
แม้ในยุคนี้จะเป็นยุคของสมาร์ตโฟนแบบเต็มตัวแล้วก็ตาม รวมถึงราคาเองก็จับต้องง่ายขึ้นมาก แต่แน่นอนว่าก็ยังมีบางจุดที่อาจจะยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานในบางด้าน เมื่อเทียบกับฟีเจอร์โฟนหรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าโทรศัพท์ปุ่มกด เช่น แบตเตอรี่ที่เครื่องปุ่มกดยังใช้ได้นานกว่า เรียกว่าชาร์จทีเดียวใช้ได้หลายวัน ปุ่มกดเบอร์โทรที่เป็นปุ่มจริง ใช้ง่าย เหมาะสำหรับใช้ในการกดเลขจริง ๆ ซึ่งเหมาะกับการซื้อให้ผู้สูงอายุใช้งาน หรือจะซื้อมาเป็นเครื่องรองสำหรับใช้โทรล้วน ๆ ก็ทำได้สบาย
ในบทความนี้เราจะมาแนะนำมือถือปุ่มกดรุ่นที่มีขายอยู่ในปัจจุบัน โดยจะเป็นรุ่นที่ใช้พอร์ตชาร์จแบบ USB-C แล้ว ทำให้สามารถหาสายชาร์จได้ง่าย ใช้สายร่วมกับสมาร์ตโฟนได้ทันที โดยมีราคาไม่เกิน 1,500 บาทเท่านั้น

1) TWZ M1 ราคา 770.-
เริ่มด้วย TWZ M1 ที่มีขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ในราคาประมาณ 700-800 บาทแล้วแต่ร้าน จุดเด่นคือหน้าจอขนาดใหญ่ 2.8″ ซึ่งถือว่าค่อนข้างใหญ่มากสำหรับฟีเจอร์โฟนในช่วงราคานี้ ปุ่มกดเป็นแบบแยกปุ่ม แม้จะมีขนาดเล็กลงมาหน่อย แต่ก็สามารถคลำกดด้วยปลายนิ้วได้ง่ายกว่าเครื่องที่ใช้ปุ่มแบบเป็นแผงติดกัน ตัวเครื่องรองรับ 2 ซิม สามารถใช้งาน 4G VOLTE ได้ เมนูมีให้เลือก 6 ภาษา มีภาษาไทยให้เลือกใช้งานได้ แรม 48MB รอม 128MB สามารถบันทึกเบอร์โทรได้สูงสุด 300 เบอร์ ใส่ MicroSD เพิ่มได้ รองรับการฟังเพลงผ่านวิทยุ FM และไฟล์ MP3
แบตเตอรี่ 1400 mAh แบบถอดเปลี่ยนได้ ชาร์จได้ผ่าน USB-C และที่สำคัญคือมีกล้องหลังความละเอียด 2MP ให้ใช้ด้วย
2) m-horse H1-6300 ราคา 850.-
ต่อมาก็จะเป็นแบรนด์สายมือถือราคาย่อมเยาบ้าง นั่นคือ m-horse H1-6300 ที่มีหน้าร้านแบบ official mall ในแพลตฟอร์มออนไลน์ มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ สเปคโดยรวมก็จะใกล้เคียงกับรุ่นแรกเลย คือจะได้จอ TFT LCD ขนาด 2.8″ รองรับ 4G สองซิม ใช้ได้ทุกเครือข่าย ปุ่มกดมีตัวเลขขนาดใหญ่ เห็นชัดเจน มีเมนูภาษาไทยให้เลือกใช้งาน สามารถตั้งปุ่มลัดสำหรับโทรหาเบอร์สำคัญได้ในปุ่มเดียว (speed dial) มี Bluetooth ให้ใช้เชื่อมต่อกับหูฟังและลำโพงได้ จุดเด่นคือแบตเตอรี่ที่ให้ความจุมาถึง 2000 mAh โดยใช้เป็นแบตรุ่น BP-4L ซึ่งเป็นแบตแบบเดียวกับมือถือ Nokia หลาย ๆ รุ่น จะชาร์จก็ทำได้ง่ายด้วยพอร์ต USB-C กล้องหลังก็มีมาให้พอใช้งานได้ระดับนึง
จุดที่สร้างความแตกต่างให้กับรุ่นนี้ก็คือมีการติดตั้งหลอดไฟ LED แยกมาให้ที่ด้านข้างเครื่องเพื่อใช้เป็นไฟฉาย ซึ่งสามารถใช้งานได้แม้ไม่ได้เปิดเครื่อง โดยใช้ปุ่มเปิดปิดที่อยู่ด้านข้างเครื่อง นอกจากนี้ยังสามารถตั้งให้เครื่องไม่ล็อกปุ่มกดตอนที่หน้าจอดับ ซึ่งน่าจะช่วยให้สามารถหยิบเครื่องขึ้นมาใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องกดปุ่มปลดล็อกจอ
3) Nokia 108 4G (2024) ราคา 1,254.-
ทีนี้ก็จะเป็นกลุ่มของมือถือจาก HMD ผลิตแบบตีแบรนด์ Nokia ที่หลายท่านคุ้นเคย โดยจะเริ่มที่ Nokia 108 4G รุ่นปี 2024 สเปคก็จะให้มาในระดับพื้นฐานคือหน้าจอขนาด 2.4″ QVGA ชิปประมวลผล Unisoc T127 ระบบปฏิบัติการ Series 30+ แรม 64MB รอม 128MB ใส่ MicroSD เพิ่มได้สูงสุด 32GB สามารถบันทึกเบอร์โทรได้ถึง 2,000 รายชื่อ รองรับ 4G สองซิม มี Bluetooth 5.0 มาให้ใช้งานร่วมกับหูฟัง/ลำโพง ที่สำคัญคือรองรับการฟังวิทยุ FM ได้ทั้งแบบมีสายผ่านสายหูฟังแจ็ค 3.5 มม. และแบบไร้สาย แบตเตอรี่ 1450 mAh รุ่น BL-L5H ถอดเปลี่ยนได้ตามสไตล์ Nokia ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท
4) Nokia 125 4G (2024) ราคา 1,390.-
สำหรับ Nokia 125 ก็ต้องบอกว่าสเปคเกือบทั้งหมดจะเหมือนกับ Nokia 108 เลย ต่างกันตรงที่ 125 จะมีกล้องหลังความละเอียดระดับ QVGA มาให้ด้วย กับราคาที่เพิ่มขึ้นมาประมาณร้อยกว่าบาท ซึ่งความละเอียดของกล้องแม้จะดูน้อยไปแล้วสำหรับในยุคสมาร์ตโฟน แต่ก็เท่ากันกับความละเอียดหน้าจอพอดี จึงอาจจะเหมาะสำหรับใช้ถ่ายเป็นภาพหน้าจอซะมากกว่า ส่วนสเปคอื่นก็เหมือนกันคือหน้าจอขนาด 2.4″ ชิป Unisoc T127 แบตถอดเปลี่ยนได้ ชาร์จได้ผ่านพอร์ต USB-C ของตัวเครื่อง มีวิทยุ FM ที่ใช้ได้ทั้งแบบมีสายและไร้สาย ส่วนปุ่มกด เครื่องจริงจะมีการสกรีนภาษาไทยมาให้ตามปกติ (รวมถึงรุ่น 108 ด้วย) ซึ่งตัวปุ่มของทั้งสองรุ่นนี้ก็จะเป็นแบบแยกปุ่มกัน ทำให้สามารถใช้เป็นฟีเจอร์โฟนที่กดตัวเลขได้ง่าย พิมพ์ข้อความสะดวก ตัวเครื่องจะออกเป็นทรงแท่งยาว ๆ จับถนัดมือ
5) Nokia 215 4G (2024) ราคา 1,490.-
ปิดท้ายด้วยฟีเจอร์โฟนจาก Nokia อีกรุ่นนั่คือ Nokia 215 4G รุ่นปี 2024 ที่สเปคโดยรวมก็จะคล้ายกันกับ Nokia 108 แต่มีการปรับไปใช้หน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 2.8″ ที่ทำให้สามารถดูภาพบนจอได้ง่ายขึ้นอีกนิดนึง ส่วนสเปคอื่น ๆ ก็จะยังคงเท่ากันคือใช้ชิป Unisoc T127 แรม 64MB รอม 128MB ใส่ MicroSD เพิ่มได้ รองรับ 4G สองซิม มีวิทยุ FM ให้ใช้งาน รวมถึงยังมี Bluetooth 5.0 ให้ใช้ด้วยเช่นกัน ส่วนของแบตเตอรี่จะยังคงให้มาที่ความจุ 1450 mAh เท่ากัน แต่เปลี่ยนไปใช้เป็นรุ่น BA-L4M แทน ซึ่งก็สามารถหาซื้อมาใช้สลับหรือใช้สำรองได้ไม่ยากนัก ส่วนดีไซน์ของปุ่มกดก็จะต่างจากมือถือ Nokia สองรุ่นข้างต้นพอสมควร เพราะเลือกใช้เป็นปุ่มแบบแผงติดกันทั้งหมด ซึ่งอาจจะใช้การกดแบบคลำปุ่มลำบากกว่านิดนึง แต่สำหรับสายพิมพ์ข้อความน่าจะทำได้ไหลลื่นกว่า เพราะถ้าชินกับการพิมพ์ด้วยปุ่มฟีเจอร์โฟนอยู่แล้ว ก็น่าจะสามารถรูดนิ้วข้ามปุ่มได้อย่างรวดเร็ว ส่วนราคาก็จะขยับขึ้นมาเป็น 1,490 บาท ซึ่งยังอยู่ในงบ 1,500 บาทพอดี