ปัจจุบันนี้ นอกจากตัวประมวลผล หรือวัสดุที่พยายามเเข่งขันในเเต่ละเเบรนด์เเล้ว ไม่ว่าจะเป็น Samsung, Sony, LG, HTC ก็พยายามนำหน้าจอมาเป็นจุดขายสำหรับสมาร์ทโฟนของตนว่ามีการเเสดงภาพที่คมชัด สวยงาม ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับผู้บริโภคที่เเบรนด์ต่างๆ พัฒนาคุณภาพของตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เเต่วันนี้เรามาลงรายละเอียดกันดีกว่าครับว่า เทคโนโลยีจอต่างๆ เหล่านี้มีข้อดีอย่างไรก็กันบ้าง
เทคโนโลยีจอภาพในปัจจุบัน
Panel
Panel นั้นจะว่าไปเเล้วก็คือผลึกเหลวที่อยู่ในจอนั่นเอง หลายๆ คนคงเคยเอานิ้วมือไปจิ้มจอ LCD เเล้วก็รู้สึกว่ามันหยุ่นๆ กันบ้าง Panel ในปัจจุบันเเบ่งออกได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ ที่เห็นกันบ่อย คือเเบบ TN เเละ IPS โดย TN นั้นเราจะเห็นบ่อยสำหรับจอ LCD ที่ราคาไม่เเพง เนื่องจากต้นทุนในการผลิตของจอเเบบ TN นั้นถูกมาก จึงเป็นที่เเพร่หลายสำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น LCD Monitor หรือ Smartphone ก็ตาม
ส่วนข้อเสียของ TN คือมันไม่สามารถเเสดงสีได้เเบบ True Color (16 ล้านสี หรือ สีเเบบ 24 บิท) ดังนั้น ถ้าเราเจอภาพที่มีสีของภาพเเบบ True Color ภาพจะไม่เเสดงออกมาได้ ดังนั้นจึงมีจำลองเฉดสีออกมาให้ใกล้เคียงที่สุด (เรียกว่าการ dithered) ครับ เเต่ภาพจะเพี้ยนไปอย่างเเน่นอน เราอาจจะเห็นการไล่เชดสีของภาพที่ไม่สวยงาม นอกจากนี้จอเเบบ TN ยังมีมุมการมองที่ค่อนข้างเเคบ ดังนั้นถ้าใครใช้มือถือไว้ดูวีดีโอกับเพื่อนฝูง จอที่ใช้พาเนลเเบบ TN ก็คงจะทำให้เพื่อนๆ ที่มามุงด้วยดูไม่ค่อยถนัดนะครับ
โดยสรุปเเล้วหน้าจอเเบบ TN นี้เราจะพบกันในกับสมาร์ทโฟนหรือเเท็บเล็ตเกือบทุกรุ่น ที่ไม่มีการโฆษณาว่าตัวเองเป็นจอเเบบ IPS โดยเฉพาะพวกสมาร์ทโฟนที่ราคาต่ำกว่าหมื่นบาท รับรองว่าใช้เเบบ TN เเน่นอนเนื่องจากต้นทุนที่ต่ำ ทั้งนี้รวมไปถึงเเท็บเล็ตทุกตัวยกเว้น Asus Eee Pad Transformer เเละ iPad เท่านั้นที่เป็นจอเเบบ IPS
ตัวอย่างการจำลองสีถ้าจอไม่เเสดงสีจากต้นฉบับออกมาได้
จอเเบบ IPS จะให้มุมการเเสดงผลที่กว้างกว่า TN
ส่วน Panel เเบบ IPS นั้น หลักๆ คือปรับปรุงข้อเสียจาก TN มาในเรื่องของมุมมองที่มองได้กว้างขึ้นจากที่เราเห็นจากภาพตัวอย่างด้านบน เเละการเเสดงผลของสีที่ทำได้เเบบ 24 บิทหรือ 16 ล้านสีได้อย่างเเท้จริง ดังนั้นการเเสดงสีของภาพจะเป็นไปอย่างสมจริงมากกว่า ถ้าภาพต้นฉบับมีความละเอียดสูง สำหรับข้อเสียของมัน สั้นๆ ง่ายๆ เลยคือ มันเเพงกว่า Panel เเบบ TN ครับ จึงยังไม่ค่อยเห็นกันเท่าไหร่นัก สำหรับตอนนี้ที่พอจะเห็นได้ก็มี LG Optimus 2X, LG Optimus Black, iPhone 4, iPad, Asus Eee Pad Transformer ครับ
Backlight
ลำพังเพียงเเค่ Panel ของจอนั้นไม่สามารถเเสดงผลออกมาได้ ซึ่งจำเป็นต้องมี Backlight เพื่อเปล่งเเสงออกมา ซึ่งก็เเบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆ เช่นกันคือ CCFL Backlight เเละ LED Backlight ซึ่งก็เหมือนกับเทคโนโลยีของ Panel คือ CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) นั้นเป็นเทคโนยีเเบบเก่า สำหรับคำอธิบายเเบบง่ายๆ คือ จะให้ความสว่าง เเละคอนทราสของสี เเละการประหยัดพลังงานได้ไม่เท่ากับ LED ครับ
เเต่ส่วนใหญ่เเล้ว ผู้ผลิตมักจะไม่บอกตรงนี้เพราะเป็นข้อมูลเชิงเทคนิคมากเกินไป เเละต้องอาศัยการสังเกต ที่สังเกตได้ง่ายสุดคือการเปรียบเทียบความสว่างกับเครื่องที่เป็น LED ถ้าเป็น CCFL นั้นสีจะสว่างน้อยกว่าอย่างชัดเจน
ภาพจำลอง Backlight เเบบ LED ที่ใช้ไดโอดในการให้เเสง
ภาพจำลอง Backlight เเบบ CCFL ที่ใช้หลอดฟลูออเรสเซนส์ในการให้เเสง
โดยธรรมชาติเเล้ว CCFL นั้นก็เหมือนกับหลอดฟลูออเรสเซนส์ทั่วไป ที่เเรกเริ่มจะมีความสว่างมาก เเละความสว่างจะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่สามารถใช้งานได้ เเละถ้าเทียบกันเเล้วจอที่ใช้ LED ภาพจะคมกว่า CCFL อย่างชัดเจนครับ ตัวอย่างที่ชัดที่สุดที่ผู้เขียนคาดว่าเป็นไปได้คือความเเตกต่างระหว่าง HTC Desire S เเละ HTC Incredible S ครับ
สำหรับคนที่สงสัยว่า เเล้วคำว่า LCD ที่เราพบกันบ่อยๆ นั้นมันหมายถึงอะไร ทำไมไม่มีกล่าวในคำอธิบาย ทั้งๆที่เราได้ยินกันบ่อยมาก จริงๆเเล้ว LCD ก็คือจอผลึกเหลว ที่เป็นชื่อเรียกของจอเเบบนี้ทุกรุ่น ไม่ว่าจะใช่ Panel หรือ Backlight เเบบไหนก็ตามครับ
เทคโนโลยีจอภาพที่มาจากเเต่ละเเบรนด์ต่างๆ
Super LCD
จอเเบบ Super LCD นั้นเป็นจอที่ทาง Sony พัฒนาร่วมกับ Samsung โดยมี Samsung เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (51%) ดังนั้น จึงไม่เเปลกใจที่เราจะเห็นสมาร์ทโฟนของ Samsung บางรุ่น เเละของ Sony ใช้จอเหล่านี้เป็นหลัก นอกจากนี้เเล้ว สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ของ HTC ก็ยังใช้จอ Super LCD อีกด้วย
ในเเง่การเปรียบเทียบเเล้ว ข้อดีหลักๆ ของ Super LCD คือมีต้นทุนที่ไม่สูงมากเท่ากับจออื่นๆ เเละเเสดงผลได้เทียบเท่ากับจอ IPS หรือ AMOLED ด้วยตาเปล่า เนื่องจากว่าช่วงหนึ่งจอ AMOLED ขาดตลาดไป HTC จึงเปลี่ยนจากจอ AMOLED ที่ใช้ใน HTC Desire ล็อตเเรกๆ มาเป็น Super LCD เเทนเเละใช้เเทนเเต่นั้นมา ซึ่งจอเเบบนี้จะใช้ Panel เเบบ TN ส่วน Backlight นั้นเป็นได้ทั้ง LED หรือ CCFL โดยรุ่นที่ไม่เเพงก็จะใช้ CCFL ส่วนรุ่นที่คุณภาพดีหน่อยก็จะเป็น LED ครับ
ซ้าย ? HTC Desire S ขวา ? HTC Incredible S
จากรูปตัวอย่างที่เราถ่ายมา ทั้ง HTC Desire S ที่อยู่ด้านซ้าย เเละ HTC Incredible S ที่อยู่ด้านขวา ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าสีขาวของ Incredible S นั้นขาวเเละมีความคมชัดมากกว่าจอของ HTC Desire ถ้าใครมีโอกาสได้สัมผัสทั้งสองเครื่องพร้อมกันก็ลองเปรียบเทียบดูกันได้ครับว่ามันต่างกัน ดังนั้นถึงจอทั้งสองจอ HTC จะบอกว่าเป็น Super LCD เหมือนกัน เเต่คุณภาพของจอนั้นเเตกต่างกันเเน่นอนครับ สำหรับคนที่ลังเลเลือกสองรุ่นนี้ก็ลองจับทั้งสองรุ่นดูก่อนเพราะจอของ Incredible S นั้นดีกว่าพอสมควร รวมไปถึงระดับการปรับของ Auto Brightness ที่ Incredible S จะมีระดับของการปรับเเสงอัตโนมัติที่ดีกว่า Desire S ครับ
ตัวอย่างสมาร์ทโฟนที่ใช้จอ Super LCD
- Samsung Galaxy SL (Galaxy S Super LCD)
- Sony Ericsson Xperia Arc (LED Backlight ถึงจะบอกว่าใช้ Bravia Engine เป็นตัวประมวลผลภาพ ที่ไม่บอกสเปคของจอมาเลย เเต่จากที่จับเล่นมาเเล้วถือว่าดีเทียบเท่ากับ Incredible S ครับ)
- HTC Desire
- HTC Desire S (CCFL Backlight)
- HTC Incredible S (LED Backlight)
- HTC Sensation
NOVA Display & Retina Display
หลังจากความสำเร็จของ Samsung ที่พัฒนาจอ Super AMOLED จนเป็นจุดเเข็งของเเบรนด์ไปเรียบร้อยเเล้ว LG ในฐานะผู้ผลิตจอรายใหญ่อันดับหนึ่งของโลก (ข้อมูลจาก wikipedia) มีหรือจะให้ Samsung หยามไปได้ง่ายๆ ก็หันมารุกเอาจริงเอาจังกับเทคโนโลยีของตนด้วยเหมือนกัน ด้วยการประกาศ NOVA Display ที่เป็นจอที่มีความสว่างที่สุดในโลกด้วยค่าที่สูงถึง 700 nits ซึ่งสว่างกว่า iPhone 4 ที่มีค่าอยู่ 500 nits
จริงๆ เเล้ว LG เองก็เป็นซัพพลายเออร์รายหนึ่งที่ผลิตจอของ iPhone 4 ที่เราชมว่าสวยงามอย่างนั้นอย่างนี้มามากมาย จึงไม่เเปลกใจว่าหลังจากผ่านมาระยะ LG ก็ประกาศจอ NOVA Display มาบลัฟจอเก่าของ iPhone ทันที สำหรับข้อมูลเชิงเทคนิคนั้น Panel ของตัวนี้ก็เป็นเเบบ IPS อย่างเเน่นอน ส่วน Backlight นั้นคาดว่าเป็น LED เมื่อสังเกตจากความขาวของภาพครับ
ดังนั้นความต่างจริงๆของ Retina Display บน iPhone 4 เเละ NOVA Display บน LG Optimus Black นั้น เป็นเพียงความละเอียดเเละสว่างของหน้าจอเท่านั้น โดย iPhone 4 จะมีความละเอียดกว่าที่ 960 x 540 ส่วน Optimus Black มีเพียง 800 x 480 ส่วน Optimus Black นั้นได้ความสว่างที่เหนือกว่า iPhone 4 เเค่นั้นเองครับ ส่วนตัว Panel นั้นเป็น IPS เเละ Backlight นั้นเป็น LED เหมือนกันทุกประการ
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่เป็นช่างภาพเเละจริงจังกับเรื่องของสี สำหรับคอนทราสของ LG Optimus Black นี้ก็ถือว่าสดไปนิดหนึ่ง รวมไปถึงความสว่างของจอที่เหมือนดาบสองคมถ้าปรับมากเกินไปจะทำให้รายละเอียดของภาพหายได้ เรียกว่าจำเป็นต้องปรับจอของ Optimus Black จนสุดเมื่อจำเป็นต้องใช้งานกลางเเดดได้เท่านั้นจะดีกว่า ส่วนเรื่องคอนทราสของสีนั้นถ้าเทียบกับ iPhone 4 สีจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าครับ
ตัวอย่างสมาร์ทโฟนที่ใช้พาเนลเเบบ IPS
- LG Optimus 2X (LED Backlight)
- LG Optimus Black (LED Backlight)
- iPhone 4 (LED Backlight)
สรุป
เป็นที่น่าสนใจว่าจอเเบบ IPS นั้นราคาลงมาให้เราจับต้องกันง่ายขึ้น ไม่ได้เอกสิทธิ์อยู่บนเฉพาะ iPhone อีกต่อไป โดยเฉพาะใครอยากสัมผัสจอภาพคุณภาพสูงนั้น สามารถลองไปจับ LG Optimus Black ดูได้ เนื่งจากเป็นเทคโนโลยีจอเเบบ IPS เเบบเดียวกับ iPhone 4 ที่เรามักจะประทับใจในความละเอียดของสีเเละภาพที่มันเเสดงออกมา ถึงเเม้ว่าเจ้า Optimus Black นี้อาจจะไม่ละเอียดเท่ากับ iPhone 4 เนื่องจากมีความละเอียดหน้าจอที่ต่ำกว่า (960 x 540 กับ 800 x 480) เเต่ถ้าเทียบกับคุณภาพเเละราคาของเจ้า LG Optimus Black เเล้วก็ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากอยู่ดี กับราคาที่ต่างกับ iPhone 4 เกือบครึ่ง สำหรับสุดยอดของจอตอนนี้ ก็คงอย่างที่ทราบว่าควรใช้ Backlight เป็นเเบบ LED จะให้ภาพที่ดูดีกว่า ไม่ว่าจะใช้ Panel อะไรก็ตามครับ ซึ่งตอนนี้สมาร์ทโฟนที่ผมถือให้ภาพอยู่ในระดับสูงคือ iPhone 4, HTC Incredible, LG Optimus Black, LG Optimus 2X, Sony Ericsson Xperia Arc ครับ
จากซ้ายไปขวา ? HTC Desire S, HTC Incredible S, Apple iPhone 4, LG Optimus Black
นอกจากนี้เเล้วจอเเบบ Super LCD เองก็มีความน่าสนใจไม่เเพ้กัน สำหรับตัว HTC Incredible S เเละ Desire S นั้น ถือว่าผิดจากที่เราคาดการไว้ว่ามันจะมีคุณภาพจอที่เหมือนกัน เเต่ก็อย่างที่เราเห็นในภาพว่า จอของ HTC Incredible S นั้นให้ความสว่างเเละคอนทราสที่สูงกว่า ทำให้การเเสดงภาพออกมาสวยกว่า Desire S อย่างชัดเจน ดังนั้นถึงว่าตัวนี้จะใช้เทคโนโลยี Super LCD เหมือนกัน เเต่คุณภาพของ Backlight ที่ให้กำเนิดเเสงของจอที่ต่างกันก็มีผลอย่างชัดเจน
ในการทดสอบนี้ เป็นที่น่าเสียดายว่ายังไม่ได้ตัว Galaxy S II มาลองเล่นดู จึงยังไม่ได้กล่าวถึงเทคโนโลยี OLED, Super AMOLED หรือ AMOLED Plus เเต่ถ้าเราได้มาเมื่อไหร่จะมาอัพเดทให้ได้อ่านกันตอนที่สองครับ : )