone ที่เลือกใช้คู่สีนี้มาตั้งแต่ใน iPhone 5s แล้ว สำหรับการตั้งค่าการใช้งานเครื่องครั้งแรกก็จะเหมือนๆ กับ iPad ปกติที่เคยเป็นมาครับ แต่จะมีขั้นตอนการตั้งค่า Touch ID มาด้วยเหมือนกับบน iPhone ถ้าใครต้องการปลดล็อคหน้าจอ หรือซื้ออนุญาตให้มีการซื้อแอพด้วยลายนิ้วมือ จะตั้งค่าไปเลยก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าไม่จำเป็น ก็สามารถกดข้ามไปได้เช่นกัน
ดูหน้าตาปุ่ม Touch ID กันชัดๆ ครับ ตัวปุ่มก็จะปิดเอาไว้ด้วยกระจก ส่วนขอบก็ยังคงเป็นอะลูมิเนียมสีทองเหมือนกับบน iPhone เลย แต่เท่าที่ลองกดใช้งานดู พบว่าระยะการกดนิ้วลงไปดูจะตื้นกว่าใน iPhone 6 อย่างรู้สึกได้ ส่วนการสแกนลายนิ้วมือด้วยระบบ Touch ID ก็สามารถทำได้ดี ความเร็วในการทำงานเท่าๆ กับบน iPhone เลย แต่ดูแล้วน่าจะไม่ถนัดกันแน่ๆ เพราะตัวเครื่องที่มีขนาดใหญ่ แถมหลายๆ ท่านน่าจะเลือกใส่เคสที่มีฝาพับปิด ซึ่งสามารถปลดล็อคหน้าจอด้วยการเปิดฝาพับขึ้นมาอยู่แล้ว จะให้เปิดฝาพับขึ้นมาแล้วยังต้องเอานิ้วไปจ่อตรงปุ่ม Touch ID อีก คาดว่าคงจะไม่สะดวกซักเท่าไร อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละท่านล่ะนะครับ
ฝาหลังสีทอง ก็สีทองจริงๆ ทั้งแผ่นเลย เนื้อผิวสัมผัสเรียบเนียนไปหมด ไม่ต่างจาก iPad Air และ iPad mini 2 เท่าไรนัก ส่วนโทนสี เท่าที่ลองเทียบกับ iPhone 5s สีทอง พบว่าโทนสีของ iPad Air 2 จะเป็นทองอมแดงนิดๆ แต่ใน iPhone 5s จะติดอมเขียวกว่านิดนึง ส่วน iPhone 6 / 6 Plus เราไม่มีสีทองให้เทียบครับ แต่โทนสีคงไม่แตกต่างกันมากนัก
รายละเอียดของฝาหลัง iPad Air 2 ก็มีจุดที่แตกต่างไปจาก iPad Air รุ่นเก่าพอสมควร คือส่วนของรอบกล้องหลังที่กลายเป็นชิ้นเดียวกันไปทั้งหมด (ภาพซ้าย) ต่างจากใน iPad Air หรือ iPad mini รุ่นก่อนหน้า (ภาพขวา) ที่จะมีวงกลมล้อมรอบอีกชั้น ก็น่าจะเป็นอีกจุดที่ช่วยสังเกตความแตกต่างระหว่าง iPad Air 2 กับ iPad Air รุ่นแรกได้เป็นอย่างดี
ส่วนด้านข้างตัวเครื่อง ก็จะมีรายละเอียดหลายๆ อย่างที่น่าสนใจมากมาย เริ่มที่ฝั่งซ้าย ซึ่งจะมีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงอยู่ ดีไซน์ของปุ่มก็จะออกแบบให้เว้าลงไปภายในมากขึ้น ตัดสวิทช์ดันข้างที่ใช้เลือกว่าจะเปิด/ปิดเสียง หรือเปิด/ปิดการหมุนจอออกไป (เปลี่ยนไปให้ควบคุมทั้งหมดจาก Control Center แทน) ?ส่วนปุ่ม Power ด้านบนดูเหมือนจะมีการปรับตำแหน่งเล็กน้อยด้วยนะ
สำหรับ iPad Air 2 WiFi 16 GB จะมีพื้นที่เหลือให้ใช้ได้ 10.9 GB ?นะครับ
หน้าจอ iPad Air 2 นั้น แม้ว่าจะมีขนาดและความละเอียดเท่ากับ iPad Air ตัวแรก แต่เมื่อมองจริงๆ แล้ว จะดูเหมือนว่าสีสัน ความคมชัดจะดูดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องสีสันครับ ยังไงก็ไปลองชมตัวจริงกันได้ที่หน้าร้านเลย มีตัวเดโมให้ลองเล่นกันแทบทุกร้านแล้วล่ะ
ส่วนใครที่มีเคส iPad Air อยู่แล้ว และต้องการนำมาใช้กับ iPad Air 2 เอาจริงๆ มิติของตัวเครื่องมันก็เท่ากันนะครับ สามารถใช้งานด้วยกันได้ แต่ส่วนรายละเอียดเรื่องช่องเจาะสำหรับปุ่มกด กล้องหลังต่างๆ ต้องบอกว่ามันไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ 100% ตามตัวอย่างในภาพด้านบนนี้ เมื่อผมลองเอาเคส iPad Air รุ่นแรกมาใส่เข้ากับ iPad Air 2 กลายเป็นว่าช่องไม่ตรงกับกล้องหลัง ดังนั้น มีแววว่าอาจจะได้ซื้อเคสใหม่กันถ้วนหน้าจ้า
ยังไงก็รอติดตามชมรีวิว iPad Air 2 กันได้เร็วๆ นี้นะครับ ^^